บทที่ 193 เขาหยอกเอินนางหรือ

ชิงอวี่นัยน์ตามีประกายวาดผ่าน เหมือนจะซาบซึ้งกับการกระทำนั้นอยู่เล็กน้อย

ซีจ้านเฉินจ้องชายร่างสูงนิ่ง น้ำเสียงเจือแววสังหารอยู่บางเบาแทบไม่รู้สึก “เก็บสายตาไปเสีย”

ชายผู้นั้นเงยหน้าหัวเราะลั่นอย่างเย่อหยิ่ง ยังหันมามองร่างเย้ายวนของเด็กสาวที่เครื่องหน้างดงามนัก ทั้งยังเลียริมฝีปากอย่างกักขฬะด้วยใบหน้าหื่นกระหาย ราวกับอยากจะฉีกกระชากชุดนางออกเสียตรงนั้น

“ซีจ้านเฉิน หากเจ้ารู้ว่าอะไรดีไม่ดี เจ้าก็ทิ้งของกับผู้หญิงไว้ พวกข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก” ชายคนนั้นเอ่ยเสียงอวดดี ราวกับไม่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นไปอย่างคำร่ำลือ

มุมปากซีจ้านเฉินยกขึ้นเป็นรูปโค้งดูพร่างพราว ไม่เคยมีใครเห็นเขายิ้มเช่นนั้นมาก่อน ถึงกระนั้นกลิ่นอายดุดันชั่วร้ายก็ไม่ลดน้อยลง ทำให้คนขนลุกวาบโดยไม่รู้ตัว

แรงกดดันจากนักฆ่าระดับพระกาฬไม่ใช่สิ่งที่อาจต้านทานได้เลย

รอยยิ้มบนใบหน้าชายที่ทำท่าเย่อหยิ่งเมื่อครู่พลันแข็งค้าง จากนั้นก็ร้องลั่น ยกมือขึ้นปิดดวงตา ของเหลวสีแดงสดเริ่มไหลออกมาจากรอยแยกนิ้ว

และที่เท้าคือลูกตาโชกเลือดน่าขวัญผวาสองลูกกำลังกลิ้งคลุกฝุ่นคลุกดินอยู่

“อ๊ากกก ซีจ้านเฉิน! วันนี้ข้าจะเอาชีวิตเจ้าให้ได้!”

ความเจ็บปวดจากการสูญเสียดวงตาทั้งสองทำให้เขาบ้าคลั่ง เลือดยังคงไหลหยดลงจากใบหน้าไม่หยุด เบ้าตาเหลือเพียงรูกลวงสองรู เป็นภาพน่ากลัวเกินจะมอง

ซีจ้านเฉินยังมีสีหน้าเรียบเฉย “ข้าบอกแล้วให้เก็บสายตาเสีย”

ชิงอวี่ถูกร่างสูงของชายหนุ่มบังไว้เสียหมด อีกฝ่ายถึงจะตัวสูงแค่ไหนแต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรนางมากนัก แต่สายตาน่าสะอิดสะเอียนนั่นทำให้ซีจ้านเฉินรู้สึกไม่สบายตัวเอามาก ๆ

และเมื่อเขารู้สึกไม่สบายตัว เขาย่อมทำให้อีกฝ่ายเห็นเลือด หรืออีกอย่างก็คือไม่ต้องเห็นอะไรไปเลย

การกระทำเช่นนี้นับเป็นการดูถูก เมื่อคนอื่น ๆ เห็นว่าสหายตนถูกกระทำก็ยิ่งโกรธแค้นนัก “ซีจ้านเฉิน! เจ้าจะมากเกินไปแล้ว วันนี้เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”

คนพวกนี้เป็นนักฆ่าโหดเหี้ยมไร้เมตตา มาที่นี่ด้วยภารกิจค่าจ้างสูงเพื่อนำเอาดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์ไป เป็นพวกคนไม่กลัวตาย หากสามารถรั้งอยู่ได้นานเช่นนี้ก็แสดงว่ามีฝีมืออยู่บ้าง เทียบกับพวกนักฆ่าก่อนหน้านี้ คนกลุ่มนี้พร้อมถวายชีวิตเพื่อภารกิจ รับมือได้ยากกว่ามาก

พวกเขาไม่เชื่อว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะมีฝีมือลึกล้ำเช่นคำร่ำลือ คิดว่ามันเป็นเพียงข่าวลือที่พูดกันเกินจริงเท่านั้น ดังนั้นจึงทระนงตนเสียจนเกินเหตุ

ซีจ้านเฉินดูภายนอกแล้วก็เหมือนกับบัณฑิตหนุ่มอ่อนแอหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง ไม่ได้มีท่าทางดุดันเฉียบขาดหรือไร้เมตตาอย่างที่นักฆ่าพึงมี ใบหน้าหรือก็ไม่ได้ดุดัน

แต่ก็เพราะถูกใบหน้าหลอกลวงไปเช่นนั้น คนเช่นพวกเขาจึงเอาชีวิตมาทิ้งเสมอ

ที่ด้านหน้า ชายร่างบึกบึนที่ดูแข็งแกร่งนักเริ่มพุ่งเข้ามาเป็นคนแรก จากนั้นคนอื่น ๆ ก็ตามมาพร้อมกัน ปล่อยกระบวนท่าเดียวกันออกมา รวมเป็นคลื่นพลังสะท้านสะเทือนไม่อาจหยุดยั้งได้

บนฟ้าบังเกิดหมัดยักษ์ขึ้น ตอนที่มันกำลังจะซัดลงมา ไม่ต้องพูดถึงคน หากมันทุบเหล็กกล้าก็คงยุบเป็นหลุมได้เช่นกัน

ชิงอวี่เงยหน้ามองหมัดยักษ์เหนือศีรษะ เลิกคิ้วมองด้วยความสนใจ “ไม่คิดว่าคนพวกนี้จะมีฝีมือ แต่กระบวนท่าก็ดีแต่เปลือกนอก ไร้จิตวิญญาณ ทำให้พลังลดลงมากนัก!”

“เจ้าก็รู้วิชายุทธ์เช่นกันหรือ?” ซีจ้านเฉินถาม หันมองเด็กสาวพร้อมรอยยิ้มหนึ่ง

ชิงอวี่พยักหน้าอย่างภาคภูมิ “เล็กน้อยเท่านั้น”

นัยน์ตาชายหนุ่มอ่อนโยนยามกล่าว “เจ้าอยากเห็นดาบข้าหรือไม่?”

ชิงอวี่กะพริบตาถาม “ได้หรือ?”

ซีจ้านเฉิน มือสังหารในตำนาน ว่ากันว่ามีดาบที่รวดเร็วที่สุดในใต้หล้า ศัตรูยังไม่ทันเห็นเงาดาบก็สิ้นลมเสียแล้ว

ดังนั้นอาวุธของเขาจึงกลายเป็นอาวุธที่ลึกลับที่สุดชิ้นหนึ่งในแดนเลยทีเดียว

หมัดยักษ์เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารหนั่นแน่น ทว่าทั้งสองคนยังยืนคุยราวกับไม่เห็นคนอื่น และเมื่อพวกเขากลั่นพลังเพื่อส่งหมัดกระแทกลงมานั่นเอง ที่ข้างหูก็พลันได้ยินเสียงลมหวีดหวิว

เสียงลมหรือ?

ไม่ใช่! ไม่ใช่ลม แต่เป็นพลังชี่จากดาบต่างหาก!

แต่กว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว หมัดแกร่งขนาดยักษ์ทำท่าราวกับถูกอสูรฉีกกระชาก สลายกลายเป็นหมอกแล้วกระจายหายไปทันที

คนทั้งหลายได้แต่มองภาพนั้นด้วยความตื่นตะลึง จากนั้นก็มีเส้นสีโลหิตปรากฏขึ้นลากตั้งแต่กลางหน้าผากถึงปลายคาง ก่อนที่ร่างทั้งหมดจะล้มตึงลง ไม่เคลื่อนกายไม่หายใจอีก

ชิงอวี่กะพริบตาประหลาดใจ จากนั้นกะพริบอีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตน

นาง….. นางไม่เห็นซีจ้านเฉินลงมือเลย!!

บุรุษผู้นี้เป็นตัวอะไรกัน!? พลังเขาจะสะเทือนชั้นฟ้าเกินไปแล้ว!!

สมกับที่ได้ชื่อว่าดาบรวดเร็วที่สุดในแดนจริง ๆ!!

เห็นนางเปลี่ยนสีหน้าไปมาเช่นนั้น ซีจ้านเฉินก็อดหัวเราะเสียงเบาขึ้นไม่ได้ เขายืดแขนยาวออกมา ดาบยาวสีดำสนิทที่มีลวดลายลึกลับซับซ้อนพลันปรากฏขึ้นในมือ

บนด้ามจับดาบคือหัวงูกำลังแลบลิ้นสองแฉก นัยน์ตาคล้ายมีชีวิตของมันส่องประกายสีดำ ราวกับว่ามีชีวิตจริงก็มิปาน

เขาใช้หัวแม่โป้งดันด้ามจับดาบขึ้นเล็กน้อย พริบตาที่ดาบออกจากฝัก กลิ่นอายเย็นยะเยือกก็แผ่ออกมา ทำให้ผมบนไหล่ชิงอวี่ไหวน้อย ๆ

ชิงอวี่ตาเป็นประกาย อดร้องชมขึ้นมาไม่ได้ “ดาบดีจริง!”

ซีจ้านเฉินคลี่ยิ้ม เก็บดาบเข้าฝักแล้วเอ่ยขึ้น “ดาบเล่มนี้มีชื่อว่าดาบสะท้านมาร เป็นดาบปีศาจจากยุคโบราณ ใช้เวลาตีนานถึงสามร้อยปีด้วยพลังจากหุบเหวมืด กลืนวิญญาณมานับหมื่น”

ชิงอวี่ขมวดคิ้วมุ่น “ดาบปีศาจหรือ? แล้วทำไมท่าน…..”

อาวุธและของวิเศษทั้งหลายที่ได้ชื่อว่าปีศาจจะมีจิตวิญญาณเป็นของตน หากเจ้าของไม่สามารถคุมมันได้ก็จะเป็นภัยต่อร่างผู้ครอบครอง แก่นพลังในร่างจะถูกวิญญาณร้ายกลืนกินจนกระทั่งเลือนหายและตายไปในที่สุด

ซีจ้านเฉินเห็นนางหน้าฉงนก็หยิบดาบสะท้านมารเข้ามาใกล้นาง “อยากลองจับมันหรือไม่?”

“ได้หรือ?” ชิงอวี่ยิ่งประหลาดใจกว่าเก่า

เมื่อของพวกนี้มีจิตวิญญาณขึ้นมาแล้ว มันจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องได้ง่าย ๆ นอกจากเจ้าของแล้วก็ไม่มีใครบังอาจแตะมันได้อีก

แล้วเขา….. กลับปล่อยให้นางแตะอาวุธเขางั้นหรือ?

เห็นชิงอวี่ลังเล ซีจ้านเฉินก็ยัดดาบสะท้านมารใส่มือนาง นางเกือบโยนดาบทิ้ง แต่กลับพบว่านางไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย

ซีจ้านเฉินหัวเราะก่อนอธิบาย “เจ้าเพียงต้องทำมันเชื่องเท่านั้น จากนั้นมันจะยอมทำตามทุกอย่างเอง”

“ท่านสามารถทำให้วิญญาณจากของพวกนี้เชื่อฟังได้โดยสมบูรณ์เลยหรือ?” ชิงอวี่ถามอย่างไม่อยากเชื่อ

ดูจากที่จิตวิญญาณอาวุธของนางหนีออกจากบ้านไปก็ได้ หากคิดจะบังคับให้สิ่งมีชีวิตเย่อหยิ่งของหองอย่างพวกเขาให้ก้มหัวต่อมนุษย์โดยสมบูรณ์ จะเป็นไปได้ก็คงต้องทำสัญญานายทาสกันเท่านั้น บีบให้อีกฝ่ายอยู่ในจุดเสียเปรียบมากที่สุด

“ก็แค่อัดมันจนยอมเชื่อฟังเท่านั้น” ซีจ้านเฉินว่าท่าทางไม่ใส่ใจ “ตอนที่มันมีจิตวิญญาณขึ้นมาคราแรก มันหาญกล้าจะครองร่างข้า หลบซ่อนอยู่ภายในดาบ แต่สุดท้ายข้าก็พบเข้าจึงสั่งสอนมันจนจิตวิญญาณแทบแตกซ่านสูญสลาย นับแต่นั้นมามันก็ว่านอนสอนง่ายนัก”

กระบวนการเช่นนี้ เชื่อได้เลยว่าโหดร้ายเกินจะมอง นางยังใจอ่อนเกินไปจริง ๆ

“เจ้าคงจะเป็นศิษย์สำนักละอองหมอกสินะ? ว่ากันว่าที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้าม หากพวกศิษย์รุกล้ำเข้ามาจะถูกลงโทษ” ซีจ้านเฉินทำท่าเหมือนเพิ่งนึกได้ เอ่ยปากขึ้นมาหลังจากชะงักไปชั่วระยะหนึ่ง

เมื่อเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น ชิงอวี่ก็ขมวดคิ้วแล้วสบถเสียงเบาออกมา “บ้าจริง ข้าเกือบลืมเรื่องเสี่ยวเป่ยไปเลย”

เห็นสีหน้านางซับซ้อน ซีจ้านเฉินจึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “มีอะไรหรือ?”

“ก็เพราะงานสานสัมพันธ์สามสำนักใหญ่นี่ล่ะ น้องชายข้าได้รับเลือก ทำให้คนอื่นอิจฉา ใช้แผนร้ายบีบให้เขายอมยกที่ว่างให้ ไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงส่วนไหนของที่นี่กันแน่” ชิงอวี่เอ่ยเสียงจนใจ ยกสองมือขึ้นกุมหน้าผาก

ซีจ้านเฉินเห็นแล้วก็ยกยิ้ม “ข้าก็คิดว่าสำนักละอองหมอกจะเก่งกล้าสักแค่ไหน ว่ากันว่าเป็นสวรรค์บนดิน เป็นราวกับแดนเซียน แต่ก็เป็นแค่ชื่อเสียงกลวง ๆ ที่ทำตนออกนอกลู่ทางสินะ”

“เจ้าอย่ากังวล ข้าจะช่วยตามหาเขาเอง” ซีจ้านเฉินว่าแล้วก็ตบไหล่นางเป็นเชิงปลอบ

เขาได้ดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์มาก็ควรจะออกไปได้แล้ว เฟิงฉีกับคนอื่น ๆ ก็รอเขาอยู่ด้านนอก แต่เขากลับมาพบเด็กสาวเข้า

เขาคิดว่าตนคงจะถูกพิษเป็นแน่ เขาถึงกับขนาด….. ไม่คิดอยากจากไปโดยเร็ว หรือก็คือไม่อยากจากนางไปโดยเร็วเช่นนี้

ที่ตรงตำแหน่งหัวใจ เขาสัมผัสถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน รู้สึกราวกับเคยพบนางมาก่อนก็มิปาน ดังนั้นจึงไม่ได้ระวังเด็กสาว กลับเชื่อใจนางมากด้วยซ้ำ

หากเฟิงฉีและคนอื่น ๆ รู้เข้าว่าจะมีวันที่เขาทำตามอารมณ์มากกว่าเหตุผลเช่นนี้ พวกเขาคงคิดว่าเขาถูกสิงเป็นแน่

———————————-

“ฮึ่ม! ไม่รู้ว่าชิงอวี่ผู้นั้นมีเบื้องหลังสูงส่งขนาดไหน กระทั่งท่านเจ้าสำนักยังเห็นว่านางสำคัญ เรียกทุกคนมาที่นี่เพื่อตามหานางเลยหรือ? เพราะนางเป็นอัจฉริยะผู้ครองทุกธาตุเท่านั้นแน่หรือ?”

“เจ้าเลิกบ่นพร่ำเพรื่อได้แล้ว ท่านเจ้าสำนักสั่งว่าต้องหาตัวนางให้พบก่อนตกดึก”

เด็กสาวที่ประสาทรับเสียงดีพลันได้ยินเสียงบ่นดังแว่วมา นัยน์ตาเป็นประกายวาบ นางเอ่ยกับบุรุษข้างกายนางว่า “ไปเถอะ เราหลบคนพวกนั้นก่อน”

“เหมือนพวกเขาจะมาหาเจ้านะ เจ้าไม่ออกไปพบพวกเขาหน่อยหรือ?” ซีจ้านเฉินถามเสียงฉงน

“ฮ่า! สถานที่ต้องห้ามเหล่านี้เดินทางไปมาไม่ง่าย ข้าไม่อยากร่วมทางไปกับพวกเขา มีแต่จะเป็นภาระให้ข้าต้องช่วยเหลือน่ะสิ” ชิงอวี่ตอบด้วยใบหน้าเรียบสนิท

เมื่อเห็นการกระทำน่ารังเกียจของบำเพ็ญวิญญาณแล้ว นางจึงมองทั้งสำนักไม่ได้ดีเท่าไรนัก

นางรวมเศษวิญญาณของท่านแม่ครบเมื่อไหร่ นางก็จะไม่รั้งอยู่ในสถานที่น่ารังเกียจเช่นนี้อีก

เห็นใบหน้าน้อยเย็นชาเรียบสนิทเช่นั้น ซีจ้านเฉินพลันหัวเราะออกมา “นิสัยเจ้านี่…..”

“เลือดเย็น?” ชิงอวี่เหลือบมองเขาพลางถามขึ้น

ทว่าเขากลับส่ายหน้าแล้วตอบเสียงนุ่ม “น่ารักดี”

“…..” ทำไมถึงรู้สึกเหมือนเขากำลังหยอกเอินนางเลยเล่า?

เจ้าก้อนถ่านเล็กที่กำลังขดตัวกลม พยายามลดตัวตนจนถึงขีดสุด พลันสะกิดแขนชิงอวี่เบา ๆ ชี้ให้เห็นว่าอีกฝ่ายหยอกเอินท่านแม่อยู่จริง ๆ ขอนางอย่าถูกใบหน้านั่นล่อลวง โร่วโร่วมีท่านพ่อแล้ว ท่านจะมาหยอกล้อหยอกเอินกับชายอื่นลับหลังท่านพ่อไม่ได้นะ!

โร่วโร่วสามารถติดต่อถึงจิตชิงอวี่ได้โดยตรง และเมื่อได้ยินคำเจ้าก้อนถ่านแล้ว ชิงอวี่ก็ชะงักไปชั่วขณะ ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามีท่านพ่อตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ท่านแม่จำไม่ได้แล้วหรือ? ท่านผลักท่านพ่อลงกับเตียงแล้วยังจูบเขามาแล้วเลย ทำไมท่านถึงไร้ความรับผิดชอบอย่างนี้! ?” โร่วโร่วบ่นเสียงเบา

ชิงอวี่ “…”

บัดซบ เจ้าก้อนขนหมายถึงโหลวจวินเหยาหรือ?

มันแค่เรื่องเข้าใจผิด เจ้าเข้าใจหรือไม่? นางอธิบายได้นะ…..