บทที่ 194 เมฆฝนโหมกระหน่ำ
เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวันก่อนงานสานสัมพันธ์สามสำนักใหญ่จะเริ่มขึ้น พระอาทิตย์ตอนนี้คล้อยต่ำเหนือขอบฟ้าทิศตะวันตกแล้ว ราตรีใกล้เข้ามาเต็มที
ทุกคนออกตามหานางมาทั้งวัน ตอนนี้กำลังรวมตัวกันหารือ
“เจ้าคิดว่าแม่นางน้อยจะไปอยู่ที่ใดได้? ทำไมถึงไม่พบร่องรอยนางเลย?” ซู่หลีม่อยืนหลังพิงต้นไม้ ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมนัก
ลั่วหลานจือหรี่ตาเอ่ยเสียงเบา “เจ้าสัมผัสถึงกลิ่นอายไม่คุ้นเคยที่ปรากฏขึ้นในสถานที่ต้องห้ามหรือไม่?”
ซู่หลีม่อดูชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงนึกย้อนไป “เจ้าจะบอกว่ามีผู้บุกรุกหรือ? เป็นไปไม่ได้ เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าสามคนนั้นแกร่งขนาดไหน แค่คนเดียวก็น่าปวดหัวแล้ว แล้วนี่มีกันตั้งสาม กระทั่งพี่ใหญ่ของเรายังทำอะไรพวกเขาไม่ได้ แล้วจะมีคนสลัดสามคนนั้นหลุด แอบเข้ามาได้อย่างไร?”
“ก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้ อีกทั้งบรรยากาศชั่วร้ายของที่นี่ก็หนาแน่นขึ้นด้วย” ลั่วหลานจือทอดสายตาไปไกล “เกรงว่าความลับที่ซ่อนไว้ในสถานที่ต้องห้ามเหล่านี้คงไม่เป็นความลับอีกต่อไปแล้วกระมัง”
ที่อีกด้านหนึ่ง ชิงเป่ยและคนกลุ่มนั้นเผชิญอันตรายมากมาย แต่ก็รอดพ้นมาได้อย่างปลอดภัย หลังจากชิงเป่ยช่วยพวกเขารอดพ้นอันตรายมาได้หลายครั้งเข้า คนกลุ่มนั้นก็เชื่อใจเขามาก
เพราะชิงเป่ยสามารถคาดเดาถึงอันตรายที่อาจเกิดก่อนมันจะเกิดขึ้นจริง ๆ ได้ ความสามารถน่ามหัศจรรย์ใจเช่นนี้ย่อมต้องถูกใช้ให้ถึงขีดสุด หัวหน้ากลุ่มหน้าแผลเป็นเอ่ยกับเขาว่า “น้องชาย เจ้าสามารถเห็นคนที่เอาดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์ ไปหรือไม่?”
เดินทางกันมาถึงขนาดนี้แล้ว ชิงเป่ยย่อมรู้จุดมุ่งหมายของพวกเขาดี พวกเขามาเพื่อชิงสมบัติล้ำค่าในสถานที่ต้องห้ามแห่งนี้
ดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์มีความสามารถมหัศจรรย์นัก ฟื้นชีพคนตาย ฟื้นคืนวิญญาณได้ บังเอิญนักที่สมบัติล้ำค่านี้จะบานเต็มที่ในอีกสองสามวัน ไม่รู้ว่าพวกคนนอกรู้เรื่องที่หัตถ์พระโพธิสัตว์พากันมาซ่อนอยู่ในสำนักกันได้อย่างไร แต่เมื่อข่าวแพร่ออกไปแล้วก็พาเอาหลายสายตาเข้ามามาก
ว่ากันว่าคนเบื้องสูงบางคนให้ราคาเป็นทองมูลค่าสูงมาก ใครที่เอาดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์ไปให้เขาในสภาพบริสุทธิ์ได้จะให้สิบล้านตำลึงทอง แม้ราคาในตลาดจะสูงเพียงสองล้านก็ตามแต่
เมื่อมีราคาสูงเช่นนี้ มีหรือที่คนทั้งหลายจะไม่หลงใหลมัวเมา? โดยเฉพาะคนที่เอาชีวิตรอดด้วยคมดาบในยุทธภพ ต้องคอยต่อสู้อยู่ตลอด นับเป็นพวกที่ต้องการเงินที่สุด คนพวกนี้ต่างก็พากันหลั่งไหลเข้ามาเป็นฝูง
และคนกลุ่มนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ได้ยินดังนั้น ในหัวชิงเป่ยก็ฉายภาพหนึ่งขึ้นมา ส่งผลให้เขาเบิกตากว้าง
ชิงอวี่นี่…..
นางเข้ามาทำอะไรที่นี่ด้วยเล่า?
คงจะเข้ามาตามหาหลังจากพบว่าเขาหายตัวไปเป็นแน่
แต่ที่นี่อันตรายเกินไป
แม้เขาจะไม่อาจอธิบายความรู้สึกนั้นได้ แต่ในการเดินทางครั้งนี้ ในใจเขาไม่เคยสงบลงสักครา เหมือนกับที่นี่….. มีบางอย่างที่น่ากลัวซ่อนอยู่
ไม่ได้แล้ว เขาต้องรีบหาตัวชิงอวี่ แม้นางจะเก่งกาจพอตัว มีไพ่ตายหลายใบ แต่ก็ไม่อาจล่วงรู้ถึงอันตรายในสถานที่นี้ได้ เขาจะวางใจลงได้ มีแต่ยามที่ได้อยู่ข้างนางแล้วเท่านั้น
ตอนนี้เขาเหลือเพียงชิงอวี่ที่เป็นฝ่ายปกป้องเขามาโดยตลอด แต่ตอนนี้อย่างน้อย ๆ เขาก็อยากเป็นฝ่ายปกป้องนางด้วยพลังอันอ่อนแอของตัวเขาเองบ้าง
ตอนนั้นเอง ณ สถานที่หนึ่งภายในสถานที่ต้องห้าม บางอย่างก็ค่อย ๆ ก่อกำเนิดขึ้น แพร่กระจายออกไปอย่างไร้เสียง ท่าทางน่าขวัญผวา ราวกับกำลังจะทำลายโซ่ตรวนภายใต้หุบเหวลึกออกมาได้
— แดนธาราขาว —
ภายในตระกูลเฟิ่ง
“คุณชาย มีแขกมาขอพบ ผู้นำตระกูลเรียกท่านให้ไปพบขอรับ” ที่ด้านนอกประตูได้ยินเสียงเคาะเรียก จากนั้นเสียงข้ารับใช้ก็ดังขึ้นอย่างเคารพนบน้อม
“คุณชาย? คุณชายอยู่ข้างในไหมขอรับ?”
ภายในห้องไร้เสียงตอบรับ คนด้านนอกลังเลเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือออกไปช้า ๆ หมายจะผลักประตูเปิดออก ทว่ายังไม่ทันได้แตะโดน เงาดำสนิทก็ซัดเข้าที่แขน เจ็บปวดราวกับถูกอสูรร้ายกระชากอย่างไรก็อย่างนั้น
ข้ารับใช้หน้าซีดเผือด ทรุดลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด คงจะเจ็บมากจนร้องไม่ออก
“ยังไม่ไสหัวไปอีก?”
เสียงที่ตามมาคือน้ำเสียงทุ้มน่าฟังของบุรุษคนหนึ่ง “ข้าบอกแล้วว่าไม่ชอบให้คนเข้ามาในห้อง หากเจ้าหูหนวก ครั้งหน้าข้าช่วยล้างให้ได้”
หึ ล้างด้วยเลือดเป็นอย่างไรเล่า?
ข้ารับใช้หน้าไร้สีเลือด รีบก้มคำนับกระแทกศีรษะลงเสียงดัง “ข้าน้อยรับรู้ความผิดแล้ว ขอคุณชาย….. อภัยให้ด้วย”
ว่ากันว่าคุณชายรอง ตระกูลเฟิ่งนั้นทั้งอ่อนแอทั้งขี้อาย ธรรมดาเรียบง่ายและไร้ความสามารถอะไร แต่ใครจะรู้ว่านับตั้งแต่ที่คุณชายรองร่วงจากหลังม้าเมื่อหลายปีก่อน เขากลับเปลี่ยนเป็นคนละคน
ภายใต้ใบหน้าท่าทางอ่อนโยนคือความโหดเหี้ยมกระหายเลือดที่ซุกซ่อน ไม่มีใครในตระกูลเฟิ่งกล้าเหิมเกริมกับเขา กระทั่งคุณชายใหญ่ยังต้องยอมตาม ผู้นำตระกูลยังให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
ใครที่ล่วงเกินเขาย่อมไม่พบจุดจบอันดี ตายศพไม่สมประกอบนับว่าเป็นบทลงโทษสถานเบาแล้ว
ทว่าวันนี้ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีไม่น้อย ข้ารับใช้ตัวสั่นงันงกอยู่นาน พลันได้ยินเสียงดังมาอีก “ไปสิ เดี๋ยวข้าออกไป”
เขา….. รอดแล้วงั้นหรือ?
ข้ารับใช้รู้สึกราวกับตนโกงความตายมาได้ รีบโขกศีรษะอีกสองครั้ง “ขอบพระคุณคุณชายรอง ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”
จากนั้นจึงรีบหลบหนีออกมาจากเรือนที่ไม่มีใครอยากกล่าวถึงโดยเร็ว
งานที่น่ากลัวที่สุดของบ่าวรับใช้ในตระกูลเฟิ่งคือการนำข่าวไปส่งให้คุณชายรอง เพราะหากพลาดเพียงนิดก็ถึงชีวิตได้
ภายในห้องที่มีผ้าม่านกั้นไว้หลายชั้น ร่างสูงของบุรุษคนหนึ่งเห็นเป็นเงาราง ๆ กำลังเอนหลังอยู่บนเตียง สวมเพียงชุดคลุมชั้นในตัวบางที่หลุดลงมาเท่านั้น เผยให้เห็นหน้าอกที่มีกล้ามเนื้อหนั่นแน่น ดูงดงามอย่างร้ายกาจ
บนใบหน้าหล่อเหลาสง่างาม รอยยิ้มงามค่อย ๆ แผ่ออกมา ภายในนัยน์ตานั้นราวกับมีแสงดาราส่องประกายนับล้านดวง
“ชิงชิง ทำให้ข้าประหลาดใจนัก ไปโผล่อยู่ที่นั่นเสียได้”
ชายหนุ่มหัวเราะแผ่วเบา สีหน้าอ่อนโยนเป็นยิ่งนัก “แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะรอดชีวิตกลับมา เพราะเจ้าเป็นสตรีที่เป็นลิขิตของข้า มีแต่เจ้าที่ถือครองพลังเช่นนั้นจึงจะยืนเคียงข้าได้ เป็นสตรีของข้า….. ได้อย่างแท้จริง”
———————————–
“เป็นอะไรไป?” ซีจ้านเฉินมองเด็กสาวที่พลันชะงักฝีเท้าไป
ชิงอวี่รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาชั่วพริบตา
หัวใจนางหยุดเต้นไปจังหวะหนึ่ง ราวกับถูกกดดันจนหายใจแทบไม่ออก
ความรู้สึกนี่ถูกส่งมาจากที่ไหนกัน? นางไม่รู้เลย หากมีเสี่ยวเป่ยก็คงรู้เบาะแสบ้างแล้วแท้ ๆ
“ชิงอวี่?”
เห็นนางชะงักค้างไปไม่ตอบคำ ซีจ้านเฉินจึงเรียกชื่อนางอีกครั้งหนึ่ง
ชิงอวี่จึงตั้งสติขึ้นได้ หันกลับมาถามเขาเสียงเบา “ท่านสัมผัสได้หรือไม่?”
“อะไรหรือ?” ซีจ้านเฉินไม่เข้าใจ
ชิงอวี่ไม่เอ่ยอะไรอีก ในเมื่อเขาสัมผัสไม่ได้ ดูเหมือนว่าความรู้สึกนี้จะพุ่งตรงมายังนางคนเดียว
“ซีจ้านเฉิน ท่านรู้ทางออกหรือไม่?”
“ข้ารู้ แต่เจ้ากำลังหาคนไม่ใช่หรือ?” ซีจ้านเฉินคิดว่านางอยากออกไป อดประหลาดใจไม่ได้
ชิงอวี่พยักหน้าตอบ “ข้าตามหาน้องชายอยู่ แต่ไม่อยากรบกวนท่านมากไป ท่านออกไปก่อนเถอะ ข้าอยู่คนเดียวได้”
ซีจ้านเฉินขมวดคิ้ว “ข้าไม่คิดเป็นเรื่องรบกวน อีกทั้งเจ้าอยู่คนเดียวไม่ปลอดภัย”
“ท่านต้องเอาดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์ออกไปไม่ใช่หรือ? ท่านรอเวลากว่ามันจะบานตั้งหลายวัน ข้าก็คิดว่าคงจะเป็นภารกิจสำคัญ…..”
“ข้าไม่รีบ” ซีจ้านเฉินขัดคำนาง เขาหรี่ตาลงก่อนเอ่ยต่อ “เจ้าเป็นอะไรไป? ทำไมทำตัวแปลก ๆ”
นางหยุดชะงักไปแล้วทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ทว่า….. นางไม่อยากบอกเขา แล้วตอนนี้ยังไล่เขาไปอีกงั้นหรือ?
ชิงอวี่รู้สึกจนใจอยู่บ้าง คนผู้นี้หัวแข็งไม่น้อย เหมือนตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น แต่นางจะหาเหตุผลอะไรทำให้เขาจากไปได้กัน?
แม้นางจะอยากชิงดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์มา แต่ก็ไม่อยากลากคนบริสุทธิ์เข้ามาพัวพันด้วย ชายหนุ่มอาจเป็นนักฆ่า แต่ก็เป็นนักฆ่าที่มีเมตตาคนหนึ่ง ไม่ควรถูกกลบฝังอยู่ที่นี่
แต่ครั้งนี้ กระทั่งนางเองยังใจเต้นไม่เป็นส่ำ เกรงว่าจะไม่อาจออกไปโดยไร้รอยขีดข่วนได้
“ซีจ้านเฉิน ท่านฟังข้า เราเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อกัน เพิ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่ ในฐานะนักฆ่ามือฉกาจ ท่านคงเจ้าอารมณ์ไม่น้อย คงไม่อยากเข้ามาพัวพันกับเรื่องของคนอื่น” ชิงอวี่เอ่ยเสียงเรียบ น้ำเสียงกดดันหน่อย ๆ
แต่มีหรือที่ซีจ้านเฉินจะไม่รู้ว่าพูดไปเพื่อหวังให้เขาโกรธ ให้เขาจากไปเอง?
“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น เว้นเสียแต่เจ้าออกไปด้วยกัน” เขาตั้งมั่นแล้ว
“ท่าน…..”
ชิงอวี่ตัวเกือบระเบิดเพราะความโกรธ เป็นตอนนั้นเองที่น้ำเสียงเจือแววขันของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยเสียงเอื่อยขึ้น “จิ้งจอกน้อย?”
ชิงอวี่สะดุ้ง เสียงนั้นเรียกนางอีกครั้งนางจึงมีการตอบสนอง นางดึงลูกแก้วสีม่วงออกมา เห็นเป็นภาพใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มที่ราวกับพระเจ้าเป็นคนลงมือแกะสลักด้วยตนเองอยู่ภายในนั้น
โหลวจวินเหยาจากไปแดนเมฆาสวรรค์ได้ยี่สิบกว่าวันแล้ว ไม่ได้เห็นนางมานานเช่นนี้เขาย่อมคิดถึงนางอยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงคิดอยากติดต่อหานาง หยิบเอาลูกแก้วสื่อสารออกมา จะได้เห็นว่าช่วงนี้จิ้งจอกน้อยผอมลงอีกหรือไม่
เขามองปราดเดียวก็รู้ว่านางไม่ได้อยู่ในสำนักละอองหมอก เพราะรอบกายนางดูไม่คุ้นตานัก
“เจ้าอยู่ที่ไหน?” โหลวจวินเหยาถาม
ชิงอวี่ตอบความ “สถานที่ต้องห้ามสำนักละอองหมอก”
โหลวจวินเหยาชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าเข้าไปทำอะไร? พบอันตรายหรือไม่? เจ้ารีบออกมาเถอะ ที่นั่นรู้สึกได้ถึงความชั่วร้ายหนาแน่นนัก ไม่รู้ว่าจะมีตัวอันตรายอะไรที่เจ้ารับมือไม่ไหวหรือไม่”
ชิงอวี่ถอนใจ เอ่ยเสียงขรึมอยู่บ้าง “เรื่องมันยาว ตอนนี้เหมือนข้าจะพบปัญหารำคาญใจ ไม่รู้ว่าข้าไม่ทำตัวอะไรตื่นขึ้นหรือไม่ แต่ต้นคอข้าขนลุกซู่ไปหมด แล้วก็รู้สึกเหมือนกับว่า….. จะหนีจากมันไม่ได้ด้วย”
ใช่แล้ว นางเดินหนีไปจากมันไม่ได้
ดังนั้นนางจึงบอกให้ซีจ้านเฉินไป คงจะมีบางอย่างจับตัวนางไว้ จู่ ๆ นางจึงหยุดเดินไปเช่นนั้น ทั้งยังไม่อาจยกขาเดินต่อได้อีก
โหลวจวินเหยาขมวดคิ้ว “ยูนิคอร์นอสนีบาตคงตามเจ้าเข้าไปแล้ว คงหาตัวเจ้าพบในอีกไม่นาน เจ้ารอข้าไปหา อย่าเพิ่งตัดการติดต่อจากลูกแก้วไปเสียก่อนเล่า”
เด็กสาวพยักหน้ารับ ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่กลับมีหมอกหนามาปิดบังอยู่ภายในลูกแก้วจนไม่อาจมองเห็นอะไรได้อีก
โหลวจวินเหยาสีหน้าทะมึนลงทันที ร้องถามเสียงสูง “จิ้งจอกน้อย เป็นอะไรหรือไม่?”
ไร้เสียงตอบรับจากอีกฝั่งหนึ่ง กระทั่งเสียงก็ไม่ได้ยินอะไรแล้ว โหลวจวินเหยากำหมัดแน่น มวลอากาศรอบกายพลันปั่นป่วนขึ้นมา
“นายท่าน ท่านเพิ่งจะกลับมา บาดแผลจากครั้งก่อนก็ยังไม่หายดี ท่านจะออกเดินทางอีกไม่ได้นะเจ้าคะ…..”
เยว่จีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พยายามเอ่ยกล่อมเขา
แต่พริบตาที่นางเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่ควรจะนั่งอยู่บนบัลลังก์สูง นางกลับกับความว่างเปล่า
รวดเร็วเช่นนี้ นายท่านคงจะฉีกมิติเดินทางลงไปยังดินแดนระดับล่างโดยตรงเสียแล้วกระมัง
เยว่จีได้แต่ขมวดคิ้วแน่น