บทที่ 164 ใครจะรู้ว่าเป็นพรรคพวกเดียวกัน
บทที่ 164 ใครจะรู้ว่าเป็นพรรคพวกเดียวกัน
มีผู้หญิงตั้งมากในหงซินที่ทำอาหารได้!
แม้ว่าคนเหล่านี้จะรู้ว่าตระกูลซูมีคนหนุนหลัง แต่เมื่อมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ก็จะมุ่งประเด็นมาใส่ทันที
สะใภ้ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข พวกเธอได้เป็นคนงานแล้ว
แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินใครบางคนพูดขึ้น
ทำเอารอยยิ้มบนใบหน้าของทั้งสองหายไปในทันที แล้วมองดูผู้คนที่จ้องมองมาที่พวกเธอด้วยความประหลาดใจ
“งั้นก็ไปไล่ถามคนในหงซินสิ ใครมีฝีมือการทำอาหารเทียบพวกเราได้บ้างล่ะ?” ฉีเหลียงอิงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ถึงนิสัยของฉีเหลียงอิงจะไม่แย่ แต่ใครก็รู้ว่าเวลาแบบนี้ถ้าไม่สู้กลับให้หนัก โอกาสก็จะถูกคนแย่งไป บางทีอาจจะได้รับชื่อเสียงไม่ดีมาแทนก็ได้
เหลียงซิ่วเห็นด้วยทันที “ถูกต้อง เวลาบ้านใครมีงานเล็กงานใหญ่ก็ให้พวกเราสองคนทำไม่ใช่หรือ?”
“พวกเธอทำอาหารเก่งก็จริง แต่ในชุมชนการผลิตของเรา ใคร ๆ ก็รู้ว่าพวกเธอไม่ได้ไปเรียนหนังสือนี่?” ซูหูจื่อถาม “แล้วคนที่ไม่เคยเรียนหนังสือจะไปผ่านการสอบรอบแรกได้อย่างไร?”
ซูหูจื่อตกรอบแล้ว ที่จริงเขาจบแค่ประถม ตามเหตุผลแล้ว เขาควรผ่านการทดสอบรอบแรกด้วยซ้ำ
แต่ซูหูจื่อที่ไปโรงเรียนไม่ได้ตั้งใจเรียนเลยด้วยซ้ำ แทบจะเขียนหนังสือไม่ได้สักตัว
เลยถูกกำจัดไปในคราวเดียว
แต่เขาไม่คิดว่าตัวเองผิด กลับกัน เขาดันคิดว่าต้องมีปัญหากับคนตรวจแน่ แน่นอนว่าต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลัง ถึงทำให้กระดาษคำตอบถูกปัดตกไป
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ไม่กล้าพูดออกไป
และตอนนี้ไม่ใช่คนเดียวที่สงสัย เขาจึงมีความกล้าขึ้นมา
ที่จริงเขาอาจะจับจุดอ่อนของหลี่ฉางชิ่งและพวกบ้านซูได้
“ซูฉางจิ่ว หลี่ฉางชิ่ง ฉีเหลียงอิง เหลียงซิ่ว พวกคุณทำข้อตกลงลับ ๆ อะไรกันถึงได้แย่งโอกาสพวกนี้ไป?”
“วันนี้พวกคุณต้องอธิบายให้คนในชุมชนการผลิตทราบ มิฉะนั้น ผมจะไปฟ้องพวกคุณที่ชุมชนใหญ่!”
ซูหูจื่อพูดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าเขามีเหตุผลแล้วอย่างไรอย่างนั้น
การถูกใส่ร้ายโดยไม่มีเหตุผล ทำเอาสีหน้าของหลี่ฉางชิ่งและคนอื่น ๆ ดูไม่ค่อยดีนัก
แต่เรื่องยุ่งยากกำลังตามมาต่างหาก ในเมื่อมีคนนำ คนสร้างปัญหาย่อมมากขึ้น
“ฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่ซูหูจื่อพูด ฉีเหลียงอิงกับเหลียงซิ่วไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน แล้วพวกเขาจะสอบผ่านได้อย่างไร?”
วูบหนึ่งที่มีร่องรอยเยาะเย้ยที่มุมปากของเสี่ยวฉิน แต่ไม่ได้ทำให้คนอื่นที่กำลังสร้างปัญหาอยู่สนใจเลย
ถ้าให้ผู้หญิงสองคนนี้ไปเป็นคนงาน งั้นจากนี้ไปชีวิตเสี่ยวเถียนจะไม่ยิ่งดีขึ้นหรือ?
ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด เธอตกรอบแล้ว จะปล่อยให้สองคนนี้มีชีวิตที่ดีได้อย่างไร
อันที่จริงเสี่ยวเถียนเฝ้าดูพี่คนนี้อยู่เงียบ ๆ มาโดยตลอด พอเห็นความโหดร้ายบนใบหน้าก็อดตัวสั่นไม่ได้
ฉืออี้หย่วนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยถาม “เสี่ยวเถียน หนาวหรือ?”
ว่าจบก็กำลังจะถอดเสื้อบุนวมตัวมอมออกมาแล้วมอบให้น้องสาว
เด็กหญิงรีบหยุดไว้ “ไม่ใช่ค่ะพี่อี้หย่วน หนูแค่รู้สึกว่าเสี่ยวฉินคนนี้หน้าตาดูชั่วร้าย ก็เลยกลัวนิดหน่อย”
เขาจับมือเสี่ยวเถียนไว้ทันที “ไม่เป็นไรนะ พี่อี้หย่วนจะไม่ปล่อยให้เสี่ยวฉินทำร้ายน้องแน่”
ฉากนี้บังเอิญเข้าตาซูโส่วเวินพอดี เขาจึงอดขมวดคิ้วไม่ได้
ฉืออี้หย่วนคนนี้ ทำไมต้องทำให้คนอื่นไม่สบายใจด้วยเนี่ย?
เห็นได้ชัดเลยว่าซูโส่วเวินไม่เคยคิดมาก่อน แต่พอเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ และเหตุผลคืออีกฝ่ายแย่งน้องสาวของเขาไปเป็นน้องของตัวเอง
แต่ตอนนี้ตัวก่อกวนที่อยู่ตรงนี้เป็นญาติเขา เลยไม่ได้ให้ความสนใจเด็กสองคนนี้เท่าไร
ขณะที่ฝูงชนกำลังตื่นเต้นที่เห็นความวุ่นวายเกิดขึ้น จู่ ๆ หลี่ฉางชิ่งก็เอ่ยปาก
“ในเมื่อพวกคุณคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับกระดาษคำตอบ งั้นก็ให้คนจากชุมชนคุณสองคนมาตรวจดูสิว่าพวกเขาตอบถูกหรือเปล่า”
หลี่ฉางชิ่งไม่อยากให้เรื่องราวมันยุ่งยากเกินไป จึงรีบระงับความไม่พอใจแล้วพูดอย่างอ่อนโยน
เขากลัวว่ามันจะน่าเกลียดเกินไป แต่เห็นกันจะ ๆ ว่าบางคนไม่ได้กลัวว่าจะดูน่าเกลียด
“ดูกระดาษคำตอบ? ใครจะรู้ล่ะว่าคนที่ดูกระดาษคำตอบเป็นพรรคพวกเดียวกันกับพวกคุณหรือเปล่าน่ะ?”
“ใช่ ๆ ลูกเขยบ้านซูชวนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอำเภอ เพื่อประจบสอพลอพวกระดับสูงแล้ว จะทำอะไรไม่ได้เชียวหรือ?”
หลี่ฉางชิ่งยิ้มเยาะ “ถ้าตำแหน่งทั้งสองถูกกำหนดไว้จริง ๆ งั้นก็ไม่ต้องมาหาพวกคุณก็ได้ ผมเป็นผู้อำนวยการโรงงาน เรื่องแค่นี้มีสิทธิ์อยู่แล้ว”
ในตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงชายผู้หนึ่ง “งั้นเรื่องนี้ให้ฉันจะเป็นคนกลางดีไหม?”
“ผู้ดูแลเฉียน?” พอได้ยินเสียงก็รีบทักทายทันที กระทั่งเดินไปต้อนรับถึงประดูด้วยความเคารพ แล้วนำเก้าอี้มาตั้งให้
ผู้ดูแลเฉียน?
แม้ว่าสมาชิกในชุมชนส่วนใหญ่จะไม่เคยพบผู้ดูแลเฉียนมาก่อน แต่พวกเขาได้ยินมาว่ามีบุคคลหนึ่งในชุมชนใหญ่มีนามสกุลเฉียน
พอเห็นท่าทีของซูฉางจิ่วก็ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องนี้ คนที่อยู่ตรงหน้าคือผู้ดูแลเฉียนที่ว่านั่นเอง
“ผู้ดูแลเฉียน คุณต้องตัดสินใจแทนพวกเรานะ” ซูหูจื่อพูดขึ้น
“ใช่ ๆ ผู้ดูแลเฉียน คุณเป็นผู้นำของชุมชนใหญ่ คุณต้องการทำหน้าที่เป็นประธานให้พวกเราคนธรรมดานะ!”
“โอ้ งั้นพวกคุณบอกฉันสิว่าอยากให้ทำอะไร?” ผู้ดูแลเฉียนกึ่งยิ้ม
เขามาวันนี้เพราะได้ยินว่าฟาร์มไก่ของหงซินทำได้ดีมาก เลยมาดู
ใครจะรู้ว่าหลังจากมาถึงหงซินก็ได้ยินคนบอกว่าโรงงานขนมไข่ที่อำเภอกำลังรับสมัครงานในหงซิน จึงเกิดความสนใจและมาดูบ้าง
ใครจะไปรู้ว่าหลังจากเดินผ่านเข้าประตูมากลับได้เห็นฉากเอะอะโวยวายอยู่
เรื่องดีแท้ ๆ ทำไมถึงทะเลาะกันแบบนี้ล่ะ?
ก่อนหน้านี้มีคนบอกไม่ใช่หรือว่า ชุมชนการผลิตหงซินสามัคคีกันที่สุดน่ะ?
ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นใช่ไหม?
หลังจากที่ผู้ดูแลเฉียนถาม คนที่โวยวายก็เงียบเสียงลง
ไม่มีใครพูดเพราะบรรยากาศที่อึดอัดขึ้นมา
หลี่ฉางชิ่งไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
เขาเสียใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ของตัวเองจริง ๆ ถ้ารู้เรื่องนี้คงไม่ตกปากรับคำรับคนหงซินมาหรอก
ไม่ต้องพูดถึงหลี่ฉางชิ่ง แม้แต่ซูฉางจิ่วก็เสียใจ
เขามองโลกในแง่ดีมากเกินไปกับพวกสมาชิกหงซิน เดิมทีคิดว่าตราบใดที่เปิดเผยและทำอย่างยุติธรรม จะสามารถโน้มน้าวใจทุกคนได้ ไอรีนโนเวล
ใครจะรู้เล่าว่าจะเกิดเรื่องเล่ห์เหลี่ยมอันใหญ่หลวงโดยไม่คาดฝัน ความยุติธรรมทั้งหมดกลายเป็นมืดมนในสายตาคนอื่นทันที
และในตอนที่ผู้อำนวยการหลี่ตัดสินใจจะพูด กลับได้ยินซูหูจื่อเอ่ยปากก่อน
“ผู้ดูแลเฉียน แค่ให้พวกเราทุกคนได้เป็นคนงานก็พอ แต่จะให้พวกบ้านซูชวนมันทำงานไม่ได้นะ! ผมไม่ได้งานก็ช่างมัน แต่เห็นพวกเขาใช้เล่ห์เหลี่ยมแบบนี้ไม่ได้!”
“ซูหูจื่อ คุณพูดว่าอะไรนะ?” ซูฉางจิ่วกำลังจะตายด้วยความโกรธ ไม่คาดคิดว่าซูหูจื่อจะเป็นคนงี่เง่าแบบนี้
“ผมพูดอะไรผิดหรือ? หัวหน้า คุณใช้เล่ห์เหลี่ยมในหงซินแบบนี้แล้วยังไม่ปล่อยให้พวกเราพูดอีกหรือ?”
“ผู้ดูแลเฉียน ถึงบ้านฉันกับบ้านซูชวนจะเป็นญาติกัน แต่ไม่ยอมเห็นคนบ้านนี้รังแกข่มเหงคนอื่นหรอกนะ!” คราวนี้เป็นหลิวซิ่วอิงที่ออกมาข้างหน้า
เดิมทีเธอคิดว่าซูเสี่ยวฉินจะเป็นคนงานได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าเด็กคนนี้ดันพลาดตำแหน่ง แล้วให้สะใภ้บ้านนั้นเอาไปได้ทั้งสองคนแทน
ถ้าบ้านอื่นได้ไปก็คงไม่เป็นไร แต่นี่เป็นบ้านซูชวน เธอไม่เต็มใจน่ะสิ!
พอนึกถึงเรื่องนี้ก็จ้องมองไปที่เสี่ยวฉินอย่างชั่วร้าย
นั่งเด็กไร้ค่านี่ กับอีแค่เรื่องเล็กน้อยยังทำได้ไม่ดีเลย!
“ผู้อำนวยการหลี่ ผมได้ยินมาว่าคุณเป็นตัวแทนของโรงงานขนมไข่ในการรับสมัครคนงานจากหงซิน ในนามของชุมชนใหญ่แล้ว ผมขอขอบคุณสำหรับการดูแลพี่น้องชาวนาเราครับ!” ผู้ดูแลเฉียนเมินเฉยซูหูจื่อกับหลิวซิ่วอิง เลยหันไปพูดกับหลี่ฉางชิ่งแทน
หลี่ฉางชิ่งถอนหายใจ “เดิมทีผมเคยคิดที่จะจ้างคนงานสักสองสามคนอย่างยุติธรรม ถือว่าดูแลคนหงซินด้วย ใครจะรู้ว่าตั้งใจทำด้วยดีกลับกลายเป็นแย่ ผมว่าผมคงต้องไปรับคนงานจากในเมืองแล้ว!”
ทุกคนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นี่หมายความว่าอย่างไร? ไปหาคนงานที่เมือง ไม่ต้องการพวกเขาแล้ว?
หัวใจของคนหงซินจมดิ่ง
ถูกแย่งแล้วแย่งอีก ถ้าถูกคนเมืองแย่งไป จะไปมีความหมายอะไรกัน?
“ผู้อำนวยการหลี่ คุณไม่ได้บอกว่าตำแหน่งนี้เป็นของหงซินเราหรอกหรือ?” ซูหูจื่อถามด้วยความไม่เชื่อ