บทที่ 151 อยากให้นางเชื่อใจเขามากพอ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

เหยาซูไปอุ้มซานเป่าที่นอนหลับสนิทราวกับลูกหมูตัวน้อยอยู่ในห้องออกมา ในตอนที่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา เด็กทารกตัวน้อยพลันรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ซานเป่าตื่นแล้วหรือ? ช่วงเช้าเราจะออกไปเล่นข้างนอกกัน ไปดูพี่ชายและพี่สาวเจ้าขี่ม้าดีหรือไม่?”

เหยาซูพูดคุยกับเขาโดยที่ไม่รู้ว่าซานเป่าฟังเข้าใจหรือไม่เข้าใจ

ต้นฤดูใบไม้ผลิที่มีอากาศดี เหยาซูมักจะพาเขาออกไปเล่นข้างนอกเสมอ ทุกครั้งซานเป่าจะตื่นเต้นดีใจมาก วันนี้ก็เช่นกัน

เขาคลี่ยิ้มจนเห็นฟันน้ำนมที่คล้ายกับเมล็ดข้าว ฉีกยิ้มชนิดที่ว่าเห็นแค่ฟันจนไม่เห็นลูกตาดำเลยทีเดียว ทั้งยังพูด ‘แอะ แอะ’ โดยที่คนภายนอกฟังไม่เข้าใจอีกด้วย

อาซือเห็นเหยาซูเปลี่ยนเสื้อผ้าให้น้องชายเรียบร้อยแล้ว จึงรีบรุดเข้ามาถาม “ท่านแม่ น้องมีหน้าตาคล้ายกับท่านแม่มากเชียวเจ้าค่ะ”

ปีหลังมานี้ซานเป่าเติบโตเร็วมาก เหยาซูอุ้มเขาไว้ในอ้อมแขน อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าเล็ก ๆ นั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับเหยาซูมากทีเดียว

เมื่ออาจื้อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าคล้อยตาม “จมูกและปากของน้องต่างมีขนาดเล็กน่ารัก เหมือนกับท่านแม่ไม่ผิดเพี้ยน แม้แต่คิ้วก็ยังเหมือน”

เหยาซูเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะหันกลับไปพูดว่า “ก็ออกมาจากท้องของข้า ไม่เหมือนข้าแล้วจะให้เหมือนผู้ใดเล่า? อัจฉริยะตัวน้อยทั้งสามอย่างพวกเจ้า ก็ได้ความหน้าตาดีมาจากข้าและพ่อของพวกเจ้านี่แหละ!”

อาจื้อและอาซือต่างพากันหัวเราะคิๆ ออกมา

เมื่อทุกคนได้เห็นเด็กทั้งสามในบ้าน จะต้องชื่นชมว่าน่ารักน่าชังเป็นแน่

อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าของอาจื้อดูมีมิติราวกับถูกแกะสลักมาจากพิมพ์เดียวกับหลินเหรา

ในขณะที่อาซือและซานเป่านั้นคล้ายคลึงกับเหยาซู ต่างก็มีหน้าตาที่งดงามประณีต ในยามนิ่งสงบ เพียงแค่มองก็ใจละลายได้เลยทีเดียว

เหยาซูเปลี่ยนเสื้อตัวนอกที่หนาขึ้นเพียงเล็กน้อยให้แก่ซานเป่าอย่างรวดเร็ว หลินเหราอุ้มเขาไว้พลางพูดว่า “เตรียมตัวพร้อมแล้ว เราไปกันเถอะ”

อาจื้อและอาซือตะโกนโห่ร้องแล้วพากันวิ่งตึงตังออกไป

หลินเหราและเหยาซูเดินอยู่ด้านหลังอย่างเชื่องช้า ม้าสีน้ำตาลแดงไม่ต้องให้คนคอยจูง มันสามารถเดินตามเจ้าของเองได้ เสียงกีบม้าดังก้องตรงไปยังทิศตะวันตกของเมือง

ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้น ระหว่างทางนั้นมีสายลมอบอุ่นพัดผ่านกระทบแก้ม ทำให้รู้สึกสบายใจไม่น้อย

ทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปตลอดทาง หลินเหราอุ้มลูกชายคนเล็กไว้ในอ้อมแขน พร้อมทั้งเอ่ยกับเหยาซูด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “อาซู รอให้เรื่องในจวนผู้ตรวจการจบลงในอีกสองสามวัน ข้าจะได้อยู่กับพวกเจ้ามากขึ้น”

เหยาซูส่งเสียงอื้อออกมา และถามว่า “กำหนดวันเวลาแล้วหรือ?”

หลินเหรารู้ว่าที่นางพูดถึงคือเรื่องการปราบโจร

เพราะต้องช่วยชีวิตตู้เหิงและสาวใช้ หลินเหราและคนอื่น ๆ จึงได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย ทำให้แผนการของพวกเขาต้องเลื่อนออกไปอีกสองสามวัน

เขาได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเอาใจใส่ของนางจึงพูดแค่ว่า “กำหนดเอาไว้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง เราเตรียมตัวอย่างดี ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันอย่างแน่นอน”

ทันใดนั้นเหยาซูก็ตัดบทของหลินเหราอย่างเป็นกังวล ก่อนจะกำชับเขาว่า “อย่าพูดเช่นนี้! ตามกฎตายตัวแล้ว เรื่องที่จะไม่เกิดขึ้นมักจะเกิดขึ้นเสมอ บอกว่าจะกลับมามักจะไม่กลับมา…”

หลินเหรากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”

ในความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้น กล่าวได้ว่ายามใดที่เหยาซูอยู่ต่อหน้าหลินเหราก็มักจะแสดงนิสัยของตัวเองออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนคำพูดที่เหยาซูมักโพล่งออกมาโดยที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจหลายประโยคในตอนนี้ หลินเหราก็คุ้นชินไปแล้ว

เมื่อเห็นเหยาซูยังยืนกราน เขาจึงพูดอย่างจนปัญญาว่า “ก็ได้ ข้าไม่พูดแล้ว”

ชายหนุ่มไม่ใช่คนที่เก่งเรื่องการเจรจา เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของเหยาซูอยู่ในสายตา จึงตัดสินใจไม่ซักไซ้ไล่เรียงและไม่พูดมากความ

ตรงกันข้ามกลับเป็นเหยาซูเองที่รู้สึกว่าตัวเองเผยพิรุธออกมามากเกินไป จึงพูดเสริมว่า “เมื่อครั้งได้ไปฟังเรื่องเล่าในช่วงปีใหม่สองสามวันนั้น ข้าได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้จนเต็มอิ่มเลยล่ะ”

หลินเหราเป็นคนละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความรู้สึกของเหยาซู เขาสามารถสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว

เขาสังเกตเห็นความไม่เป็นธรรมชาติของเหยาซู จึงเข้าใจว่านางกำลังกระวนกระวายใจ และก่อเกิดความรู้สึกที่น่าหงุดหงิดในใจจนเขาพูดไม่ออก

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองนั้นความรู้สึกช้าเกินไป หรือเพราะเหยาซูที่ผิดหวังและไม่เชื่อใจเขามากพอ

สำหรับหลินเหราแล้ว เขาสามารถเมินเฉยต่อความผิดปกติทั้งหมดของเหยาซูได้ แต่กลับต้องการให้นางเชื่อใจเขาให้มากพอ

เหยาซูมองไปยังหลินเหรา แต่กลับเห็นเพียงสีหน้าที่นิ่งเฉยของเขา สายตาทอดมองไปเบื้องหน้าตอบ “อื้อ” ด้วยเสียงที่ขึ้นจมูก

หญิงสาวไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา

ทั้งสองยังคงเดินเคียงคู่กันต่อไป หากแต่ทุกสิ่งรอบกายต่างอยู่ในบรรยากาศที่เงียบงัน

เหยาซูใช้นิ้วถูเสื้อจากด้านบนจรดชายเสื้อด้านล่างโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวมีปมอยู่ในใจมาโดยตลอด กระทั่งไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากพูดทำลายสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเช่นนี้ได้อย่างไร

ไม่ทันที่หญิงสาวจะคิดได้ว่าควรเลือกหัวข้อสนทนาอะไรทำลายความอึดอัดใจเมื่อครู่นั้น สายตากลับชำเลืองไปเห็นประตูเมืองอยู่ไกล ๆ อีกฝ่ายจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มต่ำประโยคหนึ่งว่า “พ้นประตูเมืองไป เราก็ถึงแล้ว”

ด้านทิศตะวันตกของเมืองไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านนัก มีแค่ทหารที่แต่งกายด้วยเสื้อเกราะ พร้อมกับถือดาบอยู่ในมือยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเท่านั้น บางครั้งก็เดินไปเดินมา อาจื้อและอาซือหยุดมองพิจารณาพวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ทหารเฝ้าประตูเมืองชิงถงได้รับการบัญชาการมาจากจวนตรวจการโดยตรง ทุกคนจึงต่างรู้จักหลินเหรา

ในตอนที่หลินเหราและเหยาซูพาเด็กเดินผ่านไปนั้น ทหารหนุ่มเฝ้าประตูผู้หนึ่งก็รุดหน้าเข้ามากล่าวทักทายพวกเขา เมื่อเห็นเขาอุ้มเด็กทารกตัวน้อยอยู่ในอ้อมแขน ทหารผู้นั้นก็เผยสีหน้าประหลาดใจทันที “นายกองหลิน ตั้งใจจะพาครอบครัวออกนอกเมืองหรือ?”

หลินเหราพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยแนะนำเหยาซูอย่างง่าย ๆ และพูดว่า “วันนี้จะพาเด็ก ๆ ออกไปขี่ม้าเล่นนอกเมืองเสียหน่อย เช่นนั้นขอตัวก่อน ลำบากพวกเจ้าแล้ว”

ทหารผู้นั้นเผยรอยยิ้มกว้าง จากนั้นก็ลูบศีรษะกลมโตของอาจื้อที่กำลังมองพิจารณาพวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่ด้านข้าง และพูดกับภรรยาของหลินเหราว่า “นายกองหลิน ฮูหยินหลิน เดินทางปลอดภัยขอรับ!”

หลังจากที่ทั้งสองคนออกนอกเมือง ก็พบกับทิวทัศน์ที่กว้างไกล

ด้านทิศตะวันตกของเมืองชิงถงล้วนเป็นภูเขาทั้งหมด สายลมอันอบอุ่นในต้นฤดูใบไม้ผลิพัดโชยผ่าน พื้นดินที่เคยแห้งเฉาและกลายเป็นสีเหลืองในอดีตยามนี้ถูกปกคลุมด้วยสีเขียวชอุ่ม ดูนุ่มนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เด็กทั้งสองคนต่างกวาดสายตามองซ้ายมองขวาด้วยความแปลกตา ก่อนจะพูดด้วยความดีใจว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่! เรายังไม่เคยมาทิศตะวันตกของเมืองเลย! ที่นี่กว้างใหญ่ยิ่งนัก”

เหยาซูเองก็เพิ่งเคยเห็นทุ่งหญ้าที่สามารถมองเห็นได้สุดลูกหูลูกตาของทิศตะวันตกของเมืองชิงถงเป็นครั้งแรก หญิงสาวจึงรู้สึกดีใจไม่น้อย นางยิ้มพลางพูดกับอาจื้อและอาซือว่า “ต้าเป่าและเอ้อเป่ายังต้องเขียนบันทึกประจำวันอีกหรือไม่? กลับบ้านไปลองบันทึกสิ่งที่ได้ยินได้เห็นในวันนี้ลงไปก็ได้ วันหน้าจะได้หยิบออกมาอ่านให้ญาติผู้พี่ฟัง”

“อื้อ!” ทั้งสองคนพากันพยักหน้า ก่อนจะถามด้วยสีหน้าคาดหวัง “เราขี่ม้ากันได้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ/เจ้าคะ?”

หลินเหราพูดขึ้น “ตอนนี้ยังไม่ได้ ต้องอบอุ่นร่างกายก่อน หลังจากที่ร่างกายเกิดความร้อน ข้อต่อตามตัวถูกยืดออกแล้ว ตอนขี่ม้าจะได้ไม่บาดเจ็บโดยง่าย”

เด็กทั้งสองตอบรับโดยพร้อมเพรียงกัน

ทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แม้ว่าวัชพืชจะไม่ได้สูงมากนักแต่กลับมีสีเขียวทำให้รู้สึกสบายตา ฝ่าเท้าที่ย่ำลงไปก็ให้สัมผัสที่อ่อนนุ่มยิ่งนัก

วันนี้อาจื้อและอาซือแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว หลังจากได้รับการอนุญาต ก็เหมือนกับลูกม้าที่สลัดหลุดออกจากบังเหียน วิ่งไปยังส่วนลึกของทุ่งหญ้าอย่างสนุกสนาน

อาซือสลัดท่าทางเงียบสงบว่านอนสอนง่ายในยามปกติทิ้งไป และตะโกนร้องเรียกพลางวิ่งไปทางอาจื้อ “ท่านพี่ รอข้าด้วย!”

เด็กทั้งสองคนส่งเสียงเอะอะโวยวายดังลั่น ไม่นานก็วิ่งออกไปไกล

เมื่อเหยาซูเห็นพวกเขาห่วงแต่เล่น จึงตะโกนเอ่ยเตือนลูก ๆ “ต้าเป่า เอ้อเป่า อย่าวิ่งไปไกลนะ!”

เด็กทั้งสองคนไม่เคยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้จึงเล่นกันอย่างสนุกสนาน ทั้งหัวเราะทั้งร้องเรียก ไฉนเลยจะได้ยินเสียงของผู้ใหญ่?

เมื่อเห็นเหยาซูมีสีหน้าเป็นกังวล หลินเหราจึงปลอบภรรยา “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เพียงนี้ ข้าสามารถมองเห็นพวกเขาได้”

ร่างกายของเขาสูงใหญ่กว่าเหยาซู การมองเห็นย่อมไวเป็นพิเศษ ต่อให้เด็กทั้งสองวิ่งไปไกลเพียงใด ก็ยังคงอยู่ในสายตาเขา สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

เหยาซูพยักหน้า หญิงสาวกวาดสายตาและมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดอันตราย จึงคลายกังวลลงได้เล็กน้อย “โชคดีว่าที่แห่งนี้โล่งแจ้ง หากมีคนภายนอกหรือสัตว์ปรากฏออกมา ก็ยังมองเห็นได้”

ซานเป่าที่อยู่ในอ้อมแขนของหลินเหราก็โยกตัวไปมา อยากจะออกไปเล่นด้วย แต่กลับถูกแขนแข็งแรงของหลินเหรากอดไว้อย่างไร้ปรานี เขาส่งเสียงร้อง “แอะ แอะ” ด้วยความไม่พอใจหลายครั้ง คิดจะดึงดูดความสนใจของเหยาซู

เหยาซูมองไปทางเด็กทารกตัวน้อยแวบหนึ่ง จากนั้นก็เช็ดน้ำลายให้ซานเป่า หญิงสาวยื่นมือไปบีบแก้มอวบอ้วนของเขาพลางพูดว่า “รอเจ้าวิ่งได้ค่อยเล่นนะ!”

ซานเป่าที่รอมาครึ่งวันก็ยังไม่มีใครปล่อยเขาลง จึงรู้สึกโกรธและเริ่มใช้มือเล็ก ๆ ตีไปบนแขนของหลินเหรา และปล่อยให้น้ำลายไหลลงมาบนตัวเขา

หลินเหรากลับไม่ได้หมดความอดทน แต่ทำท่าจะโยนลูกชายคนเล็ก จากนั้นก็โผล่มาตรงหน้า แล้วช้อนเจ้าตัวน้อยยกขึ้นสูง

“หากร้องอีกพ่อจะโยนเจ้าออกไป” น้ำเสียงเขาทุ้มต่ำ ใบหน้าไร้ความรู้สึก ให้ดวงตาสีดำขลับของซานเป่ามองหน้าของตัวเองก่อนจะถามขึ้นว่า “เข้าใจหรือไม่?”

ไฉนเลยเด็กทารกจะเข้าใจคำพูดของผู้ใหญ่ เขาเห็นหลินเหรายกเขาขึ้นมาก็คิดว่าผู้เป็นพ่อกำลังเล่นกับเขา จึงส่งเสียง “แอะ แอะ!” ออกมาสองครั้ง ดูเหมือนกำลังส่งสัญญาณให้ผู้อื่นยกเขาให้สูงยิ่งขึ้น

หลินเหราเผยรอยยิ้มที่ยากจะเห็นออกมา จากนั้นก็ยื่นแขนออกไปตรง ๆ อุ้มซานเป่าขึ้นในระดับที่สูงที่สุด ในที่สุดเด็กตัวน้อยก็ส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาเมื่อสมปราถนา

เมื่อเห็นสองพ่อลูกเล่นกันอย่างสนิทสนม ก็เกิดความรู้สึกขึ้นภายในใจของเหยาซูไม่น้อย

หลินเหราสนิทสนมกับเด็ก ๆ ด้วยใจจริง ปกติเขาไม่ค่อยอยู่บ้าน แต่เวลาพักผ่อนก็มักจะช่วยเหยาซูดูแลซานเป่า ไม่ก็อยู่เป็นเพื่อนอาจื้อและอาซือ

ในฐานะคนเป็นพ่อ เขาทำได้ดีมากแล้ว

……………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เทียบกับตอนแรกที่กลับมาแล้วพี่เหราดูมีพัฒนาการขึ้นมากเลยนะคะ ที่เขาต้องการก็แค่อยากให้เธอเชื่อใจเขาบ้างน่ะอาซู

ไหหม่า(海馬)