บทที่ 152 คุณหนูตู้ตระกูลขุนนางช่างเอาใจยากเสียเหลือเกิน

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

อาจื้อและอาซือเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใหญ่เฝ้า เด็กทั้งสองคนก็เล่นกันอย่างสนุกสนานได้ทั้งวัน

รอจนร่างกายของพวกเขาอบอุ่นได้ที่ ทั้งคู่ก็จูงมือกันวิ่งไปหาบิดาเพื่อขอขี่ม้า

หลินเหราที่กำลังอุ้มซานเป่าอยู่พูดกับเด็กชายว่า “อาจื้อป้อนอาหารมันมาสองสามวันแล้ว มันย่อมจำเจ้าได้ บนตัวม้ามีเชือก ประเดี๋ยวเจ้าลองปีนขึ้นไปเองดูนะ”

อาจื้อตกตะลึงก่อนจะกลอกตาไปมาด้วยความตื่นเต้น

ขึ้นม้าเอง! เขาจะขึ้นม้าเองได้ไหมนะ?

เจ้าม้าสีน้ำตาลแดงมีนิสัยค่อนข้างเชื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กน้อย มีความอดทนสูง ปกติมันมักจะโดนอาจื้อลูบไปลูบมาอยู่บ่อยครั้ง หากทำมันเจ็บอย่างมากสุดก็ได้แค่สะบัดหัวไปมา

“อย่ากลัวไปเลย”

เมื่อหลินเหราเห็นอาจื้อมองไปทางม้าสูงใหญ่โดยไม่มีท่าทีจะขยับเขยื้อน จึงออกคำสั่งเสียงขรึม “ข้าจะคอยดูอยู่ข้าง ๆ เจ้าดึงเชือกบังเหียนเอาไว้ แล้วเหยียบโกลนม้าขึ้นไป”

บางทีอาจเพราะเสียงของผู้เป็นพ่อที่ดูน่าเชื่อถือ อาจื้อจึงลองจับเชือกบังเหียนและเริ่มปีนป่ายขึ้นไปบนตัวม้า

แต่พราะรูปร่างที่เตี้ยต่ำเกินไป การเคลื่อนไหวจึงดูเก้ ๆ กัง ๆ อย่างเห็นได้ชัด

“ท่านพี่ ข้าช่วยท่าน!”

อาซือเห็นเขาปีนขึ้นไปไม่ได้ จึงวิ่งพุ่งเข้ามา พลางอุ้มขาของเด็กชายและออกแรงยกมันขึ้นไป

เด็กสาวตัวน้อยมีเรี่ยวแรงน้อยนิด แทนที่จะบอกว่าช่วยสู้บอกว่าจับขาของอาจื้อทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ยากขึ้นไปเสียจะเหมาะกว่า

อาจื้อตะโกนว่า “ไอ้หยา ช้าหน่อย! เจ้าอย่า….”

เด็กทั้งสองคนตะโกนโหวกเหวกเป็นอยู่เป็นนานสองนาน แม้แต่ม้าสีน้ำตาลแดงก็ยังถูกโยกไปมาจนมันต้องพ่นลมออกทางจมูกหลายครั้ง

ในที่สุดอาจื้อก็ขึ้นไปนั่งบนหลังม้าได้สำเร็จ

เหยาซูที่เห็นภาพเหล่านั้นก็เอาแต่หัวเราะจนเกือบหงายหลัง จึงไม่เห็นว่าอาจื้อขึ้นไปนั่งบนหลังม้าแล้ว

หญิงสาวหัวเราะพลางพูดว่า “ปีนขึ้นไปได้อย่างไรกัน? เก่งมากจริง ๆ!”

เด็กชายยืดอก ดึงเชือกบังเหียนราวกับมันเป็นเรื่องใหญ่ แสร้งทำเป็นตรวจตรารอบ ๆ สนามม้าอย่างกระหยิ่มใจ คล้ายกับว่าตัวเองเป็นแม่ทัพขี่ม้า

เพียงแต่ขาเล็ก ๆ คู่นั้นยังคงแกว่งไปมาอยู่ข้างท้องม้า แม้แต่โกลนม้าก็ยังเหยียบไม่ถึง

เหยาซูรู้สึกสนุกสนานพลางพูดกับหลินเหราว่า “ข้าอุ้มซานเป่าเอง ท่านไปดูอาจื้อเถอะ อย่าให้เขาตกลงมาเชียว”

หลินเหราส่งเด็กน้อยในอ้อมกอดไปให้เหยาซู พลางพูดปลอบใจนางว่า “ไม่วิ่งก็พอ หากตกลงมาจากหลังม้าจริง ๆ หญ้าที่นุ่มเพียงนี้ก็อาจจะแค่เสียการทรงตัว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”

ตัวม้าสูงเกินไป ทำให้อาซือก็ขึ้นเองไม่ได้เช่นกัน

หญิงสาวเดินอ้อมมาตรงหน้าของม้า มองดูพี่ชายตาปริบ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความอิจฉา

“เอ้อเป่ามานี่มา” หลินเหรากวักมือเรียกลูกสาว “พ่อจะอุ้มเจ้าขึ้นไป”

เมื่อเหยาซูเห็นการปฏิบัติที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จึงหัวเราะออกมาอีกครั้งก่อนจะพูดกับลูกชายตัวเล็กว่า “เห็นหรือไม่ พ่อเจ้าชอบลูกสาว ไม่ได้ชอบลูกชาย…”

หลินเหราหันกลับไปมองเหยาซูแวบหนึ่งด้วยสายตาที่อ่อนโยนลง พร้อมกับเผยรอยยิ้มบางออกมา

ใบหน้าของอาซือและเหยาซูนั้นมีความคล้ายคลึงกัน เหมือนกับหญิงสาวในตอนเด็กไม่มีผิดเพี้ยน

หากเป็นไปได้ เขาอยากอุ้มเหยาซูขึ้นหลังม้ามากกว่า

เด็กสาวตัวน้อยอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของบิดา พลางเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านพ่อ ข้าและพี่ชายขี่ม้าด้วยกันได้หรือไม่เจ้าคะ?”

เสียงของชายหนุ่มพลันอ่อนโยนลงมาก จากนั้นก็พยักหน้า “แน่นอน เอ้อเป่านั่งอยู่หน้าพี่ชาย จับเชือกบังเหียนแล้วให้พี่ชายกอดเจ้าไว้”

ขณะที่พูด เขาได้อุ้มอาซือที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่หนาเป็นพิเศษวางลงด้านหน้าของอาจื้อ เด็กทั้งสองคนจึงนั่งอยู่บนอานม้าด้วยกัน แต่กลับไม่รู้สึกว่าเบียดเสียดเลยแม้แต่น้อย กลับยังมีพื้นที่อีกเหลือเฟือ

“นั่งให้ดี อย่าขยับเขยื้อนเด็ดขาด!” อาจื้อกระชับกอดอย่างแน่นหนาจนสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า และกำชับน้องสาวว่า “ประเดี๋ยวหากเจ้าจะตกให้จับข้าไว้ ให้ตกลงไปด้วยกัน พี่จะเป็นเบาะรองให้เจ้าเอง”

เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างอย่างตื่นเต้น คล้ายกับแมวน้อยที่ค้นพบของเล่นใหม่ ทั้งระวังทั้งตื่นเต้น

เด็กน้อยเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาว่า “เดินได้หรือไม่?”

อาจื้อเงยหน้ามองหลินเหรา เมื่อเห็นหลินเหราไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงเลียนแบบท่าทางขี่ม้าของผู้อื่น ขาทั้งสองข้างหนีบตัวม้าเบา ๆ

เจ้าม้าเข้าใจความหมายของเจ้านายน้อย จึงเริ่มย่างเดินอย่างเชื่องช้า ไม่เร็วนัก บางครั้งก็ก้มหัวลงไปเล็มหญ้าสีเขียวอ่อนสองสามคำ

อาซือตะโกนร้องด้วยความตื่นเต้น “ท่านพี่เก่งที่สุดเลย! เจ้าม้าจงเดิน! จงเดิน!”

ซานเป่าที่จ้องตาไม่กะพริบอยู่ในอ้อมแขนของเหยาซู ได้ส่งเสียงตอบรับเช่นเดียวกัน ร้อง “แอะ แอะ” ออกมาหลายครั้ง พลางยื่นแขนออกไปอยากจะเล่นด้วยโยกตัวไปมาจนเหยาซูเองก็อุ้มแทบไม่อยู่

หากเอ่ยถึงความอดทนในการเลี้ยงลูก หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาสองสามวัน เหยาซูรู้สึกว่าตัวเองสู้หลินเหราไม่ได้เลย อย่างน้อยตอนนี้นางก็รู้สึกปวดหัวไม่น้อย

ตอนนี้ซานเป่ายิ่งโตขึ้นน้ำหนักของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ปกติแล้วมักจะให้อุ้มอย่างว่าง่าย แต่เมื่อขยับตัวเช่นนี้ ยิ่งทำให้หนักมือมากขึ้น

หลินเหรามองไปทางเหยาซู จากนั้นก็ยื่นมือไปหานาง

“มา ส่งเขามาให้ข้าเถอะ…”

หญิงสาวส่งซานเป่าให้หลินเหรา กระทั่งรู้สึกสบายตัวขึ้นจึงกล่าวหยอกล้อว่า “ข้าว่าท่านคนเดียวก็ดูแลลูกทั้งสามคนได้นะ”

หลินเหรากระตุกมุมปากเล็กน้อย หากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา

ทั้งห้าคนเล่นอยู่ในสนามหญ้าจนพระอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นสูง หมอกในยามเช้าตรู่ค่อย ๆ จางหายไป อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ

อาจื้อและอาซือนั่งอยู่บนหลังม้าที่กำลังเดินอย่างเชื่องช้า เมื่อเหยาซูเห็นหน้าผากของเด็กสองคนเต็มไปด้วยเหงื่อ และซานเป่าเองก็เริ่มง่วงแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “วันนี้เล่นกันแค่นี้ก่อนแล้วกัน วันหน้ารอให้ไหล่ของพ่อเจ้าหายดี ค่อยพาพวกเจ้ามาสอนขี่ม้า ดีหรือไม่?”

เด็กทั้งสองยังคงรู้สึกเล่นไม่หนำใจ อีกทั้งยังไม่อยากกลับบ้าน

เหยาซูกำลังจะพูดเหตุผลให้เด็ก ๆ ฟังต่อ แต่กลับได้ยินเสียงกีบม้าดังขึ้นมาจากที่ไกล ๆ เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นเฉินจิ่นทหารประจำจวนผู้ตรวจการ

เฉินจิ่นและเซวียชางทั้งสองคนเป็นสหายคู่ซี้ เหยาซูเคยเจอพวกเขาครั้งหนึ่ง เพราะทั้งสองคนเป็นพวกสะอาดสะอ้านที่สุดในบรรดาทหาร จึงสามารถจำพวกเขาได้

เขาควบม้ามาจากทางประตูเมือง ในตอนที่เข้าใกล้คนทั้งสอง เขาก็กระโดดลงจากหลังม้า เดินเข้ามาใกล้และพูดว่า “พี่ใหญ่หลิน! พี่สะใภ้! พาเด็ก ๆ ออกมาเล่นหรือ?”

หลินเหราพยักหน้า เหยาซูยิ้มพร้อมกล่าวทักทายเขา “สหายเฉิน เหตุใดถึงไม่เห็นสหายเซวียมาด้วยเล่า?”

เฉินจิ่นลูบท้ายทอย พลางฉีกยิ้มสดใส “สองวันนี้พี่ใหญ่เจิ้งอันถูกปั่นหัวจนปวดเศียรเวียนเกล้า เมื่อเช้าเซวียชางเผลอไปเหยียบหางแมวของพี่ใหญ่เจิ้งเข้า ก็เลยถูกลงโทษ! จึงเหลือเพียงข้าที่ออกมาได้”

เจิ้งอันเป็นคนเจ้าอารมณ์ กลับไม่เคยได้ยินว่าเป็นผู้ลงโทษลูกน้องได้

แต่เมื่อเหยาซูนึกถึงท่าทางที่ยากจะรับมือได้ของตู้เหิง นางก็เข้าใจถึงความลำบากของเจิ้งอัน

หญิงสาวเม้มปากเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “หลายวันนี้ต้องลำบากพวกเจ้าแล้ว”

เฉินจิ่นและอาซู่สาวใช้ภายใต้การปกครองของตู้เหิงยังพอพูดคุยกันได้ เพราะแรกเริ่มนั้นเขาเป็นคนช่วยอาซู่ให้รอดพ้นจากอันตราย แม่นางน้อยและเฉินจิ่นจึงได้เชื่อใจกันมากขึ้น หลายครั้งที่เขามักสอบถามความชอบของคุณหนูผ่านตัวนาง

เพียงต้องทำลายกฎระเบียบอันยุ่งเหยิงเหล่านั้น แค่เขาได้ยินก็ปวดหัวแล้ว

เด็กหนุ่มวัยเยาว์จึงได้แต่ทอดถอนใจ และพูดอย่างเป็นกังวล “พูดตามตรงแล้วพี่น้องอย่างเราใครเล่าจะไม่เคยฝันอยากแต่งงานกับคุณหนูตระกูลขุนนาง เพื่อวันข้างหน้าจะได้เลื่อนตำแหน่งโดยไม่ต้องเปลืองแรงนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังคิดว่าตัวเองคู่ควรกับองค์หญิงเช่นนั้นได้! แต่สองสามวันมานี้ที่คุณหนูตู้ท่านนี้อยู่ในจวน ในที่สุดก็ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตา….”

ประโยคหลังเขากลับไม่ได้โพล่งออกมา คุณหนูตระกูลขุนนางช่างเอาใจยากเสียเหลือเกิน!

……………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สงสารเจิ้งอันเลยค่ะ โดนยัยคุณหนูปั่นหัวจนปวดหมอง ขอให้มีคนพาตัวนางกลับไปเมืองหลวงไว ๆ และอย่าได้มาเหยียบที่นี่อีกนะคะ นางเอกประสาอะไรเป็นตัวปัญหาของคนอื่น จับฉลากแล้วฟลุคได้มาเป็นนางเอกหรือเปล่าเนี่ย

ไหหม่า(海馬)