หลินเหราไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงแค่ถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?”

สหายเฉินรู้ดีว่าเขาไม่ชอบฟังผู้อื่นพร่ำบ่น เฉินจิ่นจึงรีบเอ่ยเข้าเรื่องธุระว่า “พี่รองเหยาให้ข้าไปหาท่านที่บ้าน ข้าเห็นว่าในบ้านไม่มีใคร เลยสอบถามเพื่อนบ้านจนรู้ว่าพวกท่านพาเด็ก ๆ และม้ามาทางทิศตะวันตก จึงคิดว่าน่าจะใช่ที่แห่งนี้”

ขณะพูด อาจื้อที่ขี่ม้าอยู่ไม่ไกลนักก็ดึงเชือกบังเหียนเปลี่ยนทิศทาง บังคับให้ม้าเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า

เขามองไปยังรูปร่างสูงใหญ่กำยำของเฉินจิ่น พลางพูดอย่างอิจฉาว่า “ท่านอาเฉินดูสง่ามากจริง ๆ! วันหน้าข้าจะต้องขี่ม้าให้ได้เหมือนท่านอาเฉิน…”

เฉินจิ่นหัวเราะออกมา เขามีรูปร่างสูงใหญ่ จึงยื่นมือออกไปลูบศีรษะของอาจื้อได้ด้วยมือข้างเดียว พลางพูดว่า “ข้าไม่เก่งกาจถึงขั้นนั้นหรอก! พ่อเจ้าต่างหากที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าข้า พ่อเจ้าควบม้าตะบึงยิงเป้า ทั้งยังยิงได้อย่างแม่นยำเสียด้วย!”

อาจื้อและอาซือได้ยินดังนั้นก็อ้าปากตาค้างกันยกใหญ่ ทั้งสองคนมองไปทางหลินเหราที่อุ้มเด็กน้อยอยู่ในอ้อมแขน ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะขี่ม้ายิงธนูได้

เมื่อเห็นอาจื้อสนใจในการขี่ม้ามาก เฉินจิ่นจึงพูดกับหลินเหราว่า “อีกไม่กี่วันก็ว่างแล้ว พี่ใหญ่หลินพาอาจื้อมายังสนามประลองแถวชานเมืองของเราสิ จะได้สอนเขาขี่ม้ายิงธนูด้วยเลย”

ทันใดนั้นเขาก็ดูเหมือนจะคิดบางอย่างได้ จึงกระแอมก่อนจะพูดต่อ “อายุเท่านี้เป็นวัยที่ควรเรียนขี่ม้าพอดี! ต้นฤดูใบไม้ผลิจะมีลูกม้าฝูงหนึ่งมาจากซีเป่ย ถึงตอนนั้นก็ให้อาจื้อช่วยฝึกฝนม้า ให้ม้าและเด็กเติบโตไปด้วยกันสิ!”

อาจื้อยิ่งฟังก็ยิ่งตาลุกวาว เมื่อได้ยินว่าจะมีลูกม้าเป็นของตัวเองหนึ่งตัว จึงกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจอย่างมาก

เขามองไปทางหลินเหราด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง “ท่านพ่อ ไปได้ใช่หรือไม่? ข้าไปได้ใช่หรือไม่ขอรับ?”

หลินเหราไม่ได้ตอบคำถามเขาทันที แต่ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “อาจารย์สถานศึกษาก็หาไว้แล้ว ไม่ไปเรียนแล้วงั้นหรือ?”

อาจื้อกลับเข้าใจเหตุผลอย่างชัดเจน ก่อนพูดว่า “กลางวันไปเรียนหนังสือ เรียนเสร็จก็ตามท่านพ่อไปขี่ม้าอย่างไรเล่าขอรับ!”

หลินเหราเห็นเขามีความคิดเป็นของตัวเอง จึงไม่พูดสิ่งใดมากนัก “ย่อมไปได้ หากถึงยามผู้อื่นฝึกซ้อมแล้ว เจ้าต้องเล่นกับตัวเองนะ”

เด็กชายรีบพยักหน้าหงึกหงักทันที สิ่งที่กลัวเพียงอย่างเดียวคือหากตอบรับช้าเกินไปตัวเขาเองจะไม่ได้ไป

อาซือไม่ได้สนใจขี่ม้ามากมายถึงขนาดนั้น นางยอมอยู่บ้านกับท่านแม่ ไม่ก็ไปดูเหยาซูทำไขทามือและสีผึ้งทาปาก เป็นผู้ติดตามตัวน้อยคนหนึ่งข้างกายของเหยาซูก็ว่าได้

เด็กหญิงตัวน้อยยื่นมือทั้งสองข้างไปทางเหยาซู ให้ผู้เป็นแม่อุ้มตนลงมาจากหลังม้า

กระทั่งได้ยินหลินเหราถามว่า “พี่รองให้เจ้ามาทำอะไร?”

เฉินจิ่นจึงพูดขึ้น “พี่รองเหยาบอกว่าจะเปลี่ยนแผนการ อาจจะต้องดำเนินการก่อนกำหนด….”

เขาพูดถึงตรงนี้ก็พลันหยุดชะงัก จากนั้นก็มองไปทางหลินเหราราวกับรอคำตอบของเขา

หลินเหราขมวดคิ้วในทันที จากนั้นก็เบนสายตาไปมองเหยาซู

เดิมทีเขารับปากกับเหยาซูและเด็ก ๆ แล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนพวกเขาทั้งวัน แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเที่ยงวัน เฉินจิ่นก็มาตามเสียแล้ว…

เหยาซูวางอาซือลงบนพื้น จากนั้นก็หันกลับไปยิ้มกับหลินเหราและพูดว่า “ไปเถอะ ไปหาพี่รองที่นั่น ฝากเรียกอวี๋จือให้ข้าด้วย เดิมทีข้าบอกกับเถ้าแก่หอไป๋เว่ยไว้แล้วว่าจะมีผู้ใหญ่สองคนไปตอนเที่ยงวัน ในเมื่อท่านไปไม่ได้แล้ว ก็ให้อวี๋จือไปแทนท่านแล้วกัน”

เขาคาดไม่ถึงว่าวันนี้เหยาซูจะยังจองโรงเตี๊ยมให้เขาด้วย ในใจจึงยิ่งรู้สึกผิดต่อการรอคอยของนาง

ชายหนุ่มทำได้แค่หยิบถุงเงินใบหนึ่งออกมาจากในอ้อมแขน และพูดเสียงต่ำว่า “ข้ายังมีเงินอยู่บ้าง เจ้ารับไปเถิด”

เหยาซูส่ายหน้าและพูดอย่างจนปัญญา “ข้าก็มี อีกอย่างหากท่านให้ข้าหมด ไม่มีเงินติดตัวสักเหรียญเดียว จะเป็นเรื่องดีได้อย่างไรเล่า?”

การช่วยชีวิตตู้เหิงผู้เป็นนายและบ่าวทั้งสองคนจากน้ำมือของผู้คุ้มกันในคราวที่แล้ว ทำให้หัวหน้าผู้ตรวจการได้มอบรางวัลให้แก่หลินเหราและผู้อื่น

ในส่วนของหลินเหรามีจำนวนยี่สิบตำลึงเงิน และหลินเหราได้ยกให้นางทั้งหมด

สุดท้ายก็ยังเป็นเหยาซูที่ดึงดันคืนกลับบางส่วน และบรรจุใส่ถุงเงินให้เขา

เดิมทีหลินเหราไม่อยากรับ แต่ต่อมาเห็นว่าถุงเงินในมือของเหยาซูใบนั้นเป็นใบที่นางปักเอง จึงรับมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เมื่อเห็นชายหนุ่มขมวดคิ้ว เหยาซูจึงรีบตัดบท “เอาล่ะ ท่านรับไปเถอะ ต่อไปยามเราออกไปใช้จ่ายเงินด้วยกัน ท่านเป็นคนจ่ายตกลงหรือไม่?”

หลินเหราจึงทำได้แค่ปล่อยมันไป

เฉินจิ่นมองดูอย่างตะลึงงันอยู่ด้านข้าง ครั้นทั้งสองคนขี่ม้าเข้าเมืองด้วยกัน เขาจึงอดถามหลินเหราไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่หลิน ให้พี่สะใภ้ดูแลเงินในบ้านหรือ?”

หลินเหราพยักหน้า กลับไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงถามเช่นนี้

เฉินจิ่นหยุดชั่วครู่ ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “คาดไม่ถึงว่าพี่ใหญ่หลินจะเอาใจใส่ครอบครัวมากเพียงนี้”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “ปกติแล้วข้าไม่ได้มีค่าใช้จ่ายอะไรอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเหยาซูก็ทำธุรกิจ ด้านคำนวณย่อมเก่งกว่าข้าหลายเท่า เหตุใดจะให้นางมาดูแลเรื่องเงินไม่ได้เล่า?”

นอกจากเหยาซูจะมีหัวด้านการค้าแล้ว ด้านการตลาดนางก็ยังจมูกไวกว่าคนทั่วไป อีกนัยหนึ่งก็คือ “นักธุรกิจโดยกำเนิด”

ในมือของนางมีเงินเท่าไร ในบ้านต้องซื้อของอะไรเมื่อใด ประกอบกับที่ตัวเองต้องใช้เงินลงทุนอีกเมื่อใด ทั้งหมดล้วนรู้แจ้งชัดเจน

วิธีการของหลินเหรา เหมาะสมที่สุดโดยแท้จริง

ในสายตาของคนภายนอก กลับเป็นหลินเหราที่ ‘เอาใจใส่ครอบครัว’

นี่คือการเมินเฉยต่อความสามารถของผู้หญิงที่แพร่หลายกันโดยทั่วไปในยุคสมัยนี้

เมื่อได้ยินคำอธิบายของหลินเหรา เฉินจิ่นพลันพูดขึ้น “ถูกต้อง พี่รองเหยาเก่งถึงเพียงนั้น พี่สะใภ้ก็เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของพี่รองเหยา ย่อมไม่แตกต่างกันแน่นอน”

หลินเหรามองไปทางเขาวูบหนึ่ง ในใจไม่คาดหวังให้ผู้อื่นนำผลลัพธ์อันรุ่งโรจน์ของเหยาซูไปเปรียบเทียบกับคนภายนอก จึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา

ทั้งสองคนควบม้ากลับมาถึงในเมือง หลินเหราเลี้ยวเข้าไปในบ้านของเหยาเฉาก่อน เพื่อบอกให้อวี๋จือไปหอไป๋เว่ยตอนเที่ยงวัน บัณฑิตน้อยปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า

“พี่ใหญ่หลินและแม่นางเหยาดูแลข้ามามากแล้ว ให้ข้ากินข้าวก็ซาบซึ้งใจจนไม่หวาดไม่ไหว เรื่องไปโรงเตี๊ยมช่างเถอะ…”

ในตอนที่หลินเหรามาถึง อวี๋จือก็กำลังบันทึกบางสิ่งบางอย่างอยู่บนชั้นวางของเหยาเฉาในห้องหนังสือ

เขาคิดว่าต่อให้มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจเพียงใด ก็ล้วนไม่น่าสนใจเท่าตัวอักษรที่เหยาเฉาใช้พู่กันจีนไม้มะเกลือเขียนอธิบายมันอยู่ด้านข้าง คำว่า ‘กินข้าวเปล่าๆ’ ก็เป็นคำที่เขาได้ยินมาจากเหยาซูเช่นกัน คิดว่ายิ่งได้ลองก็ยิ่งมีรสชาติ จึงจดจำไว้

สองพี่น้องตระกูลเหยาในสายตาของอวี๋จือ กลายเป็นคำพ้องความหมายที่ตลกขบขันและตรงไปตรงมาไปโดยปริยาย

หลินเหราเป็นคนเย็นชาโดยเนื้อแท้ มักจะพูดเพียงรอบเดียวเท่านั้นและจะไม่มีการพูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง

แต่อวี๋จือคือคนที่เหยาซูเอ่ยชื่อให้เขาไปโรงเตี๊ยม จึงทำได้แค่อดทน และพูดกับบัณฑิตน้อยว่า “อาซูจองไว้สำหรับสองคน ตอนนี้ข้าต้องไปจวนผู้ตรวจการทำให้ไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ เจ้าไปนั่นแหละดีแล้ว”

อวี๋จือยังคิดจะเกรงใจ แต่กลับเห็นหลินเหราขมวดคิ้วแน่น ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าหลินเหราคงไม่อยากฟังคำพูดเกรงใจเหล่านี้ จึงรีบพยักหน้าตอบรับ “ขอรับ พี่ใหญ่หลินไปทำงานเถอะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

ชายหนุ่มพยักหน้าและจากไปอย่างพอใจ

เมื่ออวี๋จือเห็นเขาออกจากประตูไป จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ทั้งยังทุบหน้าอกพร้อมกับพึมพำกับตัวเองว่า “พี่ใหญ่หลินเก่งกาจ แต่นิสัยช่างเย็นชายิ่งนัก คงมีแค่แม่นางเหยาที่อบอุ่น…”

อีกด้านหนึ่ง เมื่อหลินเหราและเฉินจิ่นมาถึงจวน ก็เห็นทุกคนต่างมาโถงประชุมกันหมดแล้ว รอแค่หัวหน้าผู้ตรวจการมาถึง

หลินเหราเดินมาถึงตรงหน้าของเหยาเฉา “พี่รอง ได้ยินว่าจะเปลี่ยนแผนการหรือ?”

วันนี้เหยาเฉาแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีขาว ครั้นยืนอยู่ท่ามกลางชายฉกรรจ์ ก็ยิ่งขับให้รูปร่างดูสูงเพรียวบางและทรงพลังโดดเด่นขึ้น

เขาไม่รู้ตัวเอง แต่เมื่อเทียบกับชุดคลุมสีอ่อนอย่างสีขาวในอดีตแล้ว สีหยกขาวช่างเหมาะสมกับเขายิ่งกว่า

เขาขยับเข้าใกล้หลินเหราอย่างเงียบเชียบและพูดว่า “อื้อ แผนต้องดำเนินการก่อนกำหนด จึงรีบเรียกเจ้ามา หากไม่มีปัญหาใด วันนี้จะต้องออกเดินทาง”

หลินเหราขมวดคิ้วเล็กน้อยยังคงไม่เข้าใจ “ต้องฉุกละหุกเพียงนี้เลยหรือ? เหตุใดต้องก่อนกำหนด?”

เขากวาดตามองทั่วทั้งหน่วยลาดตระเวนหนึ่งรอบ ก็พลันสังเกตเห็นความแตกต่างอย่างว่องไว

แต่ก่อนในยามอภิปรายนั้นมักจะชอบขึ้นมาอยู่ด้านหน้า เพราะกลัวว่าผู้อื่นจะไม่เห็นคนของตน วันนี้กลับไม่อยู่เสียอย่างนั้น

เหยาเฉาเอ่ยถามเสียงต่ำ “เจ้ามองออกแล้วใช่หรือไม่?”

……………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เสียดายแทนพี่เหรา ไว้หลังจบการปราบโจรแล้วมากินข้าวด้วยกันกับอาซูนะคะ

แผนเปลี่ยนแล้ว จะแก้แผนกันยังไงนะ

ไหหม่า(海馬)