บทที่ 179 แม่ทัพฮั่วผู้โด่งดัง

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 179 แม่ทัพฮั่วผู้โด่งดัง

บทที่ 179 แม่ทัพฮั่วผู้โด่งดัง

หลี่จื้อขมวดคิ้วพลางมองดูแผนที่การป้องกันชายแดนเงียบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร

ส่วนชุยดาบเดียวเป็นคนอารมณ์ร้อน เขามองไปยังทหารคนอื่น ๆ “ตกลงจะให้ทำเช่นไรก็ว่ามา หากปล่อยให้เหล่าผู้คนของหร่งตี๋มีอำนาจเหนือดินแดนของพวกเรา ชื่อเสียงของกองทัพตระกูลฮั่วจะเอาไว้ที่ใด?”

ทุกคนพยายามพูดให้เขาสงบสติอารมณ์ลง

ฮั่วเสวียนพอคิดอะไรออกบ้าง แต่นางอยากจะลองฟังความคิดของหลี่จื้อดูก่อน

ภายในกระโจมที่เงียบสงบนั้น หลี่จื้อค่อย ๆ ยืนขึ้นอย่างใจเย็น

“ตอนนี้ศัตรูอยู่ในความมืดและเราอยู่ในที่สว่าง หากจะผลีผลามทำสงครามก็คงไม่เป็นผลดีกับพวกเรา แม้ว่าทหารแห่งราชวงศ์ต้าเซี่ยจะไม่กลัวตาย แต่ก็ไม่ควรต้องเสียสละโดยเปล่าประโยชน์”

ฮั่วเสวียนนิ่งไปครู่หนึ่ง “จากที่โม่อ๋องเห็น เราควรทำเช่นไร?”

“ส่งสายลับที่เก่งกาจที่สุดในกองทัพไปยังค่ายทหารของศัตรูเพื่อค้นหาความจริง เพราะคนของหร่งตี๋ที่จับมาได้ไม่ยอมปริปากพูดความจริง ต่อให้เป็นข้าเองก็ยังไม่อยากเชื่อ”

“เมื่อกองทัพทั้งสองทำสงครามกัน หร่งตี๋จะต้องมีการป้องกันอย่างแน่นหนาแน่นอน สายลับที่ส่งไปต้องเชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้ขั้นสูง และต้องเป็นผู้ที่มีบุคลิกสุขุมเยือกเย็น จะผลีผลามไม่ได้”

ฮั่วเสวียนรู้จักทหารทุกคนในกองทัพดี เขานึกถึงคนที่เหมาะสมออกในทันที

“ทางแยกระหว่างเมืองถัวและหร่งตี๋มีทั้งหมดสามทางที่จะเข้ามายังต้าเซี่ยได้ หนึ่งในนั้นคือช่องแคบเฟ่ยเสวียนที่ตั้งอยู่ภูมิประเทศแสนอันตราย สามารถป้องกันตัวได้ง่ายแต่ยากที่จะโจมตี แทบเป็นไปไม่ได้เลยหากทหารของหร่งตี๋จะเดินทัพใหญ่ผ่านไปได้ ตรงนี้ส่งทหารไปประจำการเพียงหยิบมือก็พอ”

“ส่วนที่เหลืออย่างเก๋อถุนที่ฮุ้ยหลิน ที่นั่นเป็นที่ราบกว้างใหญ่ ต่อสู้ได้อย่างยากลำบอก กระจายกำลังของทหารแบ่งเป็นสอง สี่ สี่”

ตัดช่องแคบเฟ่ยเสวียนที่สองออก ทางแยกที่เหลือคืออีกสองแห่งกับสี่จุด

หลี่จื้อมองไปยังฮั่วเสวียน “เมื่อข้าได้ตรวจดูภูมิประเทศก็พบว่าพวกเจ้าขุดหลุมเพื่อโจมตีและเพื่อใช้เป็นป้อมเอาไว้แล้ว แต่ตำแหน่งไม่ค่อยเหมาะสม ข้าได้วาดแผนที่ขึ้นมาใหม่ เชิญท่านแม่ทัพดูเถิด”

หลี่จื้อหยิบม้วนกระดาษสีเหลืองออกมาจากชายเสื้อและส่งให้กับฮั่วเสวียน

ฮั่วเสวียนมองด้วยความตกใจ หลี่จื้อออกแบบแผนที่เพื่อการป้องกันได้ละเอียดมาก มีโครงสร้างทางการทหารทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ความยาวและการใช้งานถูกเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน แม้แต่ข้อบกพร่องและสิ่งที่ยังขาดไปก็ถูกเขียนเอาไว้

ทหารผู้ช่วยต่างพากันยืนล้อมรอบตัวฮั่วเสวียนเพื่อดูแผนที่ เพียงครึ่งชั่วยาม เหล่าทหารก็ถอนหายใจ “ความคิดอันปราดเปรื่องของโม่อ๋องเกินกว่าจะเข้าถึงได้”

หลายวันที่ได้พูดคุยกันมา ท่าทางที่หลี่จื้อแสดงออกมานั้นช่างสง่างามและเรียบง่าย เขาไม่เคยเข้าแทรกแซงทางการทหารเลยและทุก ๆ วันก็เอาแต่เดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย

ผู้นำต่างพากันพูดติดตลกว่าเขาไม่เข้าใจอะไรเลย เป็นเพียงองค์ชายที่ไม่ได้เรื่อง

แต่ระหว่างที่หลี่จื้อกำลังเล่นสนุก เขาเข้าใจสถานการณ์ของค่ายทหารเป็นอย่างดีมานานแล้ว

มีเพียงชุยดาบเดียวที่ไม่เข้าใจและลูบหนวดเคราของตัวเอง “ดีขนาดนั้นเลยรึ?”

ชายในชุดคลุมนามว่าป๋อเว่ยยืนขึ้นด้วยมือเปล่า “ท่านชุย ภาพนี้ล้ำค่ามากขอรับ”

ป๋อเว่ยคือทหารผู้เป็นคลังแห่งปัญญา คำพูดนี้ของเขาแสดงให้เห็นชัดถึงความสามารถของหลี่จื้อ

ฮั่วเสวียนยืนคิดทบทวนอยู่ด้านข้างและมองไปยังหลี่จื้อด้วยสายตาอบอุ่นและจริงใจ

ถ้าไม่ได้ยินคำพูดพวกนี้จากปากของเขาด้วยตัวเอง ฮั่วเสวียนเองก็ไม่กล้าเชื่อว่าในโลกใบนี้จะมีผู้ที่มีความคิดคล้ายกันกับนางมากถึงเพียงนี้อยู่ด้วย

หลี่จื้อหมุนตัวหันมายังฮั่วเสวียน “ท่านแม่ทัพคิดเช่นไร?”

“ดีมากขอรับ”

หลี่จื้อยิ้มด้วยท่าทางมั่นใจ “รีบสั่งการต่อไปทันที ส่งทหารไปประจำการทั้งสามทิศนี้ แล้วรีบสร้างป้อมปราการ เตรียมไฟ น้ำมัน ธนู หิน และม้าให้พร้อม”

หลี่จื้ออธิบายทุกอย่างอย่างละเอียด ชุยดาบเดียวมองไปยังฮั่วเสวียน “ท่านแม่ทัพ”

ฮั่วเสวียนหยุดคำพูดของเขาเอาไว้ “ทำตามที่โม่อ๋องพูด”

เหล่าทหารทำความเคารพและลาไปทำตามคำสั่ง ตอนนี้ภายในกระโจมเหลือเพียงหลี่จื้อและฮั่วเสวียนสองคน

ฮั่วเสวียนพูดติดตลก “โม่อ๋อง ท่านช่างมองการณ์ไกลและสุขุม ข้าน้อยสมควรสละตำแหน่งให้ท่าน”

“ท่าแม่ทัพพูดผิดแล้ว”

ดวงตาของฮั่วเสวียนเป็นประกาย “ท่านแน่ใจได้เช่นไร?”

“ทหารทุกคนเข้าสู่สนามรบเพื่อฆ่าฟันศัตรูได้ บางส่วนคิดแผนการได้ แต่ผู้ที่สามารถเป็นแม่ทัพได้ นอกจากท่านแล้วก็ไม่มีผู้ใดอีก กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือท่านมีจิตวิญญาณแห่งกองทัพตระกูลฮั่ว ท่านอยู่ ทหารอยู่ ท่านล้ม ทหารล้ม ทุกสิ่งที่ข้าทำเป็นเพียงการทำสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น”

“อีกอย่าง ต่อให้ไม่มีข้า ข้าเชื่อว่าท่านแม่ทัพจะต้องแก้ไขปัญหาครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน”

ฮั่วเสวียนมีท่าทีระมัดระวัง “สิ่งที่โม่อ๋องพูดช่างน่าขัน”

แม้ว่าหลี่จื้อจะพูดความจริง แต่ฮั่วเสวียนกลับไม่อาจยอมรับได้ ทหารเชื่อมั่นในตัวฮั่วเสวียนแต่ไม่ใช่ในตัวองค์ชายรัชทายาท เพราะข่าวลือเรื่องกบฏ

นี่เป็นเรื่องต้องห้ามในกองทัพมาโดยตลอด

ตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษของกองทัพตระกูลฮั่วต่างก็ติดตามราชวงศ์ต่อสู้ไปทุกที่ จนตกทอดมาถึงรุ่นของฮั่วเสวียนที่เป็นอำนาจทหารชั้นสูงมาช้านาน จักรพรรดิเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก และมักจะเกิดความสงสัยอยู่เสมอ

ฮั่วเสวียนไม่เข้าใจว่าที่หลี่จื้อพูดเช่นนี้เพราะต้องการทดสอบหรืออย่างไร?

นางก้มหัวลงเงียบไปและถูกตบลงที่ไหล่ นางจึงเงยหน้าขึ้นมองดวงตาของหลี่จื้อที่สงบนิ่งและมองมายังนาง

“ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ได้หมายความเช่นที่ท่านกำลังคิด”

ไม่ได้หมายความเช่นนั้น…

หลี่จื้อเชื่อมั่นในตัวนาง เชื่อมั่นในฮั่วเสวียน

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจของฮั่วเสวียนเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย

“หลังสงครามครั้งนี้จบลง หวังว่าข้าจะมีโอกาสได้ดื่มเหล้ากับองค์ชายขอรับ”

“พูดแล้วห้ามคืนคำ”

ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าการจู่โจมของหร่งตี๋จะมาถึงไวเพียงนี้

กลางดึกในคืนนั้น คนของหร่งตี๋บุกโจมตียุ้งฉางของกองทัพฮั่ว ยังดีที่นางรู้ตัวเร็วจึงไม่ได้เสียหายมากนัก แต่นี่ถือเป็นสัญญาณครั้งใหญ่ แสดงให้เห็นว่าสงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว

หลี่จื้อเรียกประชุมทุกคนในทันที แผนการก่อนหน้านี้ไม่ทันการณ์แล้ว พวกเขาต้องเร่งมือเตรียมพร้อมให้เรียบร้อยก่อนที่หร่งตี๋จะบุกมาจริง ๆ

กลางดึกคืนนั้น ทั้งกองทัพตระกูลฮั่วไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ได้นอน มีการสั่งการทหารในยามดึก ทั้งกองทัพจุดคบเพลิงจนสว่างไสว

สีหน้าของผู้คนในเมืองถัวเคร่งขรึม เมื่อมองไปยังนอกประตูเมืองก็พึมพำขึ้น “สงครามเริ่มแล้ว”

พวกตระกูลคนรวยเก็บข้าวของแล้วหนีไปในยามดึก ส่วนครอบครัวที่ยากไร้ก็ไร้หนทาง ทำได้เพียงปกป้องบ้านของพวกเขาและหวังให้กองทัพตระกูลฮั่วชนะสงครามเหมือนเมื่อก่อน

พระอาทิตย์เพิ่งขึ้นในตอนเช้า เสียงม้าร้องและเสียงกีบเท้าดังวุ่นวายจนพื้นสะเทือน

อากาศเต็มไปด้วยฝุ่นคลุ้ง หลี่จื้อและฮั่วเสวียนยืนอยู่ที่ค่ายทหารขนาดใหญ่และมองไปยังผู้นำหร่งตี๋จากระยะไกลอย่างอูซือม่าน

อูซือม่านสวมชุดเกราะเต็มยศ เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่ดุร้ายและมืดมน เขาหยุดม้าอยู่ไม่ไกล กองทหารที่ตามมาด้านหลังและตั้งแถวในทันที

หลี่จื้ออยากจะออกไปด้านหน้า หากแต่ฮั่วเสวียนดึงเขาไว้ “องค์ชาย ให้ข้าไปเองเถิดขอรับ”

แม้ว่าฮั่วเสวียนและอูซือม่านจะไม่เคยเผชิญหน้ากันมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงกันและกันมาบ้าง

หร่งตี๋อยู่อย่างสันโดษมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งอูซือม่านปรากฎตัวขึ้น เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ปราดเปรื่องแห่งหร่งตี๋ในรอบศตวรรษ หลังจากได้ขึ้นเป็นผู้นำ เขาก็มีความทะเยอทะยานที่จะทำเรื่องยิ่งใหญ่

ฮั่วเสวียนเองอยากพบเจอคนผู้นี้มาโดยตลอด!

เพื่อปกป้องหลี่จื้อเช่นกัน

ฮั่วเสวียนขี่ม้าไปด้านหน้า มองไปยังอูซือม่านด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง

“ท่านผู้นำอู เจ้ากำลังทำอันใด? เรียกรวมพลเหล่าทหารมากมายเพียงนี้ เพราะต้องการมาเยี่ยมชมต้าเซี่ยของข้ารึ?”

ภายใต้แสงของดวงอาทิตย์ขึ้นอันสว่างไสวและสง่างาม ดวงตาสดใสและใบหน้าสวยงามเกินกว่าจะแยกความเป็นชายหญิงของฮั่วเสวียนเปล่งประกาย

อูซือม่านตะลึงไปครู่หนึ่งหลังเห็นรูปลักษณ์ของฮั่วเสวียนอย่างชัดเจน เขามีปฏิกิริยาตอบกลับด้วยการหัวเราะ “ต้าเซี่ยไม่มีคนแล้วรึ? ถึงได้หาเด็กหน้าขาวมาทำสงคราม? อ่า ลืมถามไป เจ้าคือผู้ใดกัน?”

“คงไม่ใช่ท่านแม่ทัพฮั่วผู้โด่งดังกระมัง”

ทหารหร่งตี๋พากันระเบิดเสียงหัวเราะ