พูดกันตามหลักแล้ว ไม่ว่าเฉินลั่วจะมาเจอซือจูด้วยวัตถุประสงค์อะไร ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับหวังซี แต่หวังซีกลับรู้สึกเหมือนหัวใจมีลูกแมวแอบซุกซ่อนอยู่ ข่วนหัวใจจนนางอยู่ไม่สุข
นางกลัวซือจูจะสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ทำให้เฉินลั่วลำบากไปด้วย
คราวก่อนตอนอยู่วัดต้าเจวี๋ยที่ซือจูเรียกนางไปคุยด้วยก็น่าแปลกมากพอแล้ว ท่าทีนั่นทั้งเปิดเผยและหยาบกระด้าง ท่าทางเหมือนไม่สนใจว่านางจะตอบรับคำเชิญหรือไม่ หลังจากนางปฏิเสธไป ซือจูทั้งไม่ร้องไห้ฟูมฟายและไม่ร้องโวยยาย ราวกับคาดเอาไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่านางจะต้องปฏิเสธ
หวังซีรู้สึกอยากรู้ขึ้นมาเล็กน้อยว่าตกลงวันนั้นนางเรียกตนไปด้วยเรื่องอะไร
นางกินมันหวานเผารสหวานล้ำในมือด้วยอาการใจลอย ราวกับมันไร้รสชาติก็ไม่ปาน
ฉังเคอเองก็มีสีหน้าไม่น่าดูเช่นกัน นางเบ้ปากกล่าวขึ้นว่า “ซือจูคงไม่ได้จะก่อเรื่องอีกแล้วกระมัง ข้าดูแล้วระยะนี้นางกระทำอะไรก็ดูเหมือนพร้อมทุบหม้อข้าวได้ทุกเมื่อ ไม่พิถีพิถันเหมือนก่อนหน้านี้…”
หวังซีฟังแล้วหัวใจกระตุก นางร้องคำว่า “แย่แล้ว” ขึ้นมาเสียงหนึ่ง
ท่าทีของซือจูเป็นอย่างที่ฉังเคอกล่าวมาจริงๆ ดูมีความคิดพร้อมจะทุบหม้อข้าวได้ทุกเมื่อ ซือจูอยากเรียกนางไปคุยด้วย ก็มาเรียกนางไปตรงๆ ตนไม่ไป นางก็ไม่โวยวาย ดูประหนึ่งยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนั้นไปแล้วจริงๆ…
หวังซีพลันเข้าใจทุกอย่างขึ้นมา รู้แล้วว่าความผิดปกติของซือจูอยู่ตรงไหน
ซือจูมีท่าทีไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว
เช่นนั้นนางยังจะเห็นชื่อเสียงของจวนหย่งเฉิงโหวอยู่ในสายตาอยู่หรือ
นางยังจะสนใจชื่อเสียงของตัวเองอยู่หรือ
คนที่ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว ยังมีอะไรที่ทำออกมาไม่ได้บ้าง!
หวังซีทิ้งมันหวานเผาในมือลง ยกเท้าวิ่งออกไปข้างนอก
“นี่เจ้าจะทำอะไร” ฉังเคอตะโกนไล่หลังนางไป
หวังซีไม่มีเวลาอธิบายให้ฉังเคอฟัง กล่าวประโยคหนึ่งว่า “ประเดี๋ยวค่อยบอกเจ้า” แล้วก็เร่งฝีเท้าวิ่งออกจากสวนร่มหลิวไป
ฉังเคอกระทืบเท้า วิ่งตามออกไปด้วยอีกคน
ศาลาริมน้ำของจวนหย่งเฉิงโหวไม่นับว่าไกลจากที่นี่ ออกจากสวนร่มหลิว เดินทะลุผ่านทางเดินขนาดเล็กเส้นหนึ่งก็ถึงสระบัวที่ตั้งอยู่ตรงสวนดอกไม้ด้านหลังของจวนหย่งเฉิงโหว และตรงหน้าสระบัวก็คือศาลาริมน้ำ
หวังซีเพิ่งออกมาจากทางเดิน ก็ชนเข้ากับหงโฉวพอดี
“ไอโยวว! หงโฉวมือทาบหน้าอก หวังซีเอามือจับไหล่
เพียงแต่ไม่รอให้หวังซีเอ่ยปาก หงโฉวก็กล่าวขึ้นด้วยดวงหน้ายินดีว่า “คุณหนูใหญ่ ข้ากำลังจะไปหาท่านพอดีเลยเจ้าค่ะ! พี่สาวข้าเห็นว่าเหตุการณ์ดูไม่ค่อยถูกต้องนัก ไม่รู้ว่าหย่งเฉิงโหวพาเจิ้นกั๋วกงเดินมาทางนี้ได้อย่างไร แม้นกล่าวว่าใต้เท้าเฉินกับคุณหนูซือไม่ได้มีอะไรกัน แต่หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีอยู่ด้วยกัน ให้ผู้อื่นมาเห็นย่อมดูไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหนูซือยังเป็นว่าที่พี่สะใภ้ของใต้เท้าเฉินอีก…”
คนในจิงเฉิงยังรู้ด้วยว่าสมัยเด็กซือจูเคยชอบเฉินลั่วมาก่อน!
หวังซีพ่นลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง เกือบจะสบถด่ามารดาไปแล้ว ผลักหงโฉวออกแล้ววิ่งไปทางศาลาริมน้ำ ขณะที่วิ่งยังตะโกนเรียก ชิงโฉว ไปด้วย เพื่อส่งสัญญาณเตือนไปให้เฉินลั่วสักครั้งหนึ่ง ทว่าในใจกลับคิดว่าประเดี๋ยวไม่ว่าอย่างไรก็ต้องถามให้กระจ่างว่าเฉินลั่วไปเจอซือจูเพื่ออันใด
ฟากเฉินลั่วเมื่อได้ยินเสียงหวังซี สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก สายตาที่มองซือจูก็เหมือนกำลังมองกองอุจจาระ ยังกล่าวคำว่า “โง่เง่า” ออกมาเสียงหนึ่งอีกด้วย
สีหน้าของซือจูพลันซีดเผือด จ้องเฉินลั่วประหนึ่งต้องการเขมือบเขาลงไปในคำเดียว แสยะยิ้มเย็นกล่าวถากถางว่า “คนงามมาช่วยวีรบุรุษ! เจ้าบอกว่าข้าวางกับดักใส่ร้ายเจ้ากับหวังซีมิใช่หรือ ข้าอยากดูเหลือเกินว่าข้าจะวางกับดักใส่ร้ายเจ้ากับหวังซีอย่างไร”
เฉินลั่วปรายตามองซือจูด้วยสายตาเยียบเย็นครั้งหนึ่ง รีบวิ่งออกจากศาลาริมน้ำไป
เขากับซือจู ไม่สิ ควรพูดว่าเขากับหวังซีล้วนถูกหลอกแล้ว
เขาให้คนอื่นเห็นเขากับซือจูอยู่ด้วยกันได้ ไม่ว่าผู้อื่นจะพูดอะไร เขาก็มีวิธีหลบหนีได้ แต่เขาไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นเห็นเขากับหวังซีอยู่ด้วยกันได้ หากมีคนต้องการเล่นงานเขา หวังซีต้องติดร่างแหไปด้วยแน่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานะของหวังซี ง่ายที่จะถูกมารดาของเขา ‘ยก’ ให้เป็นอนุภรรยาของเขา
นี่เป็นเรื่องที่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยอมไม่ได้
หวังซีต้องได้แต่งไปเป็นภรรยาเอกอย่างขาวสะอาดและสง่างาม
มิใช่ถูกลวงให้ตกลงไปในกับดักเรื่องชู้สาว แล้วถูกผู้คนสั่งให้แต่งงานออกเรือน
เหงื่อซึมออกมาจากหน้าผากของเฉินลั่ว
เขาถึงกับได้ยินเสียงพูดเคล้าเสียงหัวเราะของบิดาเขาและหย่งเฉิงโหวด้วย
หย่งเฉิงโหวเองก็โง่บรมดุจเดียวกัน ทั้งที่รู้ว่ามารดาเขาสนใจแต่คนจากตระกูลเดิม ทั้งที่รู้ว่าตระกูลซือกลายเป็นดินโคลนไปแล้ว ผู้ใดจะผงาดขึ้นผู้ใดจะล้มลง เขาก็ยังไม่สนใจป้ายคู่ของตระกูลที่มารดาของเขาครอบครองอยู่ หากหย่งเฉิงโหวถูกคนเล่นงาน เขาก็ไม่แปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว
หวังซีเห็นเฉินลั่วโบกมือให้นางมาแต่ไกล เป็นสัญญาณให้นางไม่ต้องเข้าไป
และจากที่ไม่ไกลออกไปนั้น ก็เหมือนจะเห็นว่ามีคนเดินเข้ามา
หวังซีหยุดฝีเท้าลงตรงที่เดิม ไม่รู้ว่าควรจะจากไปหรืออยู่ต่อดี
นางนึกถึงเรื่องของจ่างกงจู่กับจินซงชิงที่สวนป่าขึ้นมา ตัดสินรออยู่ที่นี่สักครู่หนึ่งก่อน
บางที ครั้งนี้นางอาจจะช่วยเฉินลั่วได้อีกครั้งก็เป็นได้
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ จู่ๆ ซือจูก็คว้าเฉินลั่วเอาไว้จากทางด้านหลัง
“เฉินลั่ว” นางมองเขาด้วยรอยยิ้มตาหยี สีหน้าเบิกบานไร้ความรู้สึกผิด “ข้าผู้นี้เป็นคนแค้นฝังหุ่น จนถึงบัดนี้ข้าก็ยังจำความรู้สึกที่ข้ายืนอยู่กลางหิมะ เท้าแข็งจนไร้ความรู้สึกนั้นได้ดี ที่ทำให้ข้าคาดไม่ถึงก็คือ แค่ข้าอ้างชื่อของหวังซี เจ้าก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนแล้ว เจ้าอยากรออยู่ตรงนี้อีกสักหน่อยหรือไม่ ต้องรู้ว่า หากพวกเราสองคนตกลงไปในน้ำพร้อมกัน มารดาของเจ้าย่อมช่วยชีวิตเจ้า เจ้าย่อมไม่เป็นอะไร แต่ข้าต้องจบสิ้นแน่ เจ้าอยากแก้แค้นด้วยมือตัวเองหรือไม่!”
ซือจูที่เป็นเช่นนี้ มีความเสียสติที่ทำให้คนหวาดกลัวได้
เฉินลั่วอยากผลักนางออกด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
ซือจูถูกดันออกจนเหมือนกิ่งหลิวปลิวไสวอยู่กลางสายลม ทว่าสุดท้ายยังคงจับเฉินลั่วเอาไว้แน่น
ชิงโฉวที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับกระโดดออกมาอย่างไร้ทางเลือก กอดซือจูเอาไว้จากทางด้านหลังของนาง หันไปกระซิบกล่าวกับเฉินลั่วว่า “คงต้องฝากคุณหนูใหญ่ของพวกข้าไว้กับท่านแล้ว”
ชิงโฉวเข้าใจเหตุการณ์ดี เรื่องของจ่างกงจู่ในสวนป่า ไม่มีใครทำอะไรนางได้ อย่างมากก็ทำได้แค่พูดจาไม่น่าฟังใส่จ่างกงจู่สองสามประโยคเท่านั้น แต่ไม่อันตรายถึงชีวิต เพียงทำลายเกียรติเท่านั้น
แต่เจิ้นกั๋วกงกับหย่งเฉิงโหวมาพร้อมกัน จ่างกงจู่หนึ่งคนต่อพวกเขาสองคน ต่อให้มีโอกาสชนะ แต่ก็อาจจะนำมาซึ่งปัญหาอีกมากมายได้
แทนที่จะปล่อยให้สถานการณ์กลายเป็นเช่นนั้น มิสู้นางรับเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวดีกว่า
ดีร้ายเบื้องหลังของนางก็ยังมีหวังซีและมีตระกูลหวังอยู่
บ่าวจงรักภักดี ไม่มีทางถูกตระกูลหวังละทิ้ง
เฉินลั่วถอนหายใจอยู่ในใจ
เขาคิดว่าตัวเองไม่อาจใช้ประโยชน์จากหวังซี แต่หวังซีกลับยื่นมือออกมาช่วยชีวิตเขาเป็นครั้งที่สองแล้ว
ครั้งแรกตอนที่องค์ชายใหญ่ถูกลอบสังหาร และครั้งที่สองก็คือตอนนี้…
เขารีบวิ่งออกไปจากศาลาริมน้ำ
หวังซียังไม่ทันได้สติ เฉินลั่วก็ดึงมือของนางพลางกล่าว “พวกเรารีบกลับไปที่สวนร่มหลิว”
มีเพียงต้องไปอยู่ที่สวนร่มหลิวเท่านั้น หวังซีถึงจะรักษาชื่อเสียงเอาไว้ได้
หวังซีวิ่งตามเฉินลั่วเข้าไปในทางเดินเล็กอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ฟากสระบัวทางด้านโน้น เจิ้นกั๋วกงกับหย่งเฉิงโหวปรากฏตัวออกมาแล้ว ยังมีเสียงกรีดร้องอย่างเดือดดาลของซือจูดังขึ้นว่า “เจ้าคือคนข้างกายของหวังซี? เจ้าต้องการทำอันใด เรื่องที่หวังซีกับเฉินลั่วแอบติดต่อกันถูกข้าค้นพบ เจ้าก็เลยจะฆ่าคนปิดปากอย่างนั้นหรือ! ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ว่าเจ้าจบสิ้นแน่แล้ว!”
เจิ้นกั๋วกงได้ยินแล้วหลับตาลง
เฉินลั่วยังไม่แต่งงาน ต่อให้เขามีสัมพันธ์ลับกับสตรีมีสามีแล้วของตระกูลชั้นสูงตระกูลใดเข้า นั่นก็เป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หากจัดการได้ดี ชื่อเสียงของเขาอาจไม่ถูกทำลายแม้แต่ครึ่งด้วยซ้ำ
แต่ถ้าเขากับว่าที่ภรรยาของเฉินอิงยื้อกันไปมาเหมือนตัดบัวยังเหลือใย ไม่เพียงทำให้เฉินลั่วพลิกฟื้นตัวกลับมาไม่ได้เท่านั้น ยังใช้เป็นข้ออ้างยกเลิกงานแต่งระหว่างเฉินอิงกับซือจูได้ด้วย
สตรีผู้นี้ช่างโง่เขลาจริงๆ
หากสตรีเช่นนี้แต่งเข้าตระกูลพวกเขา ต่อให้ให้กำเนิดบุตรได้ ก็ไม่มีทางที่บุตรจะเฉลียวฉลาดได้
เจิ้นกั๋วกงพลันรู้สึกว่าตัวเองประมาทเกินไป
เขาน่าจะมาเร็วกว่านี้
หย่งเฉิงโหวปากอ้าตาค้าง
เขาพอจะรู้อยู่รางๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลังเลว่าควรยืนอยู่ฝั่งไหนดี
แน่นอน เขาไม่ได้รู้สึกกลัวจ่างกงจู่ เขาคิดว่าหากเขาอยากเป็นคนมีคุณธรรม ย่อมต้องยืนข้างเฉินลั่ว แต่เจิ้นกั๋วกงหาใช่คนใจกว้าง หากเขายืนข้างเฉินลั่วแล้ว เกรงว่าเจิ้นกั๋วกงไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่
แต่ชิงโฉวกล้าหาญและรู้เท่าทันเหตุการณ์กว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้
นางกล่าวร่ำไห้ขึ้นว่า “คุณหนูซือ นี่ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ! ช่วยด้วย! คุณหนูซือจะกระโดดน้ำ!”
เจิ้นกั๋วกงกับหย่งเฉิงโหวมองสระบัวที่มีดินโคลนเผยออกมาให้เห็นเนื่องจากอากาศหนาวเย็นจำเป็นต้องทำความสะอาดสระบัวนั้นแล้วอดชื่นชมสาวใช้ตรงหน้าผู้นี้ไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าเป็นคำโกหกก็ยังกล่าวได้อย่างมั่นใจและเปิดเผยขนาดนี้ นับได้ว่าเป็นคนมีความสามารถผู้หนึ่ง
เจิ้นกั๋วกงพลันอยากรู้ขึ้นมาในทันใดว่า ‘คุณหนูหวัง’ ที่ซือจูพูดถึงท่านนั้นเป็นคนเช่นไร
ซือจูได้ยินชิงโฉวตะโกนเช่นนั้นแล้ว ตะลึงงันไปกว่าครู่ใหญ่ถึงได้สติคืนกลับมา
นางรู้สึกตระหนกเล็กน้อย
กับดักที่จัดฉากไว้ ไม่จำเป็นต้องมีพยานหลักฐาน เพียงรอดูว่าผู้ชมงิ้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อเท่านั้น บัดนี้นางใส่ร้ายเฉินลั่วไม่สำเร็จ ทว่าตัวเองกลับตกลงไปในโคลนตมนี้แทน นี่มิใช่สิ่งที่นางอยากเห็น
ชิงโฉวกลับไม่อาจปล่อยให้ซือจูปรักปรำคุณหนูใหญ่ของพวกนางต่อไปได้ ส่วนนางจะเป็นอย่างไรนั้น นางไม่ได้คิดถึงมันนานแล้ว
“ท่านโหวเจ้าคะท่านโหว!” นางหันไปตะโกนขอร้องวิงวอนหย่งเฉิงโหว “ข้าเป็นสาวใช้ข้างกายคุณหนูหวัง ผ่านทางมาที่นี่เห็นคุณหนูซือจะกระโดดน้ำ ท่านรีบสั่งให้คนไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่าสักคำเถิดเจ้าค่ะ! ข้า ข้าดูแล้ว ท่าทางของคุณหนูซือดูไม่ปกตินัก”
ซือจูสวมเสื้อแขนกุดผ้าไหมลู่สีเขียวนกแก้วกลางเก่ากลางใหม่ที่สาวใช้สวมใส่กัน สีหน้าดุร้าย ท่าทางดูไม่เหมือนคนปกติจริงๆ
ไม่รอให้หย่งเฉิงโหวเอ่ยปาก คนข้างกายเขาบ้างก็รีบวิ่งไปหาฮูหยินผู้เฒ่า บ้างก็ตะโกนเรียกป้ารับใช้มาช่วยกันขวางซือจูเอาไว้
ซือจูยิ้มขื่น ชี้ไปที่สวนร่มหลิวกล่าวกับเจิ้นกั๋วกงว่า “เฉินลั่วอยู่ที่เรือนหวังซี ท่านกั๋วกงยังไม่ส่งคนไปดูอีก ระวังจะทำให้สตรีที่มาแสดงความยินดีในวันนี้ตกใจได้นะเจ้าคะ”
เจิ้นกั๋วกงลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไล่สืบสวนต่อไปมีแต่จะทำให้ทุกคนอับอายมากขึ้นเท่านั้น
ไม่คาดคิดว่ากลับมีเสียงของจ่างกงจู่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง “นี่ทุกคนกำลังทำอันใดกันอยู่หรือ คุณหนูซือก็อยู่ด้วย เหตุใดเจ้าไม่อยู่ในเรือน วิ่งมาถึงที่นี่เพื่ออันใด”
ทุกคนต่างหันกลับไป จ่างกงจู่หาได้มาคนเดียว ข้างกายนางยังมีโหวฮูหยินจวนเซียงหยางโหว นายหญิงเจ็ดจวนชิงผิงโหว รวมถึงนายหญิงและเหล่าสะใภ้อีกหลายท่านที่ปกติค่อนข้างปราดเปรียวเป็นที่รู้จักในจิงเฉิงติดตามมาด้วย
เจิ้นกั๋วกงไม่ตอบ ซือจูอยากพูดอะไรบางอย่าง ทว่าถูกชิงโฉวเอามือปิดปากเอาไว้
จ่างกงจู่เห็นเช่นนั้นแล้ว มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น สั่งการชิงโฉวว่า “เจ้าเองก็อย่าเลอะเลือน นายบ่าวมีความต่าง เจ้าปล่อยมือเสีย ให้คุณหนูซือพูด เหตุใดเมื่อครู่ข้าถึงได้ยินคนตะโกนบอกว่าหลินหลางของพวกข้าอยู่ที่สวนร่มหลิว? หลินหลางของพวกข้าหน้าตาดีมาตั้งแต่เด็ก ข้ากลัวว่าเขาออกไปข้างนอกแล้วจะสร้างปัญหา กระทำเรื่องทำลายบุพเพของผู้อื่นเข้าสักวัน จึงเลี้ยงเขามาอย่างเข้มงวด”
ขณะที่นางกล่าว ก็ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวด้วยดวงหน้าไร้ทางออกว่า “ผู้ใดจะรู้ว่าสุดท้ายก็หลีกเลี่ยงเรื่องชิงดอกท้อพวกนี้ไปไม่ได้! ข้าว่า ในเมื่อทุกคนต่างอยู่ที่นี่แล้ว ไม่สู้ไปนั่งเล่นที่สวมร่มหลิวสักครู่ ดื่มน้ำชาสักถ้วยหนึ่ง”
จ่างกงจู่ยังแสร้งทำท่าทางราวกับไม่รู้เรื่องอะไร เรียกสาวใช้ผู้หนึ่งของจวนหย่งเฉิงโหวมาสอบถามว่า “สวนร่มหลิวนั่นเป็นเรือนของผู้ใดหรือ”
………………………………………………………………………