ตอนที่ 12 พบกันที่ห้วงหุบเหว

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ

ตอนที่ 12 พบกันที่ห้วงหุบเหว

หลังจากที่ผมเจาะกะโหลกของราชาแมลงวันไป ดวงวิญญาณขนาดใหญ่ที่พวกหนอนก่อนหน้านี้ไม่สามารถเทียบได้ก็ไหลเข้ามาในร่างของผม

ผมเพลิดเพลินไปกับความสุขจนร่างสั่นไปทั้งตัว ก่อนที่จะหัวเราะออกมา

「ฮ๊าาา…ความรู้สึกนี้มันอะไรกันน้า! ถึงฉันจะบอกแกว่าจะได้ไปโลกหน้าก็เถอะนะ แต่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าแกจะได้ไปจริงๆ ไหม เพราะฉันดันกินวิญญาณแกเข้ามาหมดแล้วนี่สิ ฮ่าๆๆ 」

ขณะที่ผมหัวเราะอยู่ ร่างของผมก็สั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง

พอมองไปที่เลเวล ใบหน้าของผมก็เปี่ยมสุขขึ้นมาอีกครั้ง ตัวเลขของมันคือ 5 ผมหยุดหัวเราะออกมาไม่ได้จริงๆ เลเวลผมเพิ่มขึ้นรัวๆ จนเป็นเรื่องตลกเลย

แต่ผมก็คงจะมานั่งหัวเราะเหมือนคนบ้าแบบนี้ต่อไปไม่ได้ด้วยสิ

ถึงผมจะเลเวลอัพมาขนาดนี้แล้ว แต่ถ้าไม่รีบหนีออกไปคงได้อดตายเอาแน่ และถ้าเป็นแบบนั้นก็คงน่าอายหนักกว่าเดิม

ผมยืนยันเส้นทางภายในถ้ำนี้ตั้งแต่ตอนฆ่าหนอนพวกนั้นแล้ว มันไม่มีทางออกอื่นนอกจากต้องผ่านรูข้างบนนั้น

「เอาเถอะ ของแบบนั้นสำหรับเราตอนนี้ก็เรื่องกล้วยๆ 」

จากการที่ผมต่อสู้กับราชาแมลงวันก่อนหน้านี้ ผมสามารถเพิ่มความสามารถทางกายภาพได้ด้วยการห่อหุ้มคิไว้รอบตัว

พูดง่ายๆ ก็คือ คิ นั้นเป็นพลังเวทชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นมาภายในร่างกายของเราได้

ถ้าจะให้ยืมคำมาจากพวกจอมเวทก็คงจะเรียกมันว่าพลังชีวิต เพราะพลังเวทมนตร์มันก็มีอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้วและผู้คนเรียกมันว่า มานา

และถ้าจะให้เปรียบเทียบว่าอันไหนเหมาะกับการใช้เวทมนตร์มากกว่ากัน ก็ต้องเป็นอย่างหลัง

เพราะหากคิดแบบง่ายๆ ว่า พลังที่ตนเองสร้างขึ้นมา กับพลังที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ พลังจากธรรมชาติย่อมแข็งแกร่งกว่า แต่ไม่ใช่กับผู้ใช้เคล็ดวิชาดาบเดียวมายา

ความลับของเคล็ดวิชาดาบเดียวมายาอยู่ตรงที่เรามีสิ่งที่เรียกกันว่า อนิม่า ที่เป็นเหมือนกับอีกชีวิตหนึ่งของเรา และทำให้ผู้ใช้วิชาดาบเดียวมายามีพลังชีวิตที่มากกว่าคนปกติอย่างเทียบไม่ได้

แน่นอนว่าพลังชีวิตของแต่ละคนก็ย่อมแตกต่างกันออกไป แต่สำหรับผู้ที่ใช้อาภรณ์วิญญาณได้แล้ว ปริมาณของพลังชีวิตย่อมมากกว่านักเวทไปหลายขุม

โดยปกติแล้ว เทคนิคการใช้ คินั้นจะเป็นการดึงพลังชีวิตของผู้ใช้เพื่อสร้างมันขึ้นมา ก่อนจะทำการขัดเกลามันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

นั่นหมายความว่าผู้ใช้เคล็ดวิชาดาบเดียวมายา จำเป็นต้องใช้คิให้เชี่ยวชาญเช่นเดียวกัน

และปริมาณพลังคิของผมก็พุ่งขึ้นสูงอย่างคาดไม่ถึงตั้งแต่ผมได้อาภรณ์วิญญาณมา ผมรู้สึกเหมือนมีบ่อน้ำพุที่ไม่มีวันเหือดแห้งอยู่ในตัวผมเลย

พอผมเสริมพลังกายด้วยการใช้คิ ความสามารถทางกายภาพของผมก็จะเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนเดียวกัน ตอนนี้ผมสามารถปืนหน้าผาด้วยมือเปล่าได้อย่างสบายๆ

ถึงผมจะตกต้องมาอยู่ในหลุมแบบนี้อีก มันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมอีกต่อไป

「แต่ปัญหาที่สำคัญกว่านั้นคือ สิ่งนี้ต่างหาก」

มีหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่ตรงหน้าของผม เธอก็เป็นเหยื่อของราชาแมลงวันเช่นเดียวกันกับผม

ดูจากภายนอกเธอน่าจะอายุราวๆ 13 14 ปี…หากเทียบเธอกับเผ่ามนุษย์ล่ะก็นะ

แต่ด้วยเขาที่อยู่บนหน้าผากของเธอที่งอกยาวออกมาอย่างเห็นได้ชัดทั้งสองข้างนั้นทำให้รู้ว่าเธอไม่ใช่มนุษย์

บนโลกใบนี้มีเผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่มนุษย์อาศัยอยู่ด้วย กระทั่งผมก็รู้จักเอลฟ์ที่ชื่อว่าลูนามาเรีย และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นคนแคระหรือมนุษย์สัตว์ภายในเมืองอิชกะ แถมผมยังได้ยินว่ามีเผ่าพันธุ์อย่างพวกลิซาร์ดแมน นางเงือก แล้วก็มนุษย์มังกรด้วย

อย่างไรก็ตามเผ่าพันธุ์กึ่งมนุษย์ที่ผมรู้จักซึ่งมีเขางอกออกมาจากหน้าผากเช่นนี้

「คิจินสินะ…เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเลย」

เผ่าพันธุ์ที่บูชาหนึ่งในตำนานเผ่าพันธุ์ในตำนานของโลกใบนี้ อย่างเทพปีศาจ หมายความว่าพวกมันเป็นศัตรูกับมนุษย์

นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีที่กล่าวว่าเทพปีศาจวัฒนาการมาจากไคจินที่โตเต็มวัยด้วย

มนุษย์และคิจินฆ่าฟันกันมาตั้งแต่สงครามเมื่อสามร้อยปีก่อนแล้ว และความสัมพันธ์นั้นยังคงดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้

แต่หลังจากเทพปีศาจถูกผนึก เผ่าคิจินก็ถูกมนุษย์กวาดล้างและน่าจะเกือบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว แถมพวกมันในตอนนี้ก็ไม่ใช่ภัยคุกคามที่น่ากลัวเหมือนสามร้อยปีก่อน ถึงจะเป็นเช่นนั้นมนุษย์ก็ยังคงโจมตีพวกมันเมื่อพบอยู่ดี

เพราะมนุษย์นั้นไม่สามารถขจัดความกลัวที่เคยมีเมื่อสามร้อยปีก่อนออกไปได้ นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะพูดหรอก แต่ปัญหาจริงๆ มันอยู่ตรงที่แรงจูงใจของพวกเขานี่แหละ

เขาของคิจินนั้นมีพลังเวทสะสมค่อนข้างมาก ดังนั้นมันจึงถือเป็นสื่อเวทมนตร์คุณภาพสูง

หากนำไปต้มจะกลายเป็นยา หากนำไปบดจะกลายเป็นวัตถุดิบสำหรับอาวุธระดับสูง

หากนำไปผสมกับเหล้าพิษของมันก็จะได้เกิดผล

ว่ากันว่าเขาเพียงอันเดียวก็สามารถทำเงินได้จำนวนมากแล้ว อันที่จริงผมก็เคยเห็นมันภายในงานประมูลอยู่เป็นครั้งคราว ราคาที่ขายออกไปนั้นมันก็น่าทึ่งจริงๆ

พอมาคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ผมก็จำข่าวลือที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ได้

「เหมือนจะมีเผ่าพันธุ์ในตำนานอาศัยอยู่ภายในป่าทีทิสด้วยนี่นะ ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงแฮะ…」

ผมพึมพำขณะมองหน้าของหญิงสาว

พูดตามตรงสภาพของเธอค่อนข้างมอมแมม

ใบหน้าและเส้นผมของเธอแทบไม่ได้รับการดูแลเลย ส่วนอื่นๆ ตามร่างกายก็ดูสกปรกพอๆ กับพวกที่อาศัยอยู่ข้างถนน

แม้แต่เสื้อผ้าที่เธอสวมมันก็เป็นเพียงเอาใบไม้ขนาดใหญ่มามัดเข้ากับเถาวัลย์อย่างลวกๆ ผมสามารถมองเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเธอนอนอยู่แบบนี้- ใช่แล้วผมจ้องมันอย่างไม่วางตาเลย

…หื้มมม หน้าอกเธอค่อนข้างใหญ่กว่าอายุที่ควรเป็นนะ ถึงผมจะบอกไม่ได้ก็เถอะว่าคิจินตนนี้อายุเท่าไหร่ บางทีเธออาจจะเลยวัย20ไปแล้วก็ได้

เดี๋ยวก่อนเหมือนจะนอกเรื่องไปไกลแล้ว

「เอาเป็นว่าตอนนี้ ฉันควรทำยังไงกับเธอดีนะ? 」

ถ้าให้พูดกันตามตรงนี่ก็เป็นโอกาสที่จะทำให้ผมรวยทางลัดได้เลย

คิจินมีถึงสองเขา ผมน่าจะทำเงินได้มากพอให้เที่ยวเล่นไปตลอดชีวิต ถ้าทุกอย่างไม่มีอะไรผิดพลาด ไม่ก็หาเชือกมาคล้องคอเธอแล้วลากกลับไปด้วยถ้าทำแบบนี้บางทีอาจจะทำเงินได้มากกว่าการขายเขาเฉยๆ ก็ได้

ผู้หญิงคนนี้…ถึงจะมอมแมมไปบ้าง แต่ใบหน้าก็ค่อนข้างน่ารักเลยทีเดียว อีกไม่กี่ปีข้างหน้าคงโตไปเป็นสาวงามอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้นผมบอกได้เลยว่าเธอเป็นคนที่มีจิตวิญญาณอันน่าหลงไหนอยู่ในตัว เพียงแค่มองหน้าของเธอ อารมณ์ที่อยากจะหม่ำเธอเสียตอนนี้ก็พวยพุ่งออกมา

พอรู้สึกตัว ผมก็รีบข่มสัญชาตญาณของตัวเองลง

โดยการตบไปที่แก้มของตัวเองให้ได้สติ

น่าแปลกตรงตั้งแต่ที่ผมได้อาภรณ์วิญญาณมา ผมก็รู้สึกเหมือนกลายเป็นคนละคน แต่ผมกลับไม่เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนั้นเลย ถ้าจะให้บอกถึงความเปลี่ยนแปลงสักข้อผมว่าก็น่าจะเป็นผมร่าเริงขึ้นกว่าเดิม

หรือจะเป็นเพราะอิทธิพลของอาภรณ์วิญญาณกันนะ หรือเราก็เป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว?

จะแบบไหนผมก็ไม่ใส่ใจหรอก เพราะไม่ว่าจะทางไหนผมก็คือผมอยู่ดี

แล้วก็จากนี้ไป

ผมจำเป็นต้องกำหนดขอบเขตการควบคุมพลังไว้ หากผมใช้พลังโดยไม่ยั้งคิด ผมอาจจะตกเป็นทาสของมันแล้วกลายเป็นปีศาจไปในสักวันหนึ่ง ผมไม่อยากให้อนาคตเช่นนั้นเกิดขึ้น

และผมต้องกำหนดอย่างเจาะจงว่าเส้นที่ผมขีดเอาไว้จะอยู่ตรงไหน หรือเอาเป็นหากอีกฝ่ายคิดจะทำร้ายผมก็ไม่เลว

ดังนั้นผมก็ไม่ควรจะกินใครมั่วซั่วเพราะพวกเขาก็ไม่ได้ทำอันตรายอะไรกับผมถึงเธอจะเป็นคิจินก็ตาม

กลับกันหากมีใครเข้ามาทำร้ายผมแล้วละก็ ไม่ว่ามันจะเป็นใครผมก็จะกินมันไม่ให้เลือกแม้แต่ซาก

ไอ้เจ้าพวกดาบฮายาบูสะ…พวกแกจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไป!

เปลวไฟแห่งความแค้นได้ลุกโชนอยู่ภายในอกของผม ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงคร่ำครวญอย่างแผ่วเบาออกมาจากปากของหญิงสาว

ขณะที่ผมมองไปยังร่างของเธอ หัวของหญิงสาวก็ส่ายไปมา พร้อมกับขมวดคิ้วราวกับเจ็บปวด

เธอน่าจะตื่นแล้วสินะ

ตามที่คิด ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เธอก็ค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมาอย่างช้าๆ …

—–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code