ตอนที่ 159 อ้างว่าป่วย

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 159 อ้างว่าป่วย
ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นถงเดินขนาบอยู่ทางด้านซ้ายขวาขององค์หญิงใหญ่ ได้ยินองค์หญิงใหญ่ซึ่งพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นเอ่ยกำชับเสียงแผ่วเบา “วันนี้พวกเจ้าทั้งสองคนจะต้องเดินจากทางไปแล้ว จงระวังตัวให้ดี! โดยเฉพาะอาเป่า…เจ้าเดินทางไปยังหนานเจียง ที่นั่นเต็มไปด้วยอันตรายจากอาวุธมากมาย เจ้าต้องติดตามองค์รัชทายาทอย่างใกล้ชิด ดูแลรักษาตัวเองให้ดีด้วย!”

“เจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนรับคำเสียงแผ่วเบา

เมื่อส่งองค์หญิงใหญ่เข้าไปในเรือนแล้ว ไป๋จิ่นถงก้มศีรษะคำนับจากนั้นเดินออกมาด้านนอกด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เตรียมเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเพื่อออกเดินทาง

แม้เรือนที่พักในวัดของราชวงศ์จะไม่ได้โอ่อ่าใหญ่โตมากนัก ทว่าก็มีพร้อมทุกอย่าง

ภายในห้องจุดเตาผิงเอาไว้แล้ว เมื่อเดินแหวกม่านหนาเข้าไปด้านใน ไออุ่นราวกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิแผ่ออกมาจากด้านใน

ไป๋ชิงเหยียนส่งองค์หญิงใหญ่เข้าไปด้านใน เมื่อเห็นบ่าวรับใช้รินน้ำชาเสร็จ นางจึงย่อกายทำความเคารพ “ในเมื่อมาส่งท่านย่าเรียบร้อยแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”

“อาเป่า!” องค์หญิงใหญ่เห็นไป๋ชิงเหยียนเตรียมจากไปจึงลุกขึ้นยืนอย่างรีบร้อน

มือที่เหี่ยวแห้งไปตามกาลเวลาของนางกุมมือของไป๋ชิงเหยียนแน่น ปลดกำไลลูกประคำของตัวเองใส่ไว้ที่ข้อมือของไป๋ชิงเหยียน “นี่คือกำไลที่ท่านอาจารย์กวงเหอเป็นผู้เบิกเนตร มันจะคุ้มครองให้เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย!”

ไป๋ชิงเหยียนมองดูกำไลลูกประคำที่องค์หญิงใหญ่ใส่ติดตัวอยู่ตลอดเวลามาเป็นเวลายาวนาน หญิงสาวไม่ได้บ่ายเบี่ยง ย่อกายทำความเคารพพลางกล่าว “ขอบพระคุณท่านย่ามากเจ้าค่ะ”

“อาเป่า เจ้าต้องกลับมาอย่างปลอดภัยนะ!” องค์หญิงใหญ่ขอบตาร้อนผ่าวจนพร่ามัวไปหมด พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา

หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินออกมาจากห้อง เมื่อเดินออกมาจากเรือน นางได้ยินเสียงดังมาจากหลังผ้าม่านด้านในห้องจึงหันกลับไปมอง นางเห็นองค์หญิงใหญ่แหวกผ้าม่านหนาออกมายืนอยู่ด้านหน้าห้องโดยมีเจี่ยงหมัวมัวคอยช่วยประคอง ท่านย่ามองมาที่นางทั้งน้ำตา

ไป๋ชิงเหยียนทำใจไม่ได้ นางย่อกายทำความเคารพองค์หญิงใหญ่และหมุนตัวเดินจากไปในทันที

ไป๋ชิงเหยียนเดินไปยังที่พักของไป๋จิ่นถง ไป๋จิ่นถงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชายเสร็จพอดี หญิงสาวพาไป๋จิ่นถงเดินออกไปทางประตูด้านข้างของวัด ให้น้องสาวเดินทางจากไปทางภูเขาทิศเหนือ

เมื่อทั้งสองคนเดินไปถึงป่าไผ่ทางทิศเหนือของภูเขาก็เห็นองครักษ์ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีกลุ่มหนึ่งยืนรออยู่ท่ามกลางต้นไผ่สีเขียวขจีที่กวัดแกว่งไปมาตามสายลม

เว่ยจงเดินก้าวเข้ามาทำความเคารพ “คุณหนู องครักษ์ครึ่งหนึ่งจำนวนสิบคนอยู่ที่นี่แล้วขอรับ”

หญิงสาวพยักหน้า หันไปกล่าวกับไป๋จิ่นถง “ท่านย่ามอบองครักษ์ลับกองหนึ่งให้แก่พี่ พี่ให้ครึ่งหนึ่งของพวกเขาติดตามเจ้าไปด้วย!”

ไป๋จิ่นถงเม้มปากคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเอ่ยขึ้น “วันนี้พี่หญิงใหญ่ต้องเดินทางไปยังหนานเจียง ต้องการพวกเขามากกว่าข้า! พี่หญิงใหญ่นำไปเถิดเจ้าค่ะ!”

“พี่ติดตามองค์รัชทายาทไปไม่มีอันตรายอันใดหรอก แต่เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าปลอมตัวเป็นชายเดินทางอยู่ด้านนอก สิ่งที่พึ่งพาได้มีเพียงกำลังคนเท่านั้น!” ไป๋ชิงเหยียนจับมือไป๋จิ่นถง เดินไปส่งนางที่ด้านล่างภูเขา “ท่านแม่ของพี่มอบกิจการที่ทำรายได้ได้ดีแต่ละพื้นที่ของตระกูลไป๋ให้เจ้าดูแล! โชคดีที่ตอนนี้ทุกคนล้วนรับรู้กันดีว่าตระกูลไป๋ขายทรัพย์สมบัติไปจนหมดสิ้นแล้ว กิจการตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นก็คงไม่เป็นที่ผิดสังเกตแต่อย่างใด”

“เจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นถงพยักหน้า เมื่อเห็นว่าทางเดินขรุขระจึงช่วยพยุงไป๋ชิงเหยียน แต่กลับจับโดนถุงทรายที่ไป๋ชิงเหยียนผูกไว้ที่ต้นแขนแทน

“บัดนี้ใต้หล้ากำลังเปลี่ยนแปลง เพื่อหนทางข้างหน้า เจ้าจะสนใจแต่แคว้นต้าจิ้นมิได้ หากเจ้าใช้ความสามารถของเจ้าขยายกิจการไปยังแคว้นอื่นๆ ภายภาคหน้าเราจะสืบข่าวจากแคว้นต่างๆ ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น”

ใต้หล้ากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นหรือ!

ใจของไป๋จิ่นถงเต้นรัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ กระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันที

จริงสินะ ไม่เพียงแต่แคว้นต้าจิ้นเท่านั้นที่กำลังเปลี่ยนแปลง ใต้หล้าก็กำลังเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน

สำหรับแคว้นต้าจิ้น…

ภายใน คนในราชสำนักที่มีอำนาจ ชอบคำเยินยอประจบสอพลอ ต่างแย่งชิงกันเพื่อให้ได้กุมอำนาจบนบัลลังก์สูงนั่น

ภายนอก กองทัพที่ร่วมมือกันของซีเหลียงและหนานเยี่ยนจ่อประชิดอยู่ที่ชายแดน แม่ทัพในราชสำนักไม่กล้าออกไปสู้รบที่ด่านหน้า

ภายในวุ่นวายไม่สงบสุข ภายนอกมีแต่อันตราย แคว้นอาจล่มสลายได้

สำหรับโลกภายนอก แคว้นที่เคยแข็งแกร่งเหนือผู้ใดอย่างต้าจิ้นกำลังจะเสื่อมสลาย แคว้นซีเหลียงมีความทะเยอทะยานมาก หนานเยี่ยนก็เป็นที่น่าจับตามองอีกหนึ่งแคว้น สถานการณ์ในใต้หล้ากำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว

สนใจแต่แคว้นต้าจิ้น ก็จะเห็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของแคว้นต้าจิ้นเท่านั้น ทว่าหากมองให้กว้างไปยังทั่วทุกแคว้น ถึงจะเห็นว่าสถานการณ์ทั้งใต้หล้าจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด

ยุคสมัยกำลังจะเปลี่ยนไป ผู้ใดคว้าโอกาสไว้ได้ก่อน ผู้นั้นก็จะกลายเป็นผู้นำในยุคที่มีแต่ความโกลาหลเช่นนี้

ไป๋จิ่นถงรู้ดีว่าพี่หญิงใหญ่ต้องการปกป้องตระกูลไป๋ ทว่า หากมีความสามารถมากกว่าที่จะปกป้องตระกูลไป๋ให้ปลอดภัยเพียงอย่างเดียว ความปรารถนาของพี่หญิงใหญ่คงไม่ได้หยุดอยู่แค่แคว้นต้าจิ้นเท่านั้น

ตระกูลไป๋ยังไม่รอดพ้นจากอันตราย พี่หญิงใหญ่กลับปูทางเพื่อปณิธานที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลในวันข้างหน้าแล้ว ความปรารถนานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นางต้องเปลี่ยนแปลงแผนการจึงจะช่วยเหลือพี่หญิงใหญ่ได้

“พี่หญิงใหญ่ จิ่นถงทราบดีเจ้าค่ะ พี่หญิงใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ จิ่นถงจะไม่ทำให้พี่หญิงใหญ่ผิดหวัง จะไม่ทำผิดต่อตระกูลไป๋และศรัทธาของบรรพบุรุษแน่นอนเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นถงยกมือคาราวะ “พี่หญิงใหญ่ส่งแค่นี้ก็พอเจ้าค่ะ จิ่นถงจะเดินลงเขาไปเองเจ้าค่ะ!”

ไป๋ชิงเหยียนดีใจที่ไป๋จิ่นถงเข้าใจความหมายที่นางต้องการจะสื่อ หญิงสาวพยักหน้า “ระวังตัวด้วยนะ เจ้าเป็นคนมีเมตตา แต่อยู่ข้างนอกห้ามใจอ่อนเฉกเช่นสตรีเด็ดขาด!”

“จิ่นถงทราบดีเจ้าค่ะ”

นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไป๋จิ่นถงจะเดินทางออกสู่โลกกว้างด้วยฐานะอื่น

องครักษ์ลับเดินตามไป๋จิ่นถงจากไปอย่างเงียบเชียบ หญิงสาวมองส่งไป๋จิ่นถงจนร่างของน้องสาวหายลับไป

ลมหนาวพัดผ่านป่าไผ่จนเกิดเสียงดัง เว่ยจงได้ยินเสียงราบเรียบของไป๋ชิงเหยียนดังขึ้น

“องครักษ์ลับที่เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง เมื่อทหารที่ล้อมจวนจงหย่งโหวอยู่จากไปแล้ว เจ้าจงมอบพวกเขาให้ไป๋จิ่นซิ่ว ให้พวกเขาทำตามคำสั่งของไป๋จิ่นซิ่วอย่าให้ผิดพลาดเด็ดขาด เจ้าอายุมากแล้ว นับแต่บัดนี้จงติดตามรับใช้ข้างกายของท่านย่า ปกป้องท่านให้ปลอดภัย ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขเถิด ไม่ต้องติดตามรับใช้ข้า!”

เว่ยจงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับคำด้วยความซาบซึ้งโดยไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย

หนึ่งจักรพรรดิ หนึ่งราชบริพาร ตอนเว่ยจงอยู่ในวังเขาพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มามาก เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเจ้านายแล้วได้มีจุดจบที่ดีเช่นนี้ สำหรับบ่าวอย่างเขาแล้วนี่คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว

กองทัพจะออกเดินทางในช่วงต้นของยามซื่อ[1] ไป๋ชิงเหยียนและองค์รัชทายาทนัดหมายเจอกันที่นอกเมืองในระยะที่ห่างออกไปสิบลี้

นางไปส่งท่านย่าและน้องหญิงสามตอนเช้ามืด นางสั่งให้เซียวรั่วไห่นำองครักษ์ที่สามารถเผยตัวตนได้และสัมภาระเดินทางล่วงหน้าไปรออยู่ที่นอกเมืองซึ่งห่างออกไปสิบลี้ก่อนแล้ว

หญิงสาวนั่งรถม้าคันเดียวกับต่งซื่อลงไปจากภูเขา ต่งซื่อโอบไหล่บุตรสาวพลางร้องไห้ไม่หยุด ตลอดทางมีแต่เสียงสั่งกำชับ “เจ้าจงจำไว้ว่าอย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพราะคิดว่าควบคุมสถานการณ์ได้แล้วเหมือนปีนั้นอีก เจ้าต้องรู้ว่าแม่เหลือเจ้าเพียงคนเดียวแล้ว ได้ยินหรือไม่!”

“ท่านแม่วางใจเถิดเจ้าค่ะ อาเป่าทราบแล้วเจ้าค่ะ! อาเป่าจะติดตามอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทไม่ห่างไปที่ใด จะดูแลตัวเองให้ดีเจ้าค่ะ อีกอย่างมีหรู่ซยงทั้งสองคนคอยปกป้อง อาเป่าต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอนเจ้าค่ะ ท่านแม่ดูแลตระกูลไป๋แทนท่านพ่อ! ข้าต้องมีชีวิตอยู่เพื่อปกป้องท่านแม่แทนท่านพ่อเจ้าค่ะ!”

ต่งซื่อร้องไห้ออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ กอดบุตรสาวแน่น ในใจทุกข์ทรมานเป็นที่สุด

ทั้งๆ ที่ตกลงกันไว้แล้วว่าหากเป็นบุตรสาว นางจะเป็นคนสอนบทกลอนและวิชาความรู้ให้แก่นาง ให้นางรู้จักกฎระเบียบมารยาท หากเป็นบุตรชาย สามีจะเป็นคนสอนศิลปะการต่อสู้เพื่อให้เขาคอยปกป้องบ้านเมือง

แต่เหตุใด บุตรชายของนางเสียชีวิตในสนามรบแล้ว บุตรสาวของนางยังต้องถ่อร่างกายที่อ่อนแอไปยังสนามรบอีก

เมื่อส่งต่งซื่อและบรรดาท่านอาสะใภ้กลับถึงจวน ไป๋ชิงเหยียนก้มศีรษะคำนับแล้วเดินทางจากไปอย่างเงียบเชียบ

ฉินหมัวมัวกลับไปรายงานต่งซื่อว่าไป๋ชิงเหยียนจากไปแล้ว ต่งซื่อน้ำตาไหลพราก ครู่ใหญ่จึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ กล่าวเสียงสะอื้น “นับตั้งแต่วันนี้ ประกาศกับภายนอกว่าคุณหนูใหญ่ป่วย…”

“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ!” ฉินหมัวมัวกล่าวทั้งน้ำตา

“พี่สะใภ้ใหญ่! พี่สะใภ้ใหญ่!”

น้ำเสียงร้อนรนของฮูหยินสามหลี่ซื่อดังแว่วมาจากเรือนด้านนอก ต่งซื่อลืมตาที่บวมช้ำขึ้น หันไปมองที่นอกหน้าต่างแวบหนึ่งจากนั้นเอ่ยสั่งฉินหมัวมัว “ไปต้อนรับฮูหยินสาม”

ฮูหยินสามหลี่ซื่อถลกชายกระโปรงเดินเข้ามาด้านในอย่างรีบร้อน ในมือถือจดหมายหนึ่งฉบับ น้ำตาอาบใบหน้าด้วยความกระวนกระวายใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ เสี่ยวซื่อ…เสี่ยวซื่อนาง…”

———————————————

[1] ยามซื่อ ระยะเวลาระหว่าง 9.00 – 11.00 นาฬิกา