บทที่ 184 นายน้อย ท่านนี่มัน…. 3 (1)

อันโตนิโอกวาดสายตาไปมองรอบๆ เขามองเห็นทหารประจำอาณาเขตมุ่งหน้าเข้ามาใกล้ ไหนจะประชาชนที่ยืนอออยู่ฝั่งตรงข้ามสะพานในย่านการค้าและที่สำคัญที่สุดคือชาวบ้านในสลัมที่หลบตัวอยู่ในบ้านแต่ก็หูผึ่งรอฟังสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน

“นายน้อยขอรับ!!”

หัวหน้าองครักษ์และหัวหน้าฝ่ายบริหารประจำอาณาเขตวิ่งมาหาอันโตนิโออย่างรวดเร็ว คาร์ลจึงยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับอันโตนิโอซึ่งกระดาษแผ่นนี้ระบุตำแหน่งของบ้านทั้งสิบหลังเอาไว้

“นี่คือบ้านที่พวกค้ามนุษย์จับชาวบ้านมาขังไว้”

“…ขอบคุณท่านมากนายน้อยคาร์ล”

อันโตนิโอมั่นใจเมื่อเห็นแววตาที่กระจ่างชัดของคาร์ล คนผู้นี้ไม่เมาเลยสักนิด เขาดำเนินแผนการทุกอย่างในขณะที่มีสติครบถ้วน

คาร์ลยื่นเอกสารอีกฉบับให้กับอันโตนิโอ

“..ตรานี้—!”

อันโตนิโอเห็นตราที่ประทับบนเอกสาร มันคือสัญลักษณ์ประจำตระกูลเชรย์ซี่ซึ่งเป็นหนึ่งในลูกน้องคนสนิทของตระกูลกิลล์ การแสดงออกของเขาเริ่มรุนแรงมากขึ้นก่อนจะสังเกตเห็นองครักษ์ประจำตัวของคาร์ลลากคนผู้หนึ่งเข้ามา

“คนผู้นี้คือพ่อบ้านประจำตระกูลเชรย์ซี่”

“..นายน้อยคาร์ล”

อันโตนิโอเอ่ยเรียกคาร์ลเสียงแผ่ว ความคิดอันน่ากลัวผุดขึ้นในหัวของเขาและมันมีโอกาสสูงที่สิ่งที่เขาคิดจะกลายเป็นความจริง

“นายน้อยอันโตนิโอ”

คาร์ลเอ่ยเรียกอันโตนิโอเมื่อเห็นเขาจ้องมาที่ตนด้วยท่าทางเคร่งเครียด

“หากให้พูดตรงๆข้าไม่เก่งเรื่องอ้อมค้อมสักเท่าไหร่”

อันโตนิโอรู้สึกถึงริมฝีปากที่แห้งผาก ขุนนางผู้ใสซื่อ คนโง่ที่ไม่รู้จักกาลเทศะและขุนนางขี้เมาไม่ได้อย่าตรงหน้าเขาอีกต่อไป! คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้คือ‘คาร์ล เฮนิตัส’ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นคนสนิทขององค์ชายรัชทายาท

“ข้าไม่คิดที่จะทำให้เรื่องนี้มันเงียบ”

คาร์ลทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่และแน่นอนว่าอันโตนิโอและอาณาเขตกิลล์ต้องรับศึกหนักไม่ใช่น้อย คาร์ลตั้งใจทำสิ่งนี้อย่างเปิดเผยและมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ในเรื่องนี้เช่นกัน

หากคาร์ลมอบข้อมูลนี้ให้กับอาณาเขตกิลล์ล่วงหน้า พวกเขาก็จะจัดการเรื่องนี้อย่างลับๆและมีโอกาสสูงที่พวกเขาจะซ่อนความจริงที่เกิดขึ้นไว้ในคฤหาสน์ของพวกเขาโดยไม่มีใครอื่นรู้ถึงความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในอาณาเขตแห่งนี้ อย่างไรก็ตามดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากหากในตอนนี้พวกเขาจะจัดการมันอย่างลับๆ

‘ทำไม?’

อันโตนิโออยากจะถามเหตุผลจากคาร์ลว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนี้? เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นและตกเป็นเบี้ยล่างของคาร์ล หากคาร์ลมอบข้อมูลเรื่องนี้ให้กับเขาตั้งแต่แรกเขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างลับๆ ไม่ให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่แบบที่คาร์ลทำ

อันโตนิโอจ้องเขม็งไปที่คาร์ลเมื่อเห็นเขากำลังจะพูดบางอย่าง

แน่นอนว่ามันต้องมีเหตุผลไม่เช่นนั้นคาร์ลคงไม่ทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่

“ข้าต้องการภาคตะวันตกเฉียงใต้”

องค์ชายรัชทายาท

คนผู้นี้ผุดเข้ามาในหัวของอันโตนิโอแต่คาร์ลก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมเช่นกัน

“ตอนนี้ท่านคงยุ่งมาก..เอาไว้เราค่อยคุยกันทีหลังแล้วกัน”

คาร์ลเดินผ่านหน้าอันโตนิโอและมุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์กิลล์อย่างสบายอารมณ์

อันโตนิโอมองตามแผ่นหลังคาร์ลก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆจากนั้นเขาก็หันไปเผชิญหน้ากับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทันที

“อัศวินส่วนหนึ่งตามข้ามา..เราจะไปคฤหาสน์เชรย์ซี่เดี๋ยวนี้!”

อันโตนิโอจำเป็นต้องจัดการพายุลูกนี้เสียก่อน

คาร์ลเอ่ยถามรอนขึ้นเมื่อจู่ๆเขาก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า

“พวกเขาไม่ได้ส่งคนสะกดรอยตามข้าใช่มั้ย?”

“ไม่ขอรับ! ดูเหมือนนายน้อยอันโตนิโอจะพุ่งความสนใจไปที่การแก้ปัญหานี้ก่อน”

เขามีภาวะความเป็นผู้นำและให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของคนที่เขารู้จักแต่อย่างน้อยพื้นฐานความเป็นคนดีของเขาก็มีมากทีเดียว คาร์ลวิจารณ์ตัวตนของอันโตนิโอภายในใจก่อนจะสาวเท้าเป็นจังหวะช้าๆเพื่อให้ถึงคฤหาสน์กิลล์ช้าลง เขาต้องการให้ประชาชนทั้งหมดได้เห็นโฉมหน้าของเขา

‘ฉันต้องการให้คนพูดถึงเรื่องนี้ให้มากที่สุด’

คาร์ลหวังว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้อิทธิพลทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ลดน้อยลง ในฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้ทางเหนือจะเต็มไปด้วยความวุ่นวายดังนั้นทางใต้ก็ไม่ควรเงียบจนเกินไป

ภาคตะวันออกเฉียงใต้ก็อาจกำลังยุ่งอยู่เพราะเป็นเขตชายแดนติดกับอาณาจักรวิปเปอร์ที่ปกครองโดยทูนก้า พวกเขาอาจเป็นกังวลว่าทูนก้าจะนึกบ้าระห่ำบุกโจมตีพวกเขาขึ้นมา

‘…แต่จะว่าไปทูนก้าก็เงียบจนผิดปกติ’

หลังจากที่สิ้นสงครามกับจักรวรรดิทูนก้าก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ คาร์ลตัดสินใจที่จะไม่กังวลกับเรื่องนี้เพราะมีบางอย่างที่สำคัญกว่า

“ข้าหิว”

ความหิวของเขาเป็นเรื่องสำคัญกว่าการเงียบหายไปของทูนก้า เขามักจะหิวในทุกๆครั้งที่พละกำลังแห่งดวงใจรักษาอาการบาดเจ็บของเขา คาร์ลเร่งฝีเท้าของตนให้เร็วขึ้น

“นายน้อยต้องทานมื้อค่ำให้อร่อยนะขอรับ”

“แน่นอน..แต่น่าเสียดายจริงๆที่บารอคไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย”

คาร์ลเอ่ยตอบรอนตามที่ใจตนคิดก่อนจะหันขวับไปมองรอนทันทีที่ได้ยินประโยคต่อไป

“นายน้อย..กระผมภูมิใจในตัวท่านยิ่งนัก”

สีหน้าของคาร์ลดูแปลกไปทันที

แม้ว่ารอนมักจะมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าบ่อยเพียงใดแต่รอยยิ้มในครั้งนี้กลับดูแตกต่าง คาร์ลไม่คิดว่าตัวเองจะได้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของรอนแบบนี้มาก่อน มันเหมือนรอยยิ้มของพ่อที่กำลังมองดูลูกของตนอย่างภูมิใจ รอนเอื้อมมือมากอดคาร์ลอย่างนุ่มนวล เขาเต็มไปด้วยพลังแห่งความมีชีวิตชีวาจนใครที่เดินผ่านไปมาในตอนนี้อาจคิดว่าเขากลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง

‘เป็นตาแก่ที่น่ากลัวจริงๆ’

คาร์ลค่อยๆแกะมือรอนออกก่อนจะถอยห่างทันที เขารีบสาวเท้ากลับไปยังคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว รอนมองตามหลังคาร์ลก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ

“เขาไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ”

ต่อให้นายน้อยของเขาจะกลายเป็นลูกสุนัขโตเต็มวัยเพียงใด เขาก็ยังไม่รู้วิธีควบคุมสีหน้าของตนเองได้

“เมี้ยว!”

“เมี้ยว!”

รอนอุ้มลูกแมวทั้งสองไว้ในอ้อมแขนก่อนจะรีบเดินตามคาร์ลไปอย่างรวดเร็ว

.

.

ตกกลางดึกในขณะที่อันโตนิโอเดินไปตามโถงทางเดินเขาก็ชำเลืองมองไปนอกหน้าต่าง คฤหาสน์กิลล์ในตอนนี้มีทั้งอัศวินและทหารยามเดินถือคบเพลิงลาดตระเวนไปทั่วคฤหาสน์ เขาเฝ้ามองพวกเขาที่ทำงานกันอย่างเร่งรีบและคิดถึงดัชเชสโซนาต้าผู้เป็นย่าของตนขึ้นมา

‘คาร์ล เฮนิตัสตามสืบในสิ่งที่เขาต้องการโดยมีองค์ชายรัชทายาทเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง’

นี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาได้เห็นใบหน้าอันโกรธเกรี้ยวของผู้เป็นย่า ความโกรธนั้นพุ่งไปที่ตัวเธอเอง

ตระกูลเชรย์ซี่

เอกสารที่องครักษ์ประจำตัวของคาร์ลมอบให้พวกเขารวมไปถึงข้อมูลต่างๆที่ได้จากการบุกค้นคฤหาสน์ของบารอนเชรย์ซี่ทำให้ดัชเชสโซนาต้าแทบลมจับ

‘เลวที่สุด!’

ขุนนางมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าทาส

แม้ว่าเธอจะยังไม่มีข้อมูลโดยละเอียดแต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลกิลล์รู้สึกอับอาย นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ต่างรับรู้เรื่องนี้โดยทั่วกัน อาจเป็นไปได้ที่พวกเขาจะถูกลงโทษจากพระราชา ประชาชนสูญเสียความไว้วางใจและความเคลือบแคลงจากเหล่าขุนนางด้วยกันเอง

ทั้งหมดนี้ทำให้อันโตนิโอรู้สึกปวดหัวเช่นกัน

อย่างไรก็ตามเขาจำเป็นต้องเข้าพบคาร์ลในคืนนี้ การรับมือกับคาร์ลถือเป็นภูเขาสูงที่เขาต้องปีนข้ามไปให้ได้ แน่นอนว่าภูเขาสูงที่แท้จริงที่เขาต้องปีนข้ามไปคือองค์ชายรัชทายาทอัลเบิร์กเพราะคาร์ลทำงานให้กับองค์ชายผู้นี้

องค์ชายอัลเบิร์กคือองค์รัชทายาทที่ถูกวางตัวให้เป็นพระราชาองค์ต่อไป ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปโดยง่าย

‘คาร์ล เฮนิตัสก็เป็นขุนนางคนหนึ่ง..เขาอาจใช้สิ่งนี้ตลบหลังเราและสร้างผลประโยชน์ให้แก่ตนเอง’

อันโตนิโอเห็นทั้งคนโลภและเห็นแก่ตัวในคราบขุนนางมาเป็นจำนวนมาก ทุกๆคนที่เขาเคยเจอต่างเป็นแบบเดียวกันหมด นั่นคือเหตุผลที่เขาพยายามทำตัวให้ดีที่สุดเพื่อเหมาะกับการเป็นขุนนางที่ดี เขาไม่ต้องการให้ใครใช้โอกาสจากเขาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาตั้งมาตรฐานของขุนนางขึ้นมาเพื่อใช้คัดกรองและกำจัดคนเหล่านี้ให้ไกลจากตัว

“อะแฮ่ม”

อันโตนิโอกระแอมออกมาเบาๆเมื่อถึงหน้าห้องพักของคาร์ล นั่นทำให้องครักษ์ประจำตัวของคาร์ลโค้งคำนับให้ตนทันที

อันโตนิโอชี้ไปที่ประตูก่อนที่ฮิลส์แมนจะหันไปเคาะประตูอย่างระมัดระวัง

“นายน้อยขอรับ!.นายน้อยอันโตนิโอมาถึงแล้วขอรับ!”

“ให้เขาเข้ามาได้”

อันโตนิโอยกมือขึ้นห้ามก่อนจะเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตูด้วยตัวเอง

“เดี๋ยวข้าเปิดเข้าไปเอง”

หลังจากหันไปสั่งฮิลส์แมนเขาก็ผลักประตูเข้าไปทันที

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกประหม่าแม้ว่าที่แห่งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของคฤหาสน์เขาเอง

‘นี่คือความรู้สึกของคนที่ตกเป็นรองใช่หรือไม่? ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าเขาต้องการอะไรจากข้า?’

คาร์ล เฮนิตัสต้องการอะไรจากเขากันแน่? นั่นคือสิ่งที่อันโตนิโออยากรู้ แต่เขาก็พอจะเดาออกว่าสิ่งที่คาร์ลต้องการมากที่สุดคืออำนาจในการสนับสนุนในตัวองค์ชายอัลเบิร์ก แน่นอนว่ามันทำให้เขารู้สึกประหม่าขณะที่เดินผ่านประตูเข้าไปในห้อง

เอี๊ยด!

ทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าคาร์ลกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง

อันโตนิโอผู้เป็นทายาทของตระกูลกิลล์ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมามองแผ่นหลังของใครเช่นนี้มาก่อน

แน่นอนว่ามันทำให้เขารู้สึกแย่ มันยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกเป็นรองหนักขึ้นไปอีก ทั้งความหงุดหงิดและความเครียดที่สะสมเอาไว้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก