ตอนที่ 146

My Disciples Are All Villains

‘มือทองอะไรกัน? ‘

หมิงซี่หยินและหยวนเอ๋อต่างก็รู้สึกสับสนเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรออกมา

ลู่โจวพยักหน้าก่อนที่จะส่ายหัว หลังจากที่ครุ่นคิดได้พักหนึ่งเขาก็เริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง “พวกเจ้าไปได้แล้ว”

“ครับท่านอาจารย์”

“ค่ะท่านอาจารย์”

สาวกทั้งสองได้จากไปอย่างเชื่อฟัง

ลู่โจวไม่คิดว่าเป็นความคิดที่ฉลาดเท่าไหร่ที่จะให้ศิษย์ทั้งสองอยู่ด้วย ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาไม่รู้ว่าอะไรอยู่ในกล่องกันแน่ ถ้าหากมันเป็นของที่มหัศจรรย์จริงๆ ศิษย์ทั้งสองคงจะต้องสงสัยแน่เมื่อได้เห็นมัน เพราะแบบนั้นลู่โจวจึงตัดสินใจที่จะเปิดกล่องในห้องลับแทน

ภายในห้องลับ

ลู่โจวโบกมือขึ้นมาเบาๆ ในตอนนั้นกล่องลึกลับใบเดินก็ร่วงสู่พื้น ลู่โจวรีบเปิดหน้าต่างเมนูระบบขึ้นมา

“ห่วงแห่งรัก”

ยี่เทียนซินได้มองห่วงแห่งรักของยี่เทียนซิน มันเปล่งแสงจางๆ ออกมาจากห่วง

อาวุธที่ยอมรับเจ้าของมักจะเป็นอาวุธที่มีความพิเศษกว่าอาวุธทั่วๆ ไป แม้ว่าจะไม่ได้ใส่พลังลมปราณลงไปแต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังสามารถปล่อยพลังออกมาได้

ลู่โจวใช้ห่วงแห่งรักด้วยพลังที่ตัวเองมีก่อนที่จะใส่ห่วงแห่งรักลงไปในกล่อง

แคล๊ก!

เสียงของกลไกได้ดังขึ้นมาอย่างชัดเจน

ร่องของอาวุธชิ้นสุดท้ายถูกปลดล็อกออกมา กล่องลึกลับได้แยกตัวก่อนที่จะเปิดออก

“ติ้ง! เปิดกล่องลึกลับสำเร็จ ได้รับ 1,000 แต้มบุญ”

“ได้รับ: การ์ดระเบิดจุดสุดยอด x1, สายสะพายแห่งนิพพาน, เครื่องรางแห่งการขัดเกลาx3, พลังร่างอวตารปัญจแห่งการเกิดใหม่”

ลู่โจวถึงกับตกใจ ตั้งแต่ที่ลู่โจวมาที่โลกแห่งนี้ หัวใจของเขาก็ไม่เคยสัมผัสกับความตื่นเต้นดีใจแบบนี้มาก่อนเลย

‘การ์ดระเบิดจุดสุดยอดของจีเทียนเด๋า! แม้ว่ามันจะสามารถใช้เวลาได้เพียง 30 นาทีก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังเป็นไพ่ตายที่ดีที่สุดสำหรับฉัน! หลังจากที่ฉันโชคไม่ดีอยู่นานในที่สุดฉันก็ได้รางวัลใหญ่สักที! ‘

ของสิ่งนี้ทำให้ลู่โจวรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าได้รางวัลแจ็คพอต

ลู่โจวได้มองไปที่การ์ดระเบิดจุดสุดยอดใบใหม่ที่ได้มา มันยังคงดูเหมือนกับการ์ดใบเดิมทุกอย่าง หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดพึมพำออกมา “ฉันควรจะเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต ของสิ่งนี้มันล้ำค่าเกินกว่าที่จะใช้มั่วๆ ได้”

หลังจากนั้นลู่โจวก็ได้เหลือบมองไปที่ของชิ้นอื่น “สายสะพายแห่งนิพพาน? “

“อาวุธแห่งความสงบ สายสะพายแห่งนิพพาน เจ้าของที่แนะนำ: ซีหยวนเอ๋อ”

ลู่โจวไม่เคยเห็นอาวุธแบบนี้มาก่อน เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสายสะพายแห่งนิพพานชิ้นนี้

แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามของสิ่งนี้ก็เป็นของลูกศิษย์ตัวเขา ลู่โจวคงจะรู้สึกอึดอัดมากกว่านี้ถ้าหากจะต้องเก็บมันเอาไว้ อาวุธชิ้นนี้เป็นเพียงแค่ผ้าผืนหนึ่งเท่านั้น ผู้ชายอย่างลู่โจวคงจะไม่เหมาะที่จะใช้มันเท่าไหร่ สำหรับผู้ชายอย่างเขา อาวุธที่จะได้ใช้จะต้องเป็นอาวุธที่ทั้งดูแข็งแกร่งและดูทรงพลัง

“เครื่องรางแห่งการขัดเกลา สามารถใช้ขัดเกลาอาวุธระดับสรวงสวรรค์, ระดับโลก และระดับทั่วไป อาวุธที่มีผู้เป็นเจ้าของเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

การขัดเกลาอาวุธถือเป็นเรื่องที่ยากมากในโลกของยุทธภพ ถึงแม้ว่าจะสังหารผู้เป็นเจ้าของอาวุธได้แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังจดจำผู้เป็นเจ้านายคนเดิมของมันได้อยู่ดี อาวุธที่จำเจ้าของได้จะมีแต่ผู้เป็นเจ้าของเท่านั้นที่จะสามารถใช้พลังที่แท้จริงของมันได้ ถ้าหากต้องการที่จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่เป็นเจ้าของและอาวุธ ผู้ฝึกยุทธคนนั้นก็ต้องขัดเกลาอาวุธอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เงื่อนไขในการขัดเกลาอาวุธนั้นเข้มงวดมาก ผู้ฝึกยุทธที่จะทำการขัดเกลาอาวุธจะต้องใช้พลังลมปราณของตัวเองก่อขึ้นเป็นกองไฟ หลังจากนั้นก็ใช้หินที่ใช้สำหรับการขัดเกลาเป็นพิเศษในการขัดเกลาอาวุธชิ้นนั้นด้วยไฟแห่งพลังลมปราณ ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้เป็นอะไรที่หาได้ยากมากและแสนจะล้ำค่า

“ไม่เลวเลย”

ลู่โจวนึกถึงอาวุธระดับสรวงสวรรค์ของเขาอย่างกระบี่ตัดวิญญาณ มันเป็นอาวุธที่เขาได้มาจากการที่หมิงซี่หยินเอาชนะจางฉิวชู ถ้าหากลู่โจวไม่มีเครื่องรางแห่งการขัดเกลา กระบี่ตัดชีวาชิ้นนี้ก็คงจะไม่มีทางยอมรับผู้เป็นเจ้านายใหม่แน่ และเมื่อมันหาเจ้านายใหม่ มันก็จะกลายเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์อีกครั้งหนึ่ง

“กระบี่ตัดชีวา! “

กระบี่ตัดชีวาลอยอยู่ตรงหน้าของลู่โจวแล้ว ในตอนนั้นเองเขาก็ได้หยิบเครื่องรางแห่งการขัดเกลาขึ้นมา ลู่โจวที่คิดจะใช้เครื่องรางแห่งการขัดเกลา ในตอนนั้นเครื่องรางแห่งการขัดเกลาก็ได้ปล่อยแสงสีแดง แสงสีแดงที่ลอยออกมาได้พันรอบกระบี่ตัดชีวาเอาไว้

ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้ เนื่องจากตัวเขามีความทรงจำของจีเทียนเด๋าอยู่ ดังนั้นตัวเขาจึงมีความรอบรู้อยู่พอสมควร แม้ว่าจะพยายามนึกสักแค่ไหนแต่ตัวเขาก็ไม่เคยเห็นวิธีขัดเกลาอาวุธโดยใช้แสงจากเปลวไฟแบบนี้มาก่อน

กระบี่ตัดชีวาในตอนนี้ดูเหมือนกำลังจะหลอมละลาย แต่ถึงแบบนั้นพลังจากแสงสีแดงที่ปล่อยออกไปก็ได้รักษารูปร่างของมันเอาไว้ได้

ลู่โจวกำลังสงสัยว่ากระบวนการขัดเกลานี้จะกินเวลาไปอีกนานแค่ไหน…

“ติ้ง! การขัดเกลาสำเร็จ ได้รับอาวุธไร้เจ้าของ กระบี่ตัดชีวา”

“จบแล้วอย่างงั้นหรอ? “

ความเร็วในการขัดเกลาอาวุธมันเหนือกว่าความคาดหมายของลู่โจวไปมาก โดยปกติแล้วจากความทรงจำที่จีเทียนเด๋ามี การจะขัดเกลาอาวุธได้จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ครึ่งปีถึงห้าปี การขัดเกลาอาวุธจะสามารถขัดเกลาได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นเมื่อใช้วัสดุพิเศษบางอย่างเข้าช่วย แต่ถึงแบบนั้นมันก็สู้ความเร็วของเครื่องรางแห่งการขัดเกลาไม่ได้ มันเร็วมากจนทำให้ตัวเขารู้สึกตกใจ

กระบี่ตัดชีวาในตอนนี้ยังคงลอยอยู่ที่กลางอากาศ ในตอนนี้มันได้เปลี่ยนไปจนกลายเป็นสีแดงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็สัมผัสความร้อนจากกระบี่ตัดชีวาไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นจะต้องหล่อเย็นมันอีกต่อไป

“ปล่อยมันไว้ก่อนก็แล้วกัน…” เนื่องจากลู่โจวมีอาวุธนิรนาม อาวุธที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้อย่างอิสระแล้ว เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงไม่ได้อยากได้อาวุธชิ้นอื่นๆ ในตอนนี้ และเมื่อคิดแบบนั้นลู่โจวก็ได้โบกมือก่อนที่จะเก็บกระบี่ตัดชีวาไป

ลู่โจวในตอนนี้ยังเหลือเครื่องรางแห่งการขัดเกลาอีก 2 ชิ้นด้วยกัน

ลู่โจวได้หันไปสนใจของรางวัลชิ้นสุดท้ายที่อยู่ในกล่อง “สิ่งนั้นก็คือพลังร่างอวตารปัญจแห่งการเกิดใหม่…”

พลังร่างอวตารนี้ถูกขายอยู่ในร้านค้าน 12,000 แต้มบุญ แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็สามารถแลกมันมาด้วยราคาเพียง 2,000 แต้มบุญได้! นี่ถือเป็นข้อตกลง

ลู่โจวรีบใช้พลังร่างอวตารปัญจแห่งการเกิดใหม่อย่างไร้ความลังเล

พลังร่างอวตารปัญจแห่งการเกิดใหม่ถือว่าเป็นพลังร่างอวตารที่สำคัญที่สุด มันเป็นพลังที่เหล่าผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูทั้งหลายใฝ่ฝันที่จะได้มา มันเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์อันแสนสำคัญว่าผู้ฝึกยุทธคนนั้นจะสามารถเปลี่ยนผ่านขั้นของวรยุทธตัวเองได้

พลังร่างอวตารปัญจแห่งการเกิดใหม่ทำให้ลู่โจวสามารถเบิกเส้นพลังลมปราณทั้งหมดทั้ง 8 เส้นได้

เส้นพลังลมปราณทั้งหมดเชื่อมเข้าหากันเป็นที่เรียบร้อย เมื่อพลังร่างอวตารปัญจแห่งการเกิดใหม่ปล่อยพลังออกมา ในตอนนั้นเองพลังวรยุทธทั้งหมดที่ลู่โจวมีก็ได้เพิ่มสูงขึ้น ก่อนหน้านี้ลู่โจวมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาราชครูแบบครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น แต่ในตอนนี้เขาได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูที่เบิกเส้นพลังลมปราณทั้ง 8 ได้แล้วนั่นเอง

ในขณะที่ลู่โจวกำลังจะเพิ่มพลังวรยุทธที่ตัวเองมี ในตอนนั้นเองก็เกิดเรื่องวุ่นวายที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าซะก่อน

หยวนเอ๋อและหมิงซี่หยินได้สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณจากภายในห้องลับ

หมิงซี่หยินในตอนนี้เริ่มมีความคิดแปลกใหม่ขึ้นมา เขายิ้มขึ้นมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์น้องหญิง ข้าว่าพวกเราไม่ต้องไปตรวจสอบหรอก…ข้าว่าท่านอาจารย์จะต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาจากสำนักอื่นแน่”

หยวนเอ๋อกะพริบตาก่อนที่จะถามกลับไป “ฝึกเคล็ดวิชาจากสำนักอื่นอย่างงั้นหรอ? “

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสัมผัสได้ถึงพลังของผู้ที่เบิกเส้นพลังลมปราณทั้ง 8 ได้ ในตอนนั้นข้าคิดว่าจะมีผู้บุกรุก…แต่โชคดีที่บทลงโทษเดียวของข้าคือการถูกส่งตัวไปยังถ้ำแห่งเงาสะท้อนเท่านั้น…ท่านอาจารย์จะต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาจากสำนักอื่นอยู่แน่”

“เป็นอย่างงั้นนี่เอง” หยวนเอ๋อพยักหน้า

“อย่าลืมไปซะล่ะ…ว่าซู่จินฉานถูกจัดการไปยังไง เจ้านั่นน่ะถูกฝ่ามือท่านอาจารย์ส่งไปสวรรค์” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกลัว

“ศิษย์พี่พูดถูกแล้ว ข้าว่าข้าเองก็กลับไปฝึกฝนตัวเองก่อนจะดีกว่า…” หยวนเอ๋อในตอนนี้เริ่มรู้สึกว่ากำลังขี้เกียจมากเกินไป แม้แต่อาจารย์ของเธอผู้ที่มีพลังวรยุทธลึกล้ำยังฝึกฝนตัวเองทั้งๆ ที่อายุเยอะแบบนี้ ในทางตรงกันข้ามหยวนเอ๋อกลับใช้เวลาหลายวันไปกับการอยู่เฉยๆ

“หยวนเอ๋อ เส้นทางแห่งการฝึกยุทธน่ะยังอีกยาวไกล เจ้าไม่ควรรีบร้อนหรอกนะ เจ้าน่ะเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ที่หาตัวจับได้ยาก ใครจะไปรู้กัน สักวันหนึ่งศิษย์พี่ของเจ้าอาจจะต้องพึ่งพาความช่วยเหลือของเจ้าก็เป็นได้” หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างติดตลก

หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นหัวเราะคิกคักออกมา เธอรู้สึกพอใจในคำพูดของผู้เป็นศิษย์พี่ หลังจากนั้นเธอก็ได้หันหลังก่อนที่จะพูดอะไรออกมา “ข้าจะไม่ปกป้องศิษย์พี่หรอก! ” หลังจากพูดจบหยวนเอ๋อก็ได้วิ่งหนีจากไป

หมิงซี่หยินเกาหัวก่อนที่จะเริ่มรู้สึกสงสัยตัวเอง ตัวเขาก็ไม่เคยทำอะไรให้ศิษย์น้องคนนี้ต้องขุ่นเคืองใจมาก่อน แต่ทำไมหยวนเอ๋อถึงกลับกลายเป็นแบบนี้ได้?

ในตอนนั้นเองจ้าวยู่ก็ได้เดินกลับมาที่ห้องโถงใหญ่

“ศิษย์พี่สี่ ที่เมืองถังซีเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนพยายามที่จะหาเรื่องพวกเรา”