หรงหยวน! กู่มี่!

หลังจากที่ฆ่าไท่หวู่ทั้งริบสมบัติทั้งหมดของมันมาหมดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ซัดฝ่ามือหนึ่งป่นศพของไท่หวู่จนสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เร่งออกจากพื้นที่ป่าที่ถูกไท่หวู่ทำลายทันที

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือหาสถานที่พักผ่อน เพื่อฟื้นฟูพลัง!

เรื่องอื่นๆนั้นค่อยว่ากันหลังจากที่เขาฟื้นฟูปราณแท้กับพลังวิญญาณเสียก่อน

ด้านกลุ่มยอดฝีมือขอบเขตเซียนของสำนักจันทร์จรัสแสงรวมถึงเจียงเว่ยเจ้าสำนัก ก็ได้ออกตามหาต้วนหลิงเทียนเป็นเวลา 10 วัน ทว่าสุดท้ายแล้วความพยายามมันก็ไม่เป็นผลอะไร

และทันทีที่กลับมาถึงสำนักจันทร์จรัสแสง พอเจียงเว่ยได้รับรายงานเรื่องป๋ายลี่หงมันก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ!

มันไม่ใช่ตัวโง่งม มันรู้ดีว่าไม่พ้นรองเจ้าสำนักทั้งหลายต้องลอบทำข้อตกลงอะไรบางอย่างกับป๋ายลี่หงแน่

แต่ถึงมันจะเดาได้แล้วอย่างไร? มันยังจะทำอะไรได้?

หรือจะให้มันประหารรองเจ้าสำนัก? ขับไล่รองเจ้าสำนัก?

รองเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงส่วนใหญ่ก็บรรลุครึ่งก้าวเซียนแล้วทั้งสิ้น! ทั้งหมดนับเป็นกระดูกสันหลังของสำนัก ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนอาจทะลวงไปยังขอบเขตเซียนได้ทุกเมื่อ เรื่องนี้ทำให้เจียงเว่ยไม่อาจหักใจทำอะไรรองเจ้าสำนักได้

หากไร้ซึ่งรองเจ้าสำนักไป สำนักจันทร์จรัสแสงย่อมเสียหายใหญ่หลวง

ด้วยเหตุนี้แม้เจียงเว่ยจะมีโมโห แต่ก็ไม่อาจทำอะไรรองเจ้าสำนักเหล่านี้ได้

อย่างไรก็ตามเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วก็จำต้องให้มันแล้วกันไป สุดท้ายรองเจ้าสำนักพวกนี้ก็ปล่อยป๋ายลี่หงไปแล้ว มันก็ได้แต่ต้องปล่อยเลยตามเลย

สรุปแล้วคราวนี้สำนักจันทร์จรัสแสงไม่เพียงเสีย 1 ในเสาหลักอย่างเฉียนคุน ยังต้องสูญเสียสุดยอดอัจฉริยะอย่างต้วนหลิงเทียน รวมถึงป๋ายลี่หง ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวไป…

ด้วยเหตุนี้ เจียงเว่ย เจ้าสำนักจันทร์จรัสแสงถึงหน้าบูดและอารมณ์ไม่ดีไปอีกหลายวัน

แน่นอนถึงแม้ว่ามันจะไม่ออกไปไล่ล่าต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเองอีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะยอมแพ้เรื่องนี้ มันลอบส่งผู้อาวุโสที่ไว้ใจได้ให้ออกไปตามหาต้วนหลิงเทียน

“กระบี่เล่มนั้น…หากข้าได้มันมา มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่สำนักจันทร์จรัสแสงจะทะยานขึ้นไปเหนือใครในขุมพลังทั้ง 9”

เมื่อถึงกระบี่ลึกลับที่ต้วนหลิงเทียนใช้ฆ่าเฉียนคงวันนั้น เจียงเว่ยก็รู้สึกอยากได้อยากมีและกระเหี้ยนกระหือรือนัก

มันต้องชิงกระบี่นั่นมาให้จงได้!

ส่วนทางด้านของต้วนหลิงเทียน เขาก็ได้หามุมสงบในป่าซุกซ่อนเจดีย์หลิงหลงไว้อย่างดี และอาศัยอยู่ในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลงตลอดเวลา

เวลา 10 วันด้านนอก ภายในเจดีย์ก็ผ่านไปเดือนนึงแล้ว ตอนนี้ปราณแท้ก็เกือบฟื้นคืนดังเดิม ส่วนพลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนได้ฟืนฟูเต็มเปี่ยมเรียบร้อย

เหตุผลที่เขายังไม่รีบออกมาจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เพราะต้วนหลิงเทียนต้องใช้เวลาในการทำให้รากฐานด่านพลังสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่มั่นคงเสียก่อน

เขาทะลวงขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ในเวลาคับขัน ฐานพลังจึงยังไม่คงที่ดีเท่าไหร่

คราวนี้เขาจึงใช้เวลาในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เพื่อทำให้ด่านพลังมั่นคง

หลังจากที่เขาสามารถใช้พลังสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ได้เต็มประสิทธิภาพแล้ว เขาจะย้อนกลับไปยังสำนักจันทร์จรัสแสง

ใจเขาย่อมเป็นกังวลเรื่องป๋ายลี่หงและคนอื่นๆไม่น้อย

อย่างไรก็ตามแม้ใจจะกังวล แต่ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าสำนักจันทร์จรัสแสงต้องไม่ทำอันตรายป๋ายลี่หงและคนอื่นๆถึงตายเด็ดขาด เพราะกระทำเช่นนั้นก็มีแต่ร้ายมากกว่าดี

ในสายตาของเขา สำนักจันทร์จรัสแสงที่เป็นขุมพลังชั้น 7 ย่อมไม่คิดกระทำเรื่องโง่เขลาแบบนั้น!

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนปรับฐานพลังให้มั่นคง ด้านตำหนักเมฆาครามที่อยู่ไกลห่างก็มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

ฟุ่บ!

ร่างหนึ่งพุ่งแหวกฟ้ามาด้วยความเร็วสูง ก่อนที่จะเหินร่อนลงตำหนักเมฆาครามที่ลอยค้างอยู่กลางหาวปานสายลมแผ่วพลิ้ว

“อาวุโสหรง!”

“อาวุโสหรง!”

……

ปรากฏร่างในชุดเกราะดำทมิฬแลดูเหี้ยมหาญตั้งแถวรอรับการมาถึงของร่างที่พึ่งโรยตัวลงมาดั่งสายลมอย่างเป็นระเบียบ ยังหยุดโค้งคำนับด้วยความสุภาพเปี่ยมเคารพ

ผู้ที่ทั้งหลายเรียกหาว่าอาวุโสหรงนั้น เป็นชายชราคนหนึ่ง

ชายชราคนนี้มาในชุดคลุมสีเทา ขนคิ้วเส้นผมขาวโพลน หากแต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ กลิ่นอายทั้งสภาวะที่แผ่ออกมารอบกายให้ความรู้สึกเสมือนเทพเซียน

อย่างไรก็ตามตอนนี้ใบหน้าของผู้ชรากลับเคร่งขรึมไม่น้อย

มันพยักหน้าให้กองกำลังเกราะทมิฬคราหนึ่ง ก่อนที่จะเร่งรุดเดินไปตามเส้นทาง ไม่นานก็มาถึงตำหนักหรูหราใหญ่โตที่สุดบนเกาะลอยฟ้าแห่งนี้ มันเดินลัดเข้าห้องหนึ่งไปอย่างไม่คิดสนใจใดอื่น

“ท่านจ้าวตำหนัก”

ไม่นานชายชราดังกล่าวก็พบเจอต้วนหรูเฟิง จ้าวตำหนักเมฆาคราม ที่กำลังตรวจสอบเอกสารบนโต๊ะอย่างไม่รีบไม่ร้อน

“ผู้เฒ่าหรงไฉนวันนี้ท่านดูรีบร้อนนักเล่า?”

ต้วนหรูเฟิงกล่าวถาม

ชายชราผู้นี้ติดตามมันมานานหลายปีแล้ว อีกฝ่ายรับผิดชอบหน่วยข่าวกรองของตำหนัก เว้นแต่จะเกิดเรื่องบางอย่าง หาไม่แล้วชายชราผู้นี้คงไม่รีบร้อนมาหามัน

“ท่านจ้าวตำหนัก…หากข้าจำมิผิดนามของนายน้อยเรียกว่า ต้วนหลิงเทียน ใช่หรือไม่?”

ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึกๆค่อยถาม

“ใช่”

ต้วนหรูเฟิงพยักหน้าตอบ ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาด้วยใบหน้าประหลาดใจทั้งเต็มไปด้วยความสุข “อะไร? หรือผู้เฒ่ากู่กลับมาแล้ว?”

“ยังไม่”

เผชิญกับใบหน้าประหลาดใจแฝงไว้ด้วยความยินดีของต้วนหรูเฟิง ชายชราเพียงส่ายหัวด้วยรอยยิ้มขื่นขมค่อยกล่าวสืบต่อ “ข้าได้รับข่าวมาว่ายามนี้เผ่าพันธุ์มังกรกำลังออกตามหาชายหนุ่มที่เรียกว่าต้วนหลิงเทียนอย่างลับๆ…อีกทั้งคำสั่งนี้ยังถูกถ่ายทอดออกมาโดยตรงจากผู้นำเผ่าพันธุ์มังกร…”

“นี่คือภาพเหมือนที่คนของเผ่าพันธุ์มังกรใช้หาตัว ข้ากับลูกน้องเห็นว่าใบหน้านี้ละม้ายคล้ายท่านจ้าวตำหนัก 7-8 ส่วน…ด้วยเหตุนี้ข้าจึงคิดว่าผู้ที่เผ่าพันธุ์มังกรตามหา มิพ้นเป็นจ้าวตำหนักน้อย!”

ขณะกล่าวชายชราพลันยกมือขึ้น ปรากฏภาพเหมือนแผ่นหนึ่งออกจากความว่าง

ต้วนหรูเฟิงรับมาแล้วดูรูปเหมือนดังกล่าวทันที

ชายในรูปนั้นมันมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นบุตรชายมัน ต้วนหลิงเทียน ไม่ผิดแน่

“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน มิใช่ว่าลูกชายข้ายังอยู่ทวีปมนุษย์หรอกรึ! ทำไมเผ่าพันธุ์มังกรถึงได้ออกตามหาเขาแบบนี้เล่า?”

ใบหน้าของต้วนหรูเฟิงจมลงโดยพลัน

หากเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์มังกรมันต้องกังวลใจไม่น้อย

ถึงแม้มันจะไม่ได้หวาดกลัวเผ่าพันธุ์มังกรเลย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลในความปลอดภัยของบุตรชาย เห็นได้ชัดว่าพวกมังกรคงไม่ได้ตามหาตัวลูกมัน เพื่อเชิญไปจิบชายามบ่ายแน่!

“ข้าเองก็มิเข้าใจเช่นกัน นายน้อยสมควรยังอยู่ที่ทวีปมนุษย์…เพราะจ้าวตำหนักก็ทิ้งหยกบันทึกเสียงไว้ให้นายน้อยแล้ว ทั้งกู่มี่เองก็เฝ้ารออยู่ที่จุดนัดพบตลอด หากนายน้อยออกจากทวีปมนุษย์คิดมายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็จำต้องผ่านจุดนัดพบนั่นก่อนอื่นใด ทว่าทางกู่มี่ก็มิมีข่าวอันใดเลย”

ชายชราผู้นี้เป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของตำหนักเมฆาคราม กล่าวให้ชัดมันเสมือนหูตาของต้วนหรูเฟิง ยากที่จะมีอะไรรอดพ้นสายตามันไปได้

ไม่ว่าในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าบังเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไร มันย่อมรับทราบได้ทันที

แน่นอนว่าหากเป็นขุมพลังชั้นต่ำมันย่อมไม่คิดจะสนใจ

“ดูท่าคงมีเรื่องบางอย่างผิดพลาดแล้วล่ะ…”

ลูกตาต้วนหรูเฟิงทอประกายเรืองวูบ กล่าวออกเสียงเข้ม “หรงหยวนข้าคิดจะย้อนกลับไปที่ทวีปเมฆาล่องเพื่อตรวจสอบเรื่องราว เจ้าช่วยไปแจ้งฮูหยินว่าข้าจะออกไปทำธุระเล็กน้อย แต่อย่าได้บอกเรื่องเกี่ยวกับเทียนเอ๋อเด็ดขาด ข้ามิอยากให้นางเป็นกังวล”

“ทราบ”

หรงหยวนผู้เป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองนี้ ยังเสมือนมือขวาของต้วนหรูเฟิงเช่นกัน หลังจากได้รับคำสั่งต้วนหรูเฟิงมันก็รับคำด้วยความเคารพ ตอบกลับเสียงดังฉะฉาน

หลังสั่งหรงหยวนแล้ว ร่างต้วนหรูเฟิงก็พุ่งวูบออกจากตำหนักเมฆาครามไปทันที

มันจากไปเพียงลำพังโดยไร้ผู้ติดตาม

เป้าหมายคือมุ่งหน้าลงใต้ ไปยังเมืองท่าของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า

“ท่านจ้าวตำหนัก!?”

บริเวณเมืองท่าเลียบชายฝั่งตอนใต้ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า กู่มี่ที่เฝ้ารอที่จุดนัดพบอดไม่ได้ที่จะทักต้วนหรูเฟิงด้วยความประหลาดใจ มันไม่คิดว่าจ้าวตำหนักจะมาหามันด้วยตัวเองแบบนี้

“กู่มี่ ตามข้าไปทวีปเมฆาล่อง”

ต้วนหรูเฟิงกล่าวออกด้วน้ำเสียงเรียบเฉยกลับชายชราในชุดคลุมสีเทา

หลังจากนั้นมันก็เหินร่างนำกู่มี่ไปยังทวีปเมฆาล่อง

ชายชราย่อมไม่กล้าละเลย เร่งรีบติดตามไปทันที

แม้ชายชราคนนี้จะสวมใส่ชุดคลุมสีเทาแบบเดียวกับหรงหยวน หากทว่าเทียบกับหรงหยวนที่ให้บรรยากาศคล้ายเทพเซียนแล้ว มันกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ทั่วกายแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกคล้ายภูตผี…

ในมือยังมีไม้เท้าประหลาดถือไว้

หากหานเฉวี่ยไน่มาอยู่ตรงนี้ นางคงจดจำมันได้ทันที

ชายชราผู้นี้คือ ผู้ที่หยุดคนของคฤหาสน์คลื่นขจีที่นางนำพาออกจากดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าทางตอนใต้ เพื่อออกไปตามหาตัวต้วนหลิงเทียนวันนั้น

พลังอำนาจของชายชราคนนี้เพียงคนเดียว ก็สะกดไม่ให้ยอดฝีมือของคฤหาสน์คลื่นขจีกล้าเคลื่อนไหวใดๆ

ยิ่งไปกว่านั้นแม้จะเป็นสุดยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดข้างกายนางอย่างมู่อี้ก็เคารพเลื่อมไสชายชราไม่น้อย

“กู่มี่ หรงหยวนกลับมาแจ้งข้าว่าเผ่าพันธุ์มังกรกำลังออกตามหาตัวลูกชายข้า”

ระหว่างทางต้วนหรูเฟิงก็เอ่ยออกมา

ถึงแม้น้ำเสียงจะยังเรียบเฉย หากแต่กู่มี่ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบในนั้น

“นายน้อย? มิใช่ว่านายน้อยยังอยู่ในทวีปมนมุษย์หรอกหรือ?”

กู่มี่อดไม่ได้ที่จะสงสัยขึ้นมาทันที

“เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่หลายปี เจ้าพบเจออันใดผิดปกติหรือไม่…หรือมียอดฝีมือกลุ่มใดออกจากดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามุ่งลงใต้อันใดทำนองนั้น?”

ต้วนหรูเฟิงกล่าวถาม

“เมื่อสองวันที่แล้ว พึ่งมีคนของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานมุ่งหน้าลงใต้อีกกลุ่ม”

กู่มี่นิ่งคิดไปพักหนึ่งค่อยกล่าวตอบ “ทว่าคนของคฤหาสน์คลื่นขจีมิได้มุ่งหน้าไปทวีปเมฆาล่อง เพียงออกค้นหาในทะเลอยู่นาน คล้ายกำลังมองหาใครสักคน ทว่าสุดท้ายท่าจะคว้าน้ำเหลว”

“เจ้าเห็นคนจากเผ่าพันธุ์มังกรบ้างหรือไม่?”

ต้วนหรูเฟิงกล่าวถาม

“คนของเผ่าพันธุ์มังกรหรือ?”

หลังจากได้ยินคำถามของต้วนหรูเฟิง กู่มี่ก็ย้อนคิดเล็กน้อยค่อยตอบ ทว่าหน้ามันเริ่มเผยความเคร่งเครียดออกมา “หนึ่งปีที่แล้ว ตี้จิ่ว มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บได้ผ่านมาทางนี้ และข้าก็ไถ่ถามมันเล็กน้อย เห็นว่ามันกำลังมุ่งหน้าไปยังเกาะแห่งหนึ่ง ยามไปข้าเห็นใบหน้ามันคล้ายยิ้นแย้มยินดี ทว่ายามกลับคล้ายมิค่อยสู้ดีสักเท่าไร”

“ไม่ผิดแน่…สมควรเกี่ยวข้องกับตี้จิ่วนั่น!”

ต้วนหรูเฟิงที่ได้ยินคำตอบ ใบหน้าก็จมลงทันใด

เมื่อได้ยินคำของต้วนหรูเฟิง กู่มี่ก็หน้าเสียไปทันทีด้วยคล้ายตระหนักใดได้ “ท่านจ้าวตำหนักข้าไม่เอาไหน หากมีอันใดเกิดขึ้นกับนายน้อยจ้าวตำหนักเพราะตี้จิ่ว ข้าจักไปฆ่าตี้จิ่วให้ตาย ต่อให้ข้าต้องตายตกในเผ่ามังกร!”

เสียงกู่มี่เย็นลงแฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว

“เรื่องนี้ไม่ต้องกล่าวแล้ว ตอนนี้ที่สำคัญคือกลับไปทวีปเมฆาล่องเพื่อสืบเรื่องราว และหาทางรับทราบสถานการณ์เสียก่อน…ในเมื่อคนของเผ่ามังกรยังออกตามหาตัวลูกข้าให้วุ่น ข้ามั่นใจว่าตอนนี้ลูกชายข้ายังปลอดภัยดีอยู่”

กล่าวถึงจุดนี้ต้วนหรูเฟิงก็โล่งใจไม่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อจดจำได้ถึงคำทำนายที่ผู้เฒ่าพยากรณ์เคยบอกเอาไว้ มันก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที