บทที่ 205 สะสางปัญหา
บทที่ 205 สะสางปัญหา
กั๋วฉินเซิงเดินไปที่หลังเวทีประมูลแล้ว ดังนั้นเขาย่อมไม่ได้ยินคำพูดของโจวอี้ แต่ความเงียบกะทันหันนี้ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย เขาจึงหยุดและหันไปมองโจวอี้อีกครั้ง
ไอ้เด็กเวรนั่นสร้างเรื่องอะไรอีก?
กั๋วฉินเซิงคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว
เขาเกลียดโจวอี้มาก ดังนั้นหลังจากหันไปมองครู่หนึ่ง เขาก็หันกลับมาและก้าวไปที่หลังเวทีตัดสินใจที่จะทำธุรกรรมให้เสร็จเร็วขึ้น และหาโอกาสที่จะฆ่าอีกฝ่ายหลังจากนี้
โจวอี้คุยกับชายอ้วนหัวโล้นอีกสองสามคำ จากนั้นจึงไปที่หลังเวทีเพื่อทำธุรกรรม แต่คนรอบข้างก็เอ็นดูเขามาก ในเวลาเพียงสิบนาที เขาได้รับนามบัตรมาหลายสิบใบ
เขาอารมณ์ดีจึงทักทายกับทุกคนอยู่พักใหญ่
“เอาล่ะ ๆ ปล่อยให้น้องโจวไปหลังเวทีได้แล้วพวกเรา! เทพแห่งความมั่งคั่งผู้โง่เขลาคนนั้นต้องจ่ายเงินสองพันล้านหยวน อย่าทำให้น้องโจวไปรับเงินของไอ้โง่นั่นช้าเลย” เชาหมิงคุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาคือชายอ้วนหัวโล้นวัยกลางคน และเป็นหัวหน้าใหญ่ของกลุ่มการแพทย์ในเซินเจิ้น
โจวอี้เบียดฝูงชนและไปที่หลังเวที
ในเวลานี้หนานกงหลู่และผู้นำหลายคนของสมาคมการแพทย์แผนจีนฮัวเซียรออยู่ข้างหลังแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นโจวอี้้เดินเข้ามา พวกเขาก็ยิ้มแย้มอย่างสดใส
“น้องโจว คนคนนั้นเพิ่งออกไปเอง” หนานกงหลู่ยิ้ม
“ปล่อยไปเถอะ ผมยินดีที่เขาเอาเงินมาให้ผมมากขนาดนี้” โจวอี้ยิ้ม
พูดได้ว่าการประมูลครั้งนี้สร้างความมั่งคั่งให้เขาได้มากจริง ๆ
แม้ว่าการซื้อแมงมุมผีเสื้อจะทำให้เขาเสียเงินตั้งสองร้อยหนึ่งล้านหยวน แต่การประมูลนี้เขาขายรากไม้หงส์ทองนิลและผลหลิงหลงสามลูก ทำเงินให้เขาได้ถึง 2.4 พันล้านหยวน
เมื่อโจวอี้ให้หมายเลขบัญชีธนาคารของเขา อีกฝ่ายก็จัดการโอนเงิน 2.2 พันล้านหยวนให้โจวอี้ และมอบแมงมุมผีเสื้อที่โจวอี้ต้องการมาให้
“รองประธาน จำนวนเงินผิดหรือเปล่า คุณลืมคิดค่าธรรมเนียม 3% ของราคาประมูลทั้งหมดงั้นเหรอ?” โจวอี้ถามอย่างสงสัย
“ค่าธรรมเนียมคนอื่นเก็บได้ แต่ค่าธรรมเนียมพี่น้องจะเก็บได้ยังไง” หนานกงหลู่ยิ้ม
“เอ่อ…” โจวอี้รู้สึกกระอักกระอ่วน
3% ของ 2.4 พันล้านหยวน ก็มีมูลค่าหลายล้านหยวนนะ!
นอกจากนี้ เขายังสังเกตเห็นว่าหนานกงหลู่ถึงกับลดราคาส่วนเกินหนึ่งล้านจากราคาที่เขาประมูลซื้อแมงมุมผีเสื้อให้อีก
“น้องโจว ผมมีคำขอที่ไม่แน่ใจว่าจะพูดดีไหม และผมสงสัยว่าคุณจะตกลงไหม” หนานกงหลู่ลังเล
“บอกผมมาได้เลย” โจวอี้รู้ว่าไม่มีอะไรฟรีในโลกนี้
“ผมต้องการเชิญน้องโจวเข้าร่วมสมาคมแพทย์แผนจีนฮัวเซีย คุณคิดว่ามันโอเคไหม” หนานกงหลู่เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นท่าทางประหลาดใจของโจวอี้ เขาก็รีบเสริมว่า “อย่ากังวลเลย มันไม่ใช่การให้เข้าทำงานอย่างเป็นทางการ แต่ให้แขวนตำแหน่งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ในสมาคมโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนของเรา เมื่อสมาคมจัดกิจกรรมทุกปี คุณสามารถแค่เข้าร่วมครั้งหรือสองครั้ง”
“แค่นั้น?” โจวอี้ถาม
“แค่นั้นแหละ!”
“ตกลง! เมื่อสมาคมจัดกิจกรรม อย่าลืมบอกผมล่วงหน้า ตราบใดที่ผมมีเวลา ผมจะไปแน่นอน”
“เยี่ยมมาก เรายินดีต้อนรับน้องโจวเข้าร่วมกับเราอย่างอบอุ่น” หนานกงหลู่รู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติที่ได้เชิญศิษย์ของสำนักโอสถเข้าร่วมสมาคมโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนฮัวเซียของเขา
สำนักโอสถมีอิทธิพลมหาศาลในด้านการแพทย์แผนจีน และศิษย์สำนักโอสถทุกคนต่างก็ได้รับความเคารพจากแพทย์แผนจีน
“ผมมีคำขอ” โจวอี้พูดขึ้น
“น้องโจว ถ้ามีคำขออะไรก็แค่บอกมา”
“คำขอคือ อย่าเรียกผมว่าน้องโจวเลย ผมอึดอัด ทำไมคุณไม่เรียกผมว่าโจวอี้หรือเสี่ยวโจวแทนล่ะ?”
“เอ่อ…”
หนานกงหลู่ตกตะลึงเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมแก่แล้ว มันคงไม่เหมาะที่จะเรียกคุณว่าน้องชาย แต่ก็ ตกลง! จากนี้ผมจะเรียกคุณว่าโจวอี้ก็แล้วกัน แล้วคุณก็เรียกผมว่าผู้เฒ่าหนานกง?”
“ได้เลย!” โจวอี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
สิบนาทีต่อมา โจวอี้และซุนเหมาไฉก็ออกมาจากตลาดยา
ในลานจอดรถใกล้เคียง เชาหมิงคุนเพิ่งวางสายโทรศัพท์ เมื่อเขาเห็นโจวอี้กำลังมา เขาก็เดินเข้าไปทักทายอย่างอบอุ่นและเป็นมิตร
“น้องโจว นายอย่าถือสาฉันเลยนะ แต่ฉันเพิ่งถามเพื่อนเกี่ยวกับนาย ฉันอยากจะเป็นเพื่อนกับนายจริง ๆ ฉันไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวตนหรือภูมิหลังของนายหรอก แต่บุคลิกและนิสัยใจคอของนายกระตุ้นต่อมอยากรู้ของฉันมากเหลือเกิน” เชาหมิงคุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ผมเข้าใจ!”
โจวอี้ยิ้มเล็กน้อย หยิบบุหรี่ออกมาแล้วยื่นให้อีกฝ่าย
หลังจากสูบไม่กี่ครั้ง เขาก็ยิ้มและถามว่า “พี่ชายหัวโล้นได้ยินอะไรมาบ้างล่ะ”
“ที่ปรึกษาแพทย์แผนจีนของโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิง และศิษย์สำนักโอสถ” เชาหมิงคุนพ่นควันบุหรี่เป็นวงแหวนและหัวเราะ
“น่าทึ่งมาก! คุณถามใครมาเนี่ย? คนที่รู้ว่าผมเป็นศิษย์สำนักโอสถมีไม่มากนักหรอก”
“เฉินเจี้ยนหรง รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิง” เชาหมิงคุนชำเลืองมองซุนเหมาไฉแล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเรื่องบังเอิญที่เฉินเจี้ยนหรงและฉันเรียนที่เดียวกัน แต่เขาอาวุโสกว่าฉันหลายปี เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”
โจวอี้เข้าใจในทันใด
เฉินเจี้ยนหรงรู้จักตัวตนของเขา และเชิญให้เขาทำงานในโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิง
และเนื่องจากเชาหมิงคุนถามเฉินเจี้ยนหรง ดังนั้นจึงสามารถค้นพบตัวตนของเขาได้อย่างง่ายดาย
“ไปกันเถอะ! ผมจะซื้อเครื่องดื่มเลี้ยงพี่ชายเอง แต่ผมขอเลือกสถานที่เองนะ” โจวอี้ยิ้ม
“ตกลง! วันนี้ฉันขอฝากตัวด้วยก็แล้วกัน!” เชาหมิงคุนหัวเราะ แต่แล้วเขาก็ส่ายหัวและพูดว่า “ดูเหมือนว่าวันนี้เรากลับไปไม่ง่ายเหมือนปกติซะแล้ว!”
“นั่นสิ ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ” โจวอี้หรี่ตา
เขาเห็นชายหลายสิบคนกำลังวิ่งมา ในมือของทุกคนถือมีดหลายแบบ หน้าตาของพวกเขาดูโกรธมากเหมือนกำลังถ่ายหนังนักเลงฮ่องกงอย่างไรอย่างนั้น
และด้านหลังกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มนั้น ก็คือหลานชายของกั๋วฉินเซิง
กั๋วเสี่ยวเทียนรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าโจวอี้ถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนที่เขาพามาด้วย ใบหน้าของเขายังคงเจ็บปวดและมีรอยฝ่ามือสีแดงสดที่ปู่ของเขาตบลงมา เขาคิดว่าเหตุผลหลักที่เขาต้องโดนตบเป็นเพราะโจวอี้
“หัวหน้าเชา ผมมาสะสางปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ กับไอ้คนคนนี้ คุณถอยออกไปก่อน!” กั๋วเสี่ยวเทียนยืนเต๊ะท่า มือล้วงกระเป๋ากางเกง และมองโจวอี้อย่างโกรธจัดขณะพูดกับเชาหมิงคุน
“แล้วถ้าฉันไม่ไปล่ะ” เชาหมิงคุนแสดงสีหน้าเย้ยหยัน
“ปู่ของผมบอกว่า ถ้าคุณไม่ต้องการที่จะไป คุณก็ควรบอกมาก่อนว่าอยากได้ตรงไหนในเมืองฉู่ให้เป็นสุสานของคุณ หลังจากนี้เราจะได้เอาคุณไปฝังได้ถูกที่ตามที่คุณต้องการ” กั๋วเสี่ยวเทียน กล่าวอย่างเย็นชา
“โฮ่ ๆ ขู่ฉันเหรอ?” ใบหน้าของเชาหมิงคุนเปลี่ยนไป แววตาของเขากลายเป็นเย็นชา
“พี่ชายหัวโล้นอย่าโกรธเลย” โจวอี้ตบไหล่เชาหมิงคุนและพูดด้วยรอยยิ้ม “ให้ผมแก้ปัญหาเล็กน้อยนี้เองเถอะ”
“แก้ยังไง?” เชาหมิงคุนเลิกคิ้วถาม
“มันก็แค่แมวกับหมา แค่ต่อยสักสามที เตะอีกสักสองครั้ง พวกมันก็ตายแล้ว” โจวอี้หัวเราะ
“ตกลง! ฉันจะดูนายแสดง แต่ถ้านายไม่ไหว วันนี้ฉันจะขอออกกำลังบ้างเหมือนกัน” เชาหมิงคุนโบกมือและก้าวถอยกลับไปพร้อมกับบอดี้การ์ดสองคนของเขา
“ผู้เฒ่าซุน คุณควรถอยหลังไปด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงพวกหมาแมวที่อาจจะกระเด็นไปโดนแข้งขาเอาได้” โจวอี้ยิ้ม
ซุนเหมาไฉลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “คุณก็ควรระวังด้วย”
“อย่ากังวลน่า!”
โจวอี้ทิ้งก้นบุหรี่ เขามองดูสถานการณ์ตรงหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วชี้ไปที่กั๋วเสี่ยวเทียน
“เข้ามาเลย เดี๋ยวผมจะทำให้คุณรู้เองว่าปู่ของคุณเป็นคนที่ใจดีมากเวลาลงโทษ …ถ้าเทียบกับผมอะนะ”
“รนหาที่ตาย! ฆ่ามันซะ!” กั๋วเสี่ยวเทียนตะโกนด้วยความโกรธ
ไม่ไกลนัก ร่างหลายร่างพลันปรากฏขึ้น
ผู้นำคืออวี้ชิงเหอและบอดี้การ์ดสองคนของเขา