มันควรที่จะมีตัวเอกเพียงแค่เดียวในแต่ละโลก ระบบได้บอกกับเขาได้แล้วว่าที่โลกนั้นมีตัวเอกอยู่แล้วในตอนที่เขากำลังล่าตัวเอกอียอนจุนอยู่

อียอนจุนไม่ได้เป็นตัวเอกในโลก ‘ยุคปัจจุบัน’ เขาเป็นตัวเอกในโลกที่พังทลายไปแล้วจากด้านในของดันเจี้ยนแรงค์ S ที่มีชื่อเรียกว่า ‘ยอดภูเขาหิมะเพาโลเนียสามพันปีก่อนแห่งความขมขื่น’ ด้วยความที่เป็นตัวเอกนั้นเองที่ทำให้อียอนจุนได้รับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยการได้รับพรของโลกเมื่อไหรก็ตามที่เพื่อที่จะให้เขาจะได้เอาชนะวิกฤตินั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเขายังมีทักษะสุดโกงที่มีชื่อเรียกว่า [เป็นจุดสนใจ (A)]

ระบบได้บอกกับเขาไว้แล้วเช่นกันว่าถ้าหากอียอนจุนเคลียร์ดันนี้ในครั้งนั้นและหลบหลีออกไปยังโลกได้ ช่วงเวลาแห่งบทส่งท้ายจะเข้ามาเร็วขึ้นเพราะว่าตัวเอกทั้งสองคนจะปะทะและต่อต้านกันเอง

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมระบบถึงออกเป้าหมายให้ฆ่าอียอนจุนั้นเป็นเพราะว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเขา อีดงจุน

<ด้วยความสามารถของคุณในปัจจุบัน โอกาสที่คุณจะชนะในการต่อสู้กับตัวเองอีดงจุนคือ 0.0000…>

‘ฉันรู้แล้วน่า…ได้โปรดหยุดเถอะ’

<…0000001%>

‘ยัยบ้….’

โดยโอกาสที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินถึงขีดสุดเช่นนี้แล้ว ยูซอดัมนั้นมีโอกาสมากกว่าที่จะจมยานบินด้วยการใช้ก้อนหินแค่ก้อนเดียวมากกว่าการเอาชนะอีดงจุนได้ซะอีก

ซอดัมขมวดคิ้วขึ้น ร่างกายของเขายังคงตึงเครียดอยู่แต่แล้วข้อความใหม่จากระบบก็เด้งขึ้นมา

<แต่หากว่าวัดจากวิธีการใช้ที่คุณได้ใช้เป็นปกติมาเป็นพื้นฐานแล้วด้วยการใช้กลยุทธ์พวกนั้นแทนการต่อสู้ซึ่งๆหน้า โอกาสของคุณที่จะสำเร็จได้ถูกเพิ่มขึ้นเป็น 16% ไม่สิ-ใช้จะให้แม่นยำที่สุดในตอนนี้ก็คือ 19% ค่ะ>

‘อะไรนะ?’

<ฉันแน่ในค่ะว่าคุณจะต้องมีกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมบางอย่างในหัวของคุณในตอนนี้ใช่ไหมคะ?>

ซอดัมแสดงออกถึงความงุนงงออกมาทางใบหน้าของเขาในขณะที่เขากำลังฟังคำพูดของระบบซึ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้นไม่เหมือนกับตัวเธอเองในปกติ

‘แต่ ฉันไม่ได้มีอะไรสักอย่างในหัวตอนนี้เลยนะ’

<นั้นไม่เป็นความจริงเลยค่ะ การคำนวณของฉันอยู่บนพื้นฐานของ ‘โชคชะตา’ มันจะต้องมีบางอย่าง…บางอย่างแน่นอนค่ะ>

‘…….?’

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของคุณลูกค้าซอดัมก็ได้มองไปที่อีดงจุนแล้วเบื้องหน้าของเขา ก็ได้มีหน้าต่าง ‘พล็อตเรื่อง’ ปรากฏขึ้นมา

……………………………………………………..

……………………………………………………..

< พล็อตเรื่อง>

“นี้เจ้าไม่มีความคิดที่จะโกนหัวของตัวเองบ้างหรือไง?”

การกลับมาของผู้ปกครองที่แข็งแกร่งที่สุด ผู้ปกครองคนนี้ได้มีการเชื่อมต่ออยู่กับจิตวิญญาณแห่งเดอมาร์!

…แต่ว่าฉันได้สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะใช้ชีวิตอยู่แบบคนทั่วไปสำหรับทั้งชีวิตของฉันเองแล้ว

“ได้โปรดเป็นพ่อของหนูนะคะ จนกระทั้งหนูเรียนจบด้วยเถอะ”

เป็นเพราะว่าฉันมีลูกสาวไงหละ

……………………………………………………..

……………………………………………………..

‘อืม…….’

พล็อคเรื่องคลุมเครือมาก มันยากที่จะดึงเอาข้อมูลใดๆจากพล็อตเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำ

‘แล้วอะไรคือความหมายของเดอมาร์หละ? และนอกไปจากนี้แล้วเขายังมีลูกสาวด้วยอย่างนั้นเหรอ?’

ยูซอดัมได้มองที่หน้าต่างเลเวลที่ลอยบนหัวของอีดงจุน

‘เอื้อก!’

[เลเวล 500]

ใช่แล้ว…มันเป็นเลย 500 ตัวโตๆ

‘…แรงค์ SS นี่เลเวลเท่าไหรนะ?’

<เลเวล 200 ค่ะ>

‘แล้ว…แรงค์ SSS หละ?’

แรงค์ SSS ในตำนานซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลกมนุษย์

<เลเวล 350 ค่ะ>

‘ชิบหายแล้วไง! นี้เขาแข็งแกร่งแค่ไหนกันเนี่ย?’

ยูซอดัมเกือบที่จะก้าวถอยหลังกลับไปเพราะความกลัวโชคยังดีที่เขาได้หยุดตัวเองเอาไว้ก่อนที่จะได้แบบนั้นด้วยเวลาไม่นาน

อีกด้านหนึ่ง อีดงจุนสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดบางอย่างจากตัวของยูซอดัม

‘ฉันไม่สามารถที่จะรู้สึกถึงอะไรจากตัวชายคนนี้ได้เลย’

สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งจะต้องมีพลังงานธรรมชาติไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของพวกเขา พวกพลังพิเศษจากคนบนโลกก็เป็นการฉีดแหล่งพลังงานจากภายนอกที่เรียกว่า ‘อีเทอร์’ เข้าสู่ร่างกายของพวกเขาในขณะที่เหล่าผู้หวนคืนจากมูริมเหมือนกับอีดงจุนมีพลังงานที่คล้ายกันกับสิ่งที่ยูซอดัมเรียกว่า ‘เวทมนตร์’ อยู่

แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้อีดงจุนไม่สามารถที่จะสัมผัสได้ถึงพลังงานแม้แต่เพียงแค่นิดเดียวจากร่างกายของยูซอดัม

‘ไม่ใช่ว่าเขาไปถึงสภาวะที่เรียกว่า ‘เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ’ แล้วหรอกนะ?’

ด้วยการที่ใช้เทคนิค ‘เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ’ มันก็เป็นไปได้สำหรับผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่มีระดับสูง…ไม่ใช่แค่สูงธรรมดานะแต่เป็นสูงในสูงในสูงเลยถึงจะปกปิดพลังงานในร่างกายของตนเองให้ดูเหมือนกับเป็นเพียงแค่คนธรรมดาโดยสมบูรณ์ได้แต่อย่างไรก็ตามไม่มีคนไหนในพวกคนแบบนั้นที่จะสามารถที่จะทำมันต่อหน้าของอีดงจุนได้

อีดงจุนเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของมูริมที่ได้รับสมญานาม ‘เจ้าแห่งตำนาน’ ด้วยการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้แห่งธรรมะซึ่งได้รับการส่งต่อกันมาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของมูริมดังนั้นมันเลยเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะดูไม่ปกติเมื่อคนเช่นเขานั้นไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงพลังธรรมชาติในร่างกายของชายตรงหน้าตนเองได้เช่นนี้

‘ฉันแทบที่จะไม่สามารถสัมผัสถึงพลังงานของเขาได้เลย…’

ไม่ว่าจะที่มูริมหรือที่โลกเขาก็มักจะคิดเสมอว่าตนเองเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดแต่ในตอนนี้ต่อหน้าต่อตาของเขาเองมันมีตัวตนที่สามารถจะคุกคามเขาได้

‘ฉันจำเป็นที่จะต้องฆ่าเขาทิ้งถ้าหากว่าฉันต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างคนธรรมดา’

อีดงจุนส่งพลังงานที่สัมผัสไม่ได้ไปที่ปลายนิ้วของตน การที่จะฆ่ายูซอดัมนั้นเป็นสิ่งที่ง่ายดายสำหรับเขาที่เป็นปรมาจารย์ของศาสตร์การใช้ดาบซึ่งเป็นศาสตร์ลึกลับในเส้าหลิน

แต่ว่า

‘……..!’

ในเสี้ยววินาทีที่เขาได้ตัดสินใจที่จะฆ่าชายคนนี้ที่อยู่เบื้องหน้าของเขา…

‘ฉันไม่สามารถที่จะฟันเขาได้’

สกิลของอีดงจุน [สถานการณ์จำลอง (SSS)] และ [สัมผัสที่หก] ของเขากำลังแสดงให้เขาเห็นว่าแม้ว่าเขาจะเหวี่ยงดาบพลังงานไร้รูปของตนออกไปทางยูซอดัมแล้ว แต่ชายคนนี้ก็ยังคงหลบหลีกความตายของตนเองได้อยู่ดีด้วยการหายไปราวกับว่าตัวตนของเขาเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา

‘ทำไมหละ?’

ระยะห่างระหว่างเขากับชายคนนั้นอย่างมากที่สุดก็แค่ 3 เมตรถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถตรวจจับชายคนนี้ได้ เขาก็ยังได้มาหาชายคนนี้ได้มาหาชายคนนี้โดยเฉพาะด้วยความตั้งใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาได้เห็นซอดัมในคลิปเหล่านั้นอย่างมากที่สุดชายเบื้องหน้าเขาก็คงจะเป็นเพียงแค่นักรบขั้นที่หนึ่งหรือไม่ก็ขั้นที่สอง แต่ว่าทำไมกันหละทำไมเขาถึงไม่สามารถที่จะฟันโดนชายคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าของเขาได้?

‘หืม! หรือว่าเขาจะมีสกิลซ่อนเร้นพวกนั้น?’

ในขณะที่อีดงจุนกำลังวุ่นวายกับความคิดของตนเองแบบนั้น

ยูซอดัมได้เปิดปากของตนเองออก

“ก่อนหน้านี้ คุณพูดถึงมูริมใช่ไหม?”

เวลาได้ผ่านไปเพียงแค่ห้าวินาทีเท่านั้นนับตั้งแต่ที่อีดงจุนได้ถามคำถามนั้นกับยูซอดัมด้วยช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีนั้นเองความคิดนับไม่ถ้วนได้วิ่งไปมาผ่านในหัวของพวกเขาทั้งสองคนและในตอนนี้เองที่พวกเขาทั้งคู่ได้ทำการประเมินความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้วมันก็ถึงเวลาที่จะตรงไปสู่หัวข้อหลักเสียที

ซอดัมตัดสินใจที่จะเชื่อระบบของ ‘มาตรการหลบหนีฉุกเฉิน’ และพยายามที่จะพูดกับอีกฝ่าย

“ผมแน่ใจว่าที่คุณมาเจอผมก็เพราะว่าผมได้แสดงศิลปะการต่อสู้ต่อหน้าสาธารณชนซึ่งอาจจะดูคล้ายกับศิลปะการต่อสู้จากมูริมแต่ว่าผมคิดว่านี้อาจจะเป็นการเข้าใจผิดกันไปเองมากกว่านะครับ ใช่แล้วผมก็เป็นผู้หวนคืนต่างมิติแต่ว่าผมก็ไม่ได้เป็นผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้ของมูริมครับ”

“ก็เหมือนกับที่คุณรู้ ผู้หวนคืนต่างมิติส่วนมาแล้วจะไปในโลกเดียวกันกับคุณซึ่งเป็นมูริมแต่ว่าผมไปในโลกอีกใบหนึ่ง”

คำพูดทั้งหมดของเขานั้นเป็นทั้งเรื่องจริงและเรื่องโกหก ยูซอดัมไม่ได้เป็นผู้หวนคืนต่างมิติแต่ว่าเป็นนักเดินทางข้ามมิติถึงแม้ว่าเขาต้องการที่ซ่อนความจริงที่ว่าเขาได้ในต่างมิติมาเขาก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถที่จะทำแบบนั้นต่อหน้าของอีดงจุนได้

ในกรณีแบบนี้มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการบอกบอกอีดงจุนไปว่าพลังที่เขาใช้นั้นอาจไม่ได้มีตัวตนอยู่บนโลกแต่ว่าพลังนั้นเพียงแค่คล้ายคลึงกับศิลปะการต่อสู้ของมูริมเท่านั้นเอง

“ดังนั้นแล้วนายกำลังจะบอกว่านายไม่ได้มีพันธะผูกพันกับกฎใดๆอย่างนั้นสินะ? ที่ฉันพูดนั้นถูกใช่ไหม?”

ซอดัมเดาว่า ‘กฎ’ ที่อีดงจุนพูดออกมาต้องเป็นบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับ

‘ห้ามไม่ให้ใช้หรือสอนศิลปะการต่อสู้ออกไป’

‘ห้ามให้มีการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน’

สองข้อห้ามนี้คงจะเป็นสิ่งที่จำเป็นจะสำหรับเหล่าผู้หวนคืนจากมูริมทั้งหลายต้องปฏิบัติตาม ข้อห้ามพวกนี้นั้นน่าจะถูกสร้างขึ้นมาโดยตัวเอกที่อยู่ตรงหน้าของเขา

ถ้าหากว่าอีดงจุนตัดสินใจที่จะโจมตียูซอดัมที่นี้ในตอนนี้เพื่อที่จะหยุดเขาจากการใช้พลังของตนเองบนโลกแล้วหละก็มันคงไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้

‘…ถ้าเป็นงั้น ฉันเดาว่าฉันคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการหนีไปยังต่างโลก’

แต่ซอดัมคาดว่าอีดงจุนจะไม่ทำร้ายเขาเพราะว่าหากว่าการใช้พลังอื่นจากต่างมิติที่โลกนั้นเป็นปัญหาหละก็เขาคงจะห้ามเพียงแค่การ ‘ห้ามไม่ให้ใช้หรือสอนศิลปะการต่อสู้ออกไป’ ในขณะที่ยังอนุญาตให้คนของเขาได้สร้างความสัมพันธ์กันได้

เขาเดาว่านี้จะต้องเป็นบางสิ่งที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับมูริมซึ่งหมายความว่าการใช้งานพลังจากต่างโลกนอกเหนือจากที่มูริมนั้นจะต้องไม่มีปัญหาอะไร

“แน่นอนหากนายไม่ใช่คนที่มาจากมูริมนั้นก็หมายความว่ากฎของพวกเราไม่มีความหมายกับนาย ฉันต้องขอโทษด้วยที่จู่ๆก็ทำตัวเสียมารยาทเช่นนี้”

เหมือนที่คาดไว้อีดงจุนไม่ได้ทำอะไรกับยูซอดัมซึ่งหมายความว่าการคาดการณ์ของเขานั้นถูกต้อง

“อย่างไรก็ตามนับจากวันนี้ไป…”

“คุณพ่อ!”

เด็กสาวมัธยมในเครื่องแบบของสถาบันผู้มีพลังพิเศษได้วิ่งตรงมาที่อีดงจุน เธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าของดงจุนและจับที่ไปแขนของเขาในขณะที่ทำหน้ายู่

“คุณพ่อมาหยุดทำอะไรอยู่ตรงนี้หรือคะ? พวกเรารีบไปกันเถอะค่ะ!”

“มันมีบางเรื่องที่พ่อจำเป็นที่จะต้องพูดคุยกับชายคนนี้หนะ นี้ลูกไม่เห็นว่าเรากำลังพูดคุยกันอยู่หรือไงเจ้าลูกคนนี้นิ?”

“อ้า หนูขอโทษค่ะ ขอโทดจริงๆนะค้า”

เธอหมุนตัวไปทางยูซอดัมและกล่าวขอโทษออกมา

ยูซฮดัมได้กล่าวกับเธออย่างเร่งรีบ

“ไม่ๆ มันไม่เป็นไรหรอก ฉันเป็นคนที่สนิทกับพ่อเธอมากๆเลยหนะเพราะงั้นแล้วมันโอเคอยู่แล้ว ฮ่าฮ่า ลูกสาวของนายนี้น่ารักมากเลยนะ”

“…”

“อย่างนั้นเหรอคะ? ยินดีที่ได้พบคุณนะค้า หนูชื่อว่าชินเฮจีค่ะ”

“ใช่แล้วๆ ฉันชื่อยูซอดัมนะนอกจากนี้แล้ว…เธอสกุลชินงั้นเหรอ?”

ชินเฮจียิ้มอย่างเก้ๆกังๆให้กับคำพูดของยูซอดัมและในตอนนั้นเองอีดงจุนก็ได้แทรกขึ้นมา

“มันมีเหตุผลบางอย่างนะ”

“โห้ โอเค”

หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาแห่งความเงียบสงัดได้ลงมาเยือนระหว่างคนทั้งคู่และแล้วชินเฮจีก็ได้เปิดปากของเธอขึ้นอีกครั้ง

“อ้า! หนูว่าหนูเคยเห็นคุณยูซอดัมมาก่อนหน้านี้จากทางทีวีนะคะ! ว้าว!”

ไม่เหมือนกับอีดงจุน ด้วยนิสัยของชินเฮจีนั้นค่อนข้างที่จะเป็นคนง่ายๆ เธอเลยสามารถที่จะพูดคุยกับยูซอดัมได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ

หลังจากที่เธอจะรู้สึกตัวว่าตัวเองติดลมเกินไป เธอก็ได้หันหน้าไปยัง ‘พ่อ’ ของเธอ

“พวกเราไปกันเถอะค่ะ! คุณฮันเตอร์ยูซูยังกำลังรอพวกเราอยู่นะคะ?”

‘ยูซูยัง?’

มันเป็นชื่อของฮันเตอร์แรงค์ S คนหนึ่งในเกาหลีแถมยังคนๆนี้ยังเป็นหญิงสาวที่สวยที่สุดในโลกอีกด้วยแต่แม้ว่าหลังจากที่ได้ยินชื่อนั้นแล้วดงจุงก็เพียงแค่สีหน้าตายด้านเท่านั้น

“อะไรจะขนาดนั้น”

ทันใดนั้นเองข้อความก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของซอดัม

[สกิล ‘นักล่าตัวเอกเลเวล 3’ ถูกเปิดใช้งาน]

[กำลังแสดงบางส่วนของสกิลและความสามารถของตัวเอก]

[ตัวเอกอีดงจุนมีความสามารถติดตัว [สเน่ห์ (S)] และสกิลติดตัว [เคลิบเคลิ้ม (SS)]]

ซอดัมรู้ว่าเดอมาร์(ธรรมะ)นั้นเป็นของพระชาวพุทธแต่สำหรับพระแล้วการที่จะมี ‘ฮาเรม’ เป็นหนึ่งในแฮชแท็กพวกนั้นได้ทำให้เขาแน่ใจได้เลยว่ามันต้องเป็นเพราะสกิลพวกนี้แน่

ต้องชื่นชมความสามารถที่น่าอัศจรรย์ใจของเขาเช่นเดียวกันกับสกิลติดตัวของเขาเองที่ทำให้เหล่าสาวสวยมากมายดูเหมือนว่าจะแห่มีรุมล้อมเขาราวกับว่าเป็นแมลงวันตอม**เต็มไปหมด

‘ถ้าอย่างนั้นแล้วเรื่องลูกสาวของเขาหละ?’

ยูซอดัมเดาว่าอีดงจุนนั้นคงอยู่ในช่วง 20 ปลายๆถึง 30 ต้นๆ สำหรับชายหนุ่มที่ยังมีอายุไม่เยอะเช่นนี้แล้วการที่จะมีลูกสาวโตได้ขนาดนี้เช่นชินเฮจีได้นั้นนับว่าแปลกมาก

ซอดัมค่อยๆมองไปที่เด็กสาวที่เรียกตัวเธอเองว่า ‘ลูกสาว’

และแล้วข้อความจากคุณลูกค้าอีกอันก็ได้ปรากฏขึ้นมาในหัวเขา

<พวกเราพบว่ามีสกิล ‘สิบสามดาบแห่งพุทธธรรม’ อยู่ด้านในตัวละครรอง ‘ชินเฮจี’ ค่ะ>

‘……วอท?’

ซอดัมค่อยๆเงยหน้าของตัวเองขึ้นมาและมองไปที่อีดงจุน เขาได้พยักหน้าให้กับซอดัมด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์บนหน้าตาของเขา

“พวกเราต้องไปแล้วในตอนนี้ ฉันมีนัดกับลูกสาวไว้นะ”

บางทีอีดงจุนคงคิดว่าคงไม่มีใครสักคนที่จะรู้ในสิ่งที่เขาได้ทำลงไปหรอกในความเป็นจริงแล้วซอดัมก็คงจะไม่รู้เหมือนกันถ้าหากไม่ใช่ว่า ‘ระบบนักล่าตัวเอก’ นั้นบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้

“…อ้าเข้าใจแล้ว ไปดีมาดีนะครับ”

เดอมาร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้ หนึ่งเดียวที่ได้สร้างกฎทั้งสองข้อขึ้นมาที่ทำให้ผู้หวนคืนจากมูริมทุกคนต้องปฏิบัติตาม

‘เขามีฮาเรมแถมยังแม้แต่สอนศิลปะการต่อสู้จากมูริมให้กับลูกสาวของตนเองอีกด้วยแหะ’

ตัวเอกอีดงจุนเองนี้แหละที่เป็นคนที่แหกกฎที่เขาตั้งไว้เองทั้งสองข้อ

……………………………………………………..

……………………………………………………..

“เจ้าได้เจอกับสูงสุดหนึ่งเดียวคนนั้นนะเหรอ?”

“ใช่แล้วครับ”

ไม่กี่วันให้หลังฉันก็ได้นัดเจอกับผู้หวนคืนที่ฉันได้เจอตอนที่อยู่สนามกีฬาชัมชิลอยู่ช่วงหนึ่ง

เขาสูดหาดใจเข้าลึกๆและถอนหายใจออกมาอย่างแรงเมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘เดอมาร์สูงสุด’ จากปากของฉัน

“แถมเจ้ายังเดาว่า ข้อห้ามเหล่านั้นที่ได้ผูกรังเราไว้ยังสร้างขึ้นโดยเขาอีกด้วยนะเหรอ”

“ตามนั้นเลยครับ นอกจากนี้แล้วคุณเคยบอกว่ามีเหล่าผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นนอกเหนือจากอีดงจุนด้วยใช่ไหมครับ?”

“ถูกแล้วหละครับ เราเรียกคนผู้นั้นว่าชอนมาสูงสุด…มันอาจจะฟังดูไม่คุ้นหูยิ่งนักสำหรับคนในยุคสมัยปัจจุบันแต่ว่ามันยังมีอยู่อีกหนึ่งคนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหุบเขาอันยิ่งใหญ่แห่งมูริม ข้าแน่ใจว่าเขาได้มาพร้อมกับเราในตอนที่พวกเราได้ข้ามมายังโลกใบนี้แล้วแต่ว่าข้ายังไม่เคยจะได้ยินถึงข่าวคราวใดๆจากตัวตนเช่นนั้นเลย”

มันไม่ใช่การแสดงศิลปะการต่อสู้ตามทีวีหรืออะไรพวกมันแต่ว่าการที่มาได้ยินบางสิ่งที่เหมือนกับชอนมา…เช่นนี้แล้วคงจะมีคนพวกนี้อยู่จริงๆสินะ

“ยกเว้นชอนมาที่กำลังซ่อนตัวอยู่เดอมาร์สูงสุดถึงว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในมูริมสินะครับ?”

“นั้นถูกต้องแล้วแต่ว่าภายใต้เขาแล้วยังมีเหล่าผู้คนที่ได้รับการขนานนามว่า ‘3 ราชัน และ 6 จักรพรรดิ’ อยู่”

“โปรดช่วยอธิบายเกี่ยวกับคนพวกนั้นในแบบที่ง่ายที่สุดที่ผมจะสามารถเข้าใจมันได้ทีเถอะครับ”

“อืม…ทั้ง 9 คนนี้ก็คล้ายกับฮันเตอร์แรงค์ A ถ้าหากว่าเทียบเดอมาร์กับชอนมาเป็นแรงค์ S นะครับ”

ในอีกความหมายหนึ่งก็คือเหล่าผู้แข็งแกร่งทั้ง 9 คนนี้อยู่ที่โลกซึ่งเป็นผู้ที่อ่อนแอกว่าเดอมาร์

“แล้วถ้าหากว่ามีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้ทั้งเก้าคนนี้ร่วมมือกันหรือไม่ก็นักรบทั้งหมดจากมูริมร่วมมือกันพวกเขาจะสามารถเอาชนะเดอมาร์ได้หรือป่าวครับ?”

“ข้ามิไม่กล้าที่จะ…เดอมาร์เป็นผู้มีพระคุณของพวกเราที่ได้อนุญาตในพวกเรากลับมาที่โลกได้ครับ”

“มันเป็นเพียงแค่เรื่องสมมุติเท่านั้นเอง ไม่ต้องคิดมากไปหรอกน่า”

คิมดูฮักมีสีหน้าที่อึดอัดใจแล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรงแล้วพยักหน้าของตนเอง

“ข้าไม่สามารถที่จะกล่าวได้อย่างแน่ใจได้นักเพราะว่าทักษะของข้านั้นยังไม่ได้ดีพอแต่บางทีมันน่าจะเป็นไปได้ที่จะฆ่าเขา ปัญหาก็คือว่า ‘3 ราชัน และ 6 จักรพรรดิ’ นั้นได้ซ่อนตัวอยู่ไหนสักที่บนโลกใบนี้และมันเป็นไปไม่ได้ที่จะนำพาพวกเขามารวมตัวกันครับ”

อยู่ดีๆฉันก็รู้สึกว่าดาวเคราะห์ที่ถูกเรียกว่าโลกมนุษย์ใบนี้นั้นกว้างใหญ่ว่าที่ฉันเคยคิดว่ามันเป็นขึ้นมาทันทีเลย

ฉันรู้สึกว่าราวกับว่าเป็นกบที่หนีออกมาจากบ่อน้ำได้สำเร็จ ฉันเคยคิดว่าฉันได้สำรวจไปรอบบ่อน้ำได้ดีพอที่จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่มันมีได้ดีพอแล้ว

แม้ว่าโลกที่อยู่ภายนอกบ่อน้ำจะเต็มไปด้วยสิ่งที่ฉันไม่เคยได้เห็นมาก่อน มันก็ยังไม่ถึงเวลาที่ฉันจะออกไปจากบ่อน้ำนี้

“โอเคๆ ขอผมถามอีกสักหนึ่งคำถามนะครับ”

“ช้าก่อนๆ เจ้าจะให้ตำแหน่งภายในกิลด์ของเจ้ากับข้าจริงๆใช่ไหม?”

“แน่นอนครับ ผมไม่ใช่คนที่จะมากลืนน้ำลายตัวเองหรอกครับ”

“แต่ว่าข้าคิดว่าเจ้ากำลังทำมันอยู่ในตอนนี้นะ”

“แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่มีทางหรอกครับ งั้นผมขอถามเลยนะครับ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่าเหล่าผู้หวนคืนต่างมิติแหกกฎหละครับ?”

คิมดูฮักตอบกลับด้วยสีหน้าราวกับว่าเขากำลังพูดประมาณว่า ‘มิใช่ว่ามันชัดเจนอย่างนั้นหรือ?’

“คำสั่งฆ่านะครับ”

“…..!”

“เหล่าผู้หวนคืนทุกๆคนจากมูริมล้วนมีศัตรูของเขาเอง”

ฉันรีบที่จะควบคุมไม่ให้มุมปากของตัวเองยกขึ้นหลังจากได้ยินคำพูดของเขาแม้ว่าฉันจะไม่ได้แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่เขาพูดนี้ก็ตาม

แม้ว่าคิมดูฮักที่เป็นสุดยอดปรมาจารย์ในมูริมสามารถที่จะใช้ได้เพียงแค่คำว่า ‘น่าจะ’ และ ‘หรือ’ ในคำพูดของเขาเท่านั้น ทำให้เขาไม่แน่ในเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก คิมดูฮักเป็นคนที่เทียบได้กับยอดมนุษย์แรงค์ A แต่ถ้าหากพูดในรูปแบบของเลเวลนั้นเขามีเลเวลมากที่สุดก็แค่ 115 เท่านั้นในขณะที่เลเวลของอีดงจุนนั้นคือ 500 พูดง่ายๆก็คือความแข็งแกร่งของทั้งคู่นั้นเทียบกันไม่ได้เลยสักนิด

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือไม่ว่าจะใช้แผนไหนก็ตามที่เขาคิดได้ในตอนนี้อัตราความสำเร็จของมันก็แทบที่จะเป็นศูนย์

‘อีดงจุน…’

เขามีอายุ 32 ปี มีลูกสาวอายุ 17 ปีชื่อชินเฮจี เขาได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างคนธรรมดาด้วยการเป็นพนักงานตำรวจระดับต่ำ แน่นอนว่าทั้งอายุและหน้าที่การงานของเขาล้วนเป็นเพียงข้อมูลปลอม

เขามีฮันเตอร์จำนวนมากวนเวียนอยู่รอบตัวเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าฮันเตอร์สาวสวย พัคซึงโฮได้แจ้งเขามาแล้วเช่นกันว่าอีดงจุนมักจะทานมื้อเย็นร่วมกับนักดาบจากจีนเป็นประจำ

โชคไม่ดีเลยที่ข้อมูลส่วนมากมักคลุมเคลือส่วนใหญ่ของข้อมูลพวกนี้เป็นเพียงแค่คำพูดจากคนที่เห็นเหตุการณ์ มันไม่มีแม้แต่รูปถ่ายหรืออะไรก็ตามที่สนับสนุนคำกล่าวอ้างพวกนี้

และแค่เพราะว่าหลักฐานพวกนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ‘3 ราชัน และ 6 จักรพรรดิ’ รวมไปถึงนักรบทั้งหมดจากมูริมจะลุกฮือขึ้นมาสู้กับอีดงจุนอีกทั้งโอกาสที่พวกเขาจะชนะนั้นยังไม่ขึ้นไปถึง 100% อีกด้วย

ในตอนนี้ฉันได้เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณลูกค้าถึงได้บอกกับฉันว่าฉันมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการฆ่าอีดงจุน 16% ก่อนหน้านี้นั้นฉันไม่ได้มีข้อมูลใดเกี่ยวกับเขาเลยแต่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างอีดงจุนและเหล่าผู้คนทั้งหลายจากมูริมที่มีความบาดหมางกันตั้งแต่เริ่มอยู่แล้วนั้น ฉันสามารถที่จะคิดได้หลายทางเลยหละที่จะใช้ในการฆ่าเขา

แต่มันยังไม่ถึงเวลา สิ่งที่ฉันต้องการคือโอกาส 100% ที่จะชนะไม่ใช่แค่ 15%

‘เพื่อที่จะทำแบบนั้นแล้วฉันจำเป็นที่จะต้องแข็งแกร่งให้มากขึ้นกว่านี้ด้วยการล่าเหล่าตัวเอกทั้งหลายจากมิติอื่นๆ แล้วฉันก็จำเป็นที่จะต้องสร้างค่ายฝึก,ขยายขุมกำลังของตัวเองและไปเจอกับ ‘3 ราชัน และ 6 จักรพรรดิ’’

มันไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นจะต้องรีบร้อนอะไร เวลาในการโจมตีตัวเองคนนี้จะเริ่มต้นขึ้นมาโลกเข้าสู่บทส่งท้ายของอีดงจุนแล้วเท่านั้น

การล่าอีดงจุนนั้นก็เหมือนกันการต่อสู้แบบยืดเยื้อนั้นแหละ