สถาบันเหล่ายอดมนุษย์เกาหลีนั้นเป็นหนึ่งในสถาบันที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ถ้าหากว่าพวกคุณถามว่าทำไมสถาบันที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึงได้อยู่ในดินแดนที่คับแคบเช่นเกาหลีหละก็? เหตุผลเป็นเพราะว่าสถาบันทั้งหมดนี้นั้นถูกสร้างขึ้นบนเกาะที่อยู่กลางทะเลห่างจากชายฝั่งทางตะวันตกออกไป

บนเกาะที่มีสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหินอ่อนนี้เองมีสิ่งก่อสร้างที่ดูคล้ายราวกับว่าเป็นปราสาทที่สวยงามอยู่มันเป็นเมืองสถาบันเหล่ายอดมนุษย์หรือที่เรียกกันอย่างกว้างขวางว่า ‘เซกิม’ เป็นชื่อที่ได้รับมาจากประธานาธิบดีในตอนที่มันถูกก่อตั้งขึ้น

ผู้คนทั่วไปมักล่อเลียนว่ามันเป็นคำที่มาจากการรวมกันของ ‘คำว่าหมูสามชั้น(ซัมกยอบซัล)กับกิมจิ’ แต่ว่าด้วยเวลาหลายต่อหลายปีที่ผ่านมานี้ทำให้ชื่อ เซกิมได้ติดตรึงลงไปในหัวของผู้คนมากมายทั่วโลก

สถาบันแห่งนี้นั้นมีเหล่ายอดมนุษย์ที่เก่งกาจมากมายได้ทำงานอยู่ที่นี้ด้วยการเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกสอน สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งได้รับความต้องการเข้าเรียนเป็นอย่างสูงสำหรับเหล่ายอดมนุษย์ฝึกหัดที่ต้องการจะเรียนรู้การใช้งานความสามารถพิเศษเช่นเดียวกันกับเหล่านักเรียนธรรมดาที่แสวงหาสถานที่แห่งนี้เพื่อรับใบประกาศนียบัตรให้ตนเอง

เมืองขนาดยักษ์ที่ประกอบไปด้วยประชากรกว่า 5 ล้านคนนี้เองที่เป็นพื้นที่ที่มี ‘โรงเรียนความสามารถพิเศษเซจอง’ อันมีชื่อเสียงโด่งดังตั้งอยู่

‘วันนัดพบผู้ปกครองอย่างนั้นเหรอ?’

สถาบันแห่งนี้ได้มีการจัด ‘วันนัดพบผู้ปกครอง’ ปีละหนึ่งครั้งเพื่อแสดงให้พ่อแม่ของพวกเขาได้เห็นว่าลูกๆของตนเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าใดในขณะเดียวกันทางสถาบันก็ยังใช้อีเว้นท์นี้ในการส่งเสริมความสำเร็จของสถาบันผ่านทางความก้าวหน้าของตัวนักเรียน

ไม่เหมือนกับการนัดพบผู้ปกครองโดย ‘ทั่วไป’ วันนี้ ยังเป็นวันที่ไม่ว่าจะเป็นทั้งกลุ่มบริษัทและกิลด์ทั้งหลายต่างพยายามที่จะทำการสอดส่องเหล่านักเรียนที่มีแนวโน้มผ่านการแข่งขันทัวร์นาเมนต์การต่อสู้ที่ถูกจัดขึ้นโดยทางสถาบัน

อีดงจุนมองที่ลูกสาวของตน ชินเฮจี จากที่นั่งของผู้สังเกตการ

ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน ชินเฮจีก็ยังคงเป็น ‘ลูกสาวตามสัญญา’ ของพวกเขาและมันก็ยังเป็นความจริงที่มีในบางแง่มุมที่อีดงจุนนับว่าเธอเป็นครอบครัวของเขาเองจริงไปแล้ว

ชินเฮจีเป็นเด็กสาวที่มีความฝันที่น่าเศร้าเป็นอย่างมากเนื่องจากว่าเธอต้องการที่จะกลายเป็น ‘ฮันเตอร์’ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ไม่มีพลังพิเศษใดๆเลยก็ตาม

อีดงจุนได้ขอร้องให้เธอยอมแพ้ต่อความฝันของเธอเองหลายต่อหลายครั้งแต่เธอก็ยังคงพยายามอย่างหนักขึ้นในแต่ละวันเพื่อที่จะทำความฝันของเธอให้สำเร็จจนในท้ายที่สุดอีดงจุนที่ได้รู้สึกสั่นคลอนกับความแนวแน่ของเธอก็ได้แหกกฎที่ตนเองตั้งไว้

นอกไปจากการ ‘ห้ามมีความสัมพันธ์’ แล้วอีดงจุนก็ยังแหกกฎอีกข้อที่ว่า ‘ห้ามเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ออกไป’ เช่นเดียวกัน

– เจ้าไม่ควรทำแบบนี้เลยนะ

‘เพราะว่าฉันเป็นคนที่สร้างกฎพวกนี้ขึ้นมาไง’

ตัวตนของเสียงที่กำลังพูดกับเขาภายในหัวของเขานั้นไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกไปจากเดอมาร์ถ้าจะพูดให้แม่นยำมากกว่านี้หละก็มันเป็นเดอมาร์ของโลกใบนี้

เมื่อนานมาแล้วอีดงจุนได้ครอบครองจิตวิญญาณที่อยู่ด้านในของเครื่องรางแห่งธรรมะด้วยอุบัติเหตุทำให้ชาวโลกจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถูกอัญเชิญไปยังมูริมในขณะที่ทุกคนยังคงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย อีดงจุนได้ปรับตัวอย่างรวดเร็วกว่าทุกๆคนและการที่เขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงเช่นนี้ต้องขอบคุณเดอมาร์ในร่างกายของเขา

ในช่วงเวลานั้น ความฝันเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือการกลับมาที่โลก

แต่ว่าเดอมาร์จากโลกนั้นกลัวว่าศิลปะการต่อสู้จากมูริมจะแพร่กระจายออกไปบนโลก

เดอมาร์ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยได้ปลดปล่อยพลังงานเวทมนตร์ของเขาเองกระจายออกไปทั่วทั้งโลกทำให้มันเป็นไปได้สำหรับทุกคนที่จะใช้มัน แต่เขาได้เก็บพลังทั้งหมดของตนคืนเมื่อเขาได้เห็นว่าเหล่าผู้คนทั้งหลายต่างพากันดูดซับพลังของพวกเขาเองจากการฆ่าฟันจนทำให้โลกของพวกเขานั้นแปดเปื้อนไปด้วยเลือด

เขาไม่ต้องการให้ความผิดพลาดแบบเดิมเกิดขึ้นซ้ำสองแม้ว่าในตอนนี้โลกจะได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นที่ๆมอนสเตอร์มีตัวตนอยู่แล้วก็ตามเขาก็ยังไม่เปลี่ยนใจไปจากเดิม

‘นายไม่สามารถที่จะทำให้มีแค่ฉันที่กลับที่โลกเพียงคนเดียวได้เลยเหรอ?’ อีดงจุนถามออกมาแต่ว่าเดอมาร์สายหน้าของตนเพื่อปฏิเสธคำถามของอีดงจุน

– ในเวลาเดียวกันกับตอนที่เจ้ากลับไปที่โลกไม่ว่าพวกเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตามชาวโลกทั้งหมดในมูริมจะถูกดึงกลับไปพร้อมกับเจ้าด้วย

เพราะแบบนี้เองที่ทำให้มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการกำหนดข้อห้ามให้กับชาวโลกทั้งหมดในมูริม

ดังนั้นอีดงจุนได้รับพวกเขาทั้งหมดมาอยู่ภายใต้อาณัติของตนเองเพื่อที่จะได้สังเกตการกระทำของพวกเขาแล้วเขาก็ได้สร้างกฎขึ้นมาที่ระบุไว้ว่า ‘ถ้าหากว่าพวกเจ้าได้ใช้ศิลปะการต่อสู้หรือว่ามีความสัมพันธ์กันหละก็ เดอมาร์จะไปเยี่ยมเยียนเจ้า’

แต่ว่ามันมีช่องโหว่ขนาดใหญ่อยู่บนกฎเหล่านั้น

มันเป็นความจริงที่ว่ากฎเหล่านั้นไม่สามารถที่จะใช้กับตัวเดอมาร์ หรือก็คือตัวอีดงจุงเองได้

-…ข้าจะเชื่อเจ้าละกัน

‘…….’

อย่างไรก็ตามอีดงจุนไม่ได้มีความตั้งใจที่จะใช้พลังของตัวเขาเองเพื่อการล่าเหล่ามอนสเตอร์ เขาแค่ต้องการที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายเท่านั้น

‘โลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว นายไม่คิดที่จะเปลี่ยนวิธีการพูดบ้างเลยเหรอ?’

– ไอ้เด็กเลวนี้! ข้าอยู่มาเป็นร้อยๆปีแล้วนะ เจ้าจะมาสนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ทำเพื่อ?

‘โอเคๆมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยไม่ว่านายจะพูดแบบไหนที่สำคัญก็คือฉันจะทำทุกอย่างไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่ฉันสามารถที่จะทำได้เพื่อครอบครัวและก็ตัวของฉันเอง’

– …ดังนั้นแล้วเจ้าไม่คิดถึงคนอื่นๆจากมูริมเลยอย่างงั้นหรือ?

ถ้าหากว่าอีดงจุนตัดสินใจที่จะกลับไปยังโลกใบเดิมแล้วหละก็ชาวโลกทั้งหมดที่อยู่ในมูริมจะไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากการตามเขากลับไป

‘ได้โปรดเถอะค่ะ ลูกสาวและสามีของข้าอยู่ที่นี้ข้าไม่ต้องการที่จะกลับไป ได้โปรด…’

คนที่พูดอยู่นั้นเองได้กอดไปที่ลูกสาวของเธอพร้อมกับขอร้องวิงวอนออกมา แล้วยังมีคนอื่นๆอีกที่….

‘ได้โปรดเถอะครับ นางจะกลับมาอีกเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ ให้ข้าได้เจอนางแค่เพียงอีกครั้งเดียวด้วยเถอะ ข้าขอร้องข้าต้องการที่จะสารภาพกับนาง’

บางคนก็ขอร้องในพร้อมกับโขกหัวตัวเองไปที่พื้น

‘ข้าไม่สามารถที่จะกลับไปได้ในตอนนี้ ข้าจำเป็นที่จะต้องฆ่าชายที่ได้สังหารลูกสาวของข้า!’

บางคนก็พูดในขณะที่ชี้ปลายดาบไปทางอีดงจุน

เสียแค่อย่างเดียวก็คือ อีดงจุนเป็นปรมาจารย์ขึ้นสูงสุดของมูริมที่ได้ถึงระดับของ ‘เจ้าแห่งตำนาน’ ซึ่งเป็นระดับที่ทำให้ไม่มีใครสักคนสามารถจะล้มเขาลงด้วยการใช้กำลังเข้าว่าได้ในตอนจบคนพวกนี้ทั้งหมดก็ถูกบังคบให้กลับไปยังโลกหลังจากที่พวกเขาได้กลับมาที่โลกแล้วมันก็มีอีกหลายกรณีที่ผู้คนจากมูริมนั้นไม่สามารถควบคุมความกระหายเลือดของตนเองไว้ได้และได้ใช้ศิลปะการต่อสู้ของตนเองออกไปอย่างไม่ยังคิด เมื่อไหรก็ตามที่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีดงจุนจะตรงไปจัดการกับพวกเขาด้วยวิธีการที่โหดร้ายที่สุดเท่าที่เป็นไปได้คนพวกนั้นบางคนถูกตัดแขนขาทิ้งไปและเหลือไว้เพียงแค่ชีวิตของพวกเขาที่ยังคงอยู่เท่านั้น

อีดงจุนทำแบบนั้นเพื่อที่จะเชือดไก่ให้ลิงดูสำหรับคนที่เหลือดังนั้นมันเลยไม่มีใครที่ขัดขืนความตั้งใจของเดอมาร์อีกในครั้งต่อไป

– กฎแห่งกรรมที่เจ้าได้ทำลงไปจะผูกมันตัวเจ้าไปตลอดนะ เหล่าผู้คนจากมูริมทั้งหมดนั้นจะโกรธแค่ไหนกันนะถ้าหากพวกเขารู้ถึงสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไปทั้งหมดกันนะ ข้าหละสงสัยจริงๆ?

‘มันไม่มีทางที่เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้น ฉันได้เปลี่ยนหน้าตาตัวเองไปและซ่อนตัวตนของตนเองเรียบร้อยแล้วไม่มีคนไหนจากมูริที่จะรู้ได้ว่าฉันเป็นใคร’

ศิลปะการต่อสู้ที่เขาได้สอนให้กับลูกสาวของตน ชินเฮจีนั้นดูคล้ายกับความสามารถประเภทเสริมความแข็งแกร่งด้านร่างกายมันจะไม่มีปัญหาอะไรแน่

แต่ทันใดนั้นเอง

“โห้! ดีจ้า พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ”

หน้าตาของอีดงจุนตึงเครียดขึ้นมาในทันที ตัวตนของชายที่เรียกเขาก็คือยูซอดัม ผู้หวนคืนต่างมิติที่ไม่ได้มาจากมูริมและยังเป็นคนเดียวกันกับคนที่รู้ว่าตัวตนของอีดงจุนที่แท้จริงนั้นเป็นใครสักคนที่มาจากมูริม

‘ฉันทำพลาดไป’

ในตอนแรกอีดงจุนสันนิษฐานว่ายูซอดัมเป็นใครสักคนที่มาจากมูริมดังนั้นเขาเลยได้ไปเจอซอดัมต่อหน้าเพื่อที่จะลงโทษซอดัมจากการใช้ ‘ศิลปะการต่อสู้’ บนโลกแต่เมื่อเขาได้เห็นว่าซอดัมตรงๆและได้ฟังคำอธิบายของซอดัมแล้วเขาก็ได้รู้ว่ายูซอดัมไม่ใช้ใครบางคนที่มาจากมูริมสุดท้ายแล้วเขาก็ได้จบลงด้วยการเปิดเผยตัวตนของตัวเองออกไป

‘หรือฉันควรที่จะฆ่าเขาทิ้งไปตั้งแต่คราวนั้น?’

แต่ว่าเขาไม่สามารถที่จะทำมันได้ ในทันทีที่เขาจะแทงดาบไร้รูปไปที่ร่างกายของชายคนนี้เขาก็จะหายไปราวกับว่าเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ชายคนนี้คงจะต้องมีความเชื่อมั่นในทักษะนั้นของตนเองแน่เขาถึงได้กล้ามาหาตนทีนี้

ชายคนนี้คงจะต้องเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่มีวันตาย

ความจริงข้อนี้นั้นทำให้อีดงจุนรู้สึกไม่สบายใจ

“โอ้ว ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นจริงนะ ลูกสาวของนายเจ๊งไปเลยนิ จากนักเรียนทั้งหมดในสถาบันนี้เธอต้องเป็นนักเรียนระดับท๊อปอย่างแน่นอน”

“…..”

“ดูที่การก้าวนั้นสิ! ว้าวว ฉันยังทำแบบนั้นไม่ได้เลยนะเนี่ย ฉันพนันได้ว่าฮันเตอร์ทุกคนบนโลกใบนี้คงจะต้องตามฆ่าเธอเพื่อที่จะเรียนรู้ฟุตเวิร์คพวกนั้นแน่”

“นายมาที่นี้ทำไม?”

เมื่อเห็นว่าอีดงจุนตอบกลับมาอย่างห้วนๆ ยูซอดัมได้โบกมือของตนเองไปมาเพื่อระงับความโกรธของเขา

“ไม่ใช่ว่าพ่อทุกคนนั้นชอบเมื่อมีใครบางคนชมลูกสาวของเขาอย่างนั้นหรอกเหรอ?”

“อย่างข้ามเส้น! ยูซอดัม!”

“ใจเย็นหน่อยสิครับพี่ท่าน ฉันมาที่นี้เพื่อที่จะช่วยนายแก้ปัญหาของตัวเองเลยนะ”

“…..!”

ยูซอดัมยิ้มออกมาและมองไปที่สนามประลองตรงหน้า ชินเฮจีที่กำลังแสดงความสามารถของตนเองออกมาทำให้ร่างกายของเธอส่องสว่างขึ้นในขณะที่เธอกำลังยืนอยู่บนปลายดาบไม้ที่ยืนออกมาด้านหน้าของคู่ต่อสู้

[ตัวละครรอง ชินเฮจีกำลังใช้งานสกิล อิวิโดกัง (SS)] (ผู้แปล : ผมเข้าใจอิวิโดกังคงจะเป็นรูปแบบการต่อสู้สักรูปแบบหนึ่งนะครับ)

สิ่งที่ชินเฮจีกำลังทำนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถจะทำกันได้ง่ายๆแม้แต่เหล่ายอดมนุษย์ก็ตามทั้งๆที่เธอเป็นเพียงแค่คนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีพลังพิเศษใดๆ ชินเฮจีล้มเหลวในการระงับความตื่นเต้นของตนเองไว้เธอได้วิ่งไปมาอย่างบ้าคลั่งรอบสนามประลองแห่งนี้ เธอลืมแม้กระทั้งคำที่อีดงจุนเคยได้พูดไว้กับเธอว่า ‘ห้ามแสดงศิลปะการต่อสู้ของลูกออกมาต่อหน้าคนอื่น’

แน่นอนว่าทั้ง ‘อิวิโดกัง ’ และ ‘สิบสามดาบแห่งพุทธธรรม’ สกิลทั้งคู่นี้เป็นสกิลที่สังเกตได้ยากต่อให้สายอันเฉียบคมของเหล่านักรบจากมูริมก็คงไม่อาจที่จะแยกแยะมันออกมาได้ สกิลทั้งคู่นับเป็นความสำเร็จในระดับตำนานที่ยากจะพบเห็นแม้กระทั้งที่มูริมเอง

แต่ว่ามันจะยังมีใครบางคนที่รู้จักสกิลพวกนี้อย่างชัดเจนแถมคนๆนั้นเป็นคนแถมยังรู้ถึงตัวตนของผู้สร้าง ‘กฎ’ อีกด้วย

“นายต้องการอะไร?”

อีดงจุนถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ

“ฉันว่าด้วยความสามารถของมิสชินเฮจีแล้วนั้น ฉันแน่ใจว่ามันจะต้องมีกิลด์มากมายเลยใช่ไหมหละที่ได้ส่งข้อเสนออันหวานชื่นมาให้กับเธอนะ?” ยูซอดัมพูด

“….”

“ปฏิเสธพวกมันไปและปล่อยลูกสาวของนายมาให้กับกิลด์ของฉันสิ”

“ฉันจะเชื่อนายได้ยังไง? อีกอย่างกิลด์ของนายก็แค่กิลด์หน้าใหม่”

“ใช่แล้วมันเป็นอย่างนั้นแหละ แต่ว่าในตอนที่ลูกสาวของนายจบการศึกษาไป กิลด์ของฉันก็คงจะไม่ใช่แบบเดียวกันกับในตอนนี้แล้วนะ กิลด์ฉันมันไม่เหมือนกับคนของนายที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดพวกนั้นหรอกนะฉันกำลังคิดที่จะแบ่งปันทักษะของฉันไปให้กับใครก็ตามที่อยู่ในกิลด์ที่ฉันสร้างขึ้น”

ได้ยินคำพูดเช่นนั้นเอง ในที่สุดอีดงจุนก็ได้เข้าใจเหตุผลที่ว่าทำไมยูซอดัมถึงได้เข้ามาหาเขา

“คุณอีดงจุน ฉันอยากที่จะอยู่ฝั่งเดียวกับนายจริงๆนะ ฉันรู้มาว่านายเป็นหนึ่งในคนที่เจ๊งที่สุดในโลกทั้งในโลกนี้และก็ที่มูริมอีกเพราะงั้นแล้วทำไมฉันจะต้องไปเสียเวลาทำสิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อตัวฉันเองด้วยหละ? ฉันคงจะไม่ขอให้นายเชื่อฉันหรอกนะ”

แล้วยูซอดัมก็ชี้นิ้วของเขาไปที่ชินเฮจี

“‘พลังพิเศษ’ นั้นที่ลูกสาวนายใช้…แน่นอนว่ามันจะเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวหากว่าผู้คนจากมูริมรู้ตัวตนจริงๆของมันใช่ไหมหละ?”

อีดงจุนไม่ได้ตอบกลับไป

“แล้วถ้าหากว่าเธอเป็นลูกศิษย์ของฉันหละ? เรื่องยังจะเหมือนเดิมอยู่ไหม?”

“……!”

“ฉันสามารถที่จะสอน ‘พลัง’ ของฉันให้กับใครก็ได้ ลูกสาวของนายก็จะไม่ต้องซ่อนพลังของเธอเองเหมือนที่เธอเป็นอยู่ในตอนนี้ ฉันจะบอกนายอีกครั้งก็แล้วกันนะคุณอีดงจุนส่งลูกสาวนายมาที่กิลด์ฉันซะ ถึงแม้ว่ากิลด์ของฉันจะเล็กกว่ากิลด์อื่นๆแต่ไม่ใช่ว่ามันเป็นกิลด์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับลูกสาวของนายที่จะเริ่มต้นการเป็นฮันเตอร์เต็มตัวหรอกเหรอ?”

คำพูดของเขาก็ถูกมันไม่มีปัญหาอะไรเลยถ้าหากว่าชินเฮจีจะกลายมาเป็นลูกศิษย์ของยูซอดัมเพราะว่าเขาได้แสดงเทคนิคที่ดูคล้ายกับศิลปะการต่อสู้ให้โลกเห็นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

‘แต่ฉันไวใจเขาได้จริงๆใช่ไหม?’

อีดงจุนตั้งคำถามให้กับตัวเองในใจในด้วยความที่เขาเป็นชายที่ได้ผ่านการต่อสู้มามากมายนับไม่ถ้วนในป่าที่เรียกว่ามูริมอีดงจุนถึงได้พยายามที่จะวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเท่าที่จะเป็นไปได้

‘ชายคนนี้รู้ความจริงมากเกินไปแล้วเกี่ยวกับเดอมาร์บางทีเขาก็คงจะรู้ว่าหากเขาเปิดเผยความจริงออกไปสู่โลกแล้วมันคงจะทำให้ฉันอยู่ในจุดที่ยากลำบากแต่ถึงอย่างไรซะเขากลับตรงมาหาฉันโดยไม่ได้เปิดเผยอะไรออกไปและให้คำแนะนำนี้กับฉัน-นี้เขาต้องการอะไรจากฉันกันแน่?’

หลังจากที่ได้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งแล้วอีดงจุนก็ได้ถามออกมา

“นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่?”

แล้วยูซอดัมก็ตอบกลับไปโดยที่ไม่แม้แต่กระพริบตาเลยสักนิดว่า

“ในอนาคตนั้นมันจะมีผู้คนมากมายที่จะมาตอแยกับฉัน ฉันไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวฉันเองเพราะงั้นฉันต้องการ ‘การคุ้มครอง’ จากนาย”

และ…

“ฉันต้องการให้นายสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับฉันด้วย”

การสอนที่ไม่ว่าใครจากมูริมก็ต้องการ

การสอนที่เหล่าฮันเตอร์ทั่วทั้งโลกต่างเสาะแสวงหา

เขาต้องการ ‘การสอน’ อย่างนั้นที่ไม่มีใครสักคนสามารถที่จะได้เรียนรู้มัน

“นายรู้รึป่าวว่าการสอนของเดอมาร์นั้นหนักหนาเพียงใด?”

“ใช่ฉันรู้ดังนั้นแล้วฉันเลยมาที่นี้เพื่อที่จะสะสางสถานการณ์ที่ยากลำบากของนายให้ไงไม่ใช่แค่นั้นนะฉันค่อนข้างที่จะเป็นคนดังพอตัวเลยหละในตอนนี้ ถ้าหากว่านายมีปัญหายุ่งยากอะไรก็บอกฉันได้เสมอเลยนะ”

อีดงจุนตกลงไปสู่ห้วงความคิดอีกครั้งหนึ่ง

ยูซอดัม ไม่ใช่ว่าชายคนนี้นั้นเป็น ‘ตัวช่วย’ ชั้นเลิศสำหรับเขาอย่างนั้นหรอกเหรอ? มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาไม่สามารถที่จะใช้พลังของตนเองได้อย่างเต็มที่เมื่อเขาสอนลูกสาวที่น่าสงสารของตนเองเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้เพราะว่าเขากลัวว่าจะถูกจับได้ ด้วยการแลกเปลี่ยนสำหรับการแก้ปัญหานี้ของเขา ยูซอดัมต้องการเพียงแค่การสอนจากตัวเขาเองซึ่งไม่ได้มีผลอะไรกับเขามากมายนักเนื่องจากว่าสิ่งที่ยูซอดัมจะสามารถได้ไปจากการเรียนนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองอีกทั้งวิชาพวกนี้ก็ยังยากเป็นอย่างมากที่จะเรียนรู้อีกด้วย

ในท้ายที่สุด อีดงจุนก็ได้พยักหน้า

“โอค แต่ถ้าหากว่านายบอกลูกสาวของฉันเกี่ยวกับข้อตกลงนี้หรือว่าสิ่งที่ฉันทำหละก็….ฉันจะเฉือดคอนายซะ”

“แน่นอนๆ นายไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้หรอกน่า”

สุดท้ายแล้วอีดงจุนก็ได้ตัดสินใจที่จะปล่อยให้ลูกสาวของตน ชินเฮจีไว้กับเขา

เมื่อหันหลังกลับไปยูซอดัมก็ได้แสยะยิ้มออกมาให้กับชัยชนะของเขาเอง ข้อตกลงในครั้งนี้นั้นเป็นเกราะป้องกันชั้นเลิศสำหรับเขาจากเดอมาร์โดยการใช้ลูกสาวของอีกฝ่าย ชินเฮจีและยังทำให้การสอนจากเดอมาร์ได้รับการการันตีอีกด้วย

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดจากทั้งหมดนี้ก็คือ ความจริงที่ว่าเขาได้จุดอ่อนของอีดงจุนมาอยู่ในกำมือตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว