ตอนที่ 164 อย่าฝืน

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 164 อย่าฝืน
เซียวหรงเหยี่ยนยื่นแส้ม้าสีดำสนิทส่งให้องครักษ์ ส่วนตัวเขาก้าวเข้าไปโค้งคำนับรัชทายาท รัศมีความสุขุม นุ่มลึกเปล่งประกายไปทั่วร่างของชายหนุ่ม

ดวงตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มของเขามองไปทางไป๋ชิงเหยียน ดวงตาล้ำลึกสงบนิ่งคู่นั้นเหมือนจะมองทะลุปรุโปล่งไปหมดทุกเรื่อง

เห็นหญิงสาวอยู่ในชุดของบุรุษ ราวกับคุณชายรูปงามสูงศักดิ์ของเมืองหลวง ชายหนุ่มหวนนึกถึงสตรีที่ถือหอกอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าองอาจ สง่างามในวังหลวงของแคว้นสู่ขึ้นมาทันที

ชายหนุ่มหันไปโค้งกายคำนับไป๋ชิงเหยียน “คุณชายไป๋”

ไป๋ชิงเหยียนคำนับกลับอย่างสง่างาม “ลำบากเซียวเซียนเซิงดูแลน้องชายของข้าแล้ว”

เมื่อเห็นรองเท้าบูทของไป๋ชิงเหยียน เซียวหรงเหยี่ยนเอ่ยถามเสียงนุ่ม “คุณชายไป๋มินั่งรถม้าหรือขอรับ”

“ได้ยินว่าการเดินเท้าจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น จึงอยากลองดูสักหน่อยขอรับ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวเสียงขรึม

“ไปเถิด! จะออกเดินทางแล้ว” รัชทายาทกล่าวกับเซียวหรงเหยี่ยน จากนั้นหันไปกล่าวกับไป๋ชิงเหยียน

“หากคุณชายไป๋ทนไม่ไหวก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้านะ กองทัพเร่งฝีเท้าเดินทางอย่างรวดเร็ว คุณชายอย่าฝืนตัวเองเด็ดขาด”

ไป๋ชิงเหยียนทำความเคารพรัชทายาท “เหยียนทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

รัชทายาทรั้งเซียวหรงเหยี่ยนให้ขึ้นไปบนรถม้า ผู้ติดตามจัดให้คนของเซียวหรงเหยี่ยนตามอยู่ด้านหลังสุดของขบวน กองทัพเริ่มเคลื่อนขบวนออกเดินทาง

“คุณชายสี่ขึ้นรถม้าเถิดขอรับ!” เซียวรั่วไห่กล่าวกับไป๋จิ่นจื้อ

ไป๋จิ่นจื้อโยนหอกเงิน แส้และย่ามที่นำติดตัวมาไปบนรถม้า จากนั้นวิ่งกลับไปอยู่ข้างกายไป๋ชิงเหยียน

“ข้าจะเดินไปพร้อมพี่หญิงใหญ่”

เสียงแตรดังขึ้น กองทัพเริ่มออกเดินทาง ไป๋จิ่นจื้อเดินเคียงข้างไป๋ชิงเหยียนอย่างไม่สบายใจ

“พี่หญิงใหญ่ ท่านอย่าโกรธข้าเลยนะเจ้าคะ ข้าแค่กลัวว่าพี่หญิงใหญ่จะสั่งให้เซียวรั่วไห่ส่งตัวข้ากลับเมืองหลวง เมื่อก่อนท่านปู่ไม่ให้ข้าไปออกรบเพราะข้ายังควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ไม่ดีพอ ทว่า ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ข้าไม่อาจทนเห็นพี่หญิงใหญ่ไปเสี่ยงอันตรายที่หนานเจียงโดยที่ข้าเสพสุขอยู่ที่เมืองหลวงได้เจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นว่าพี่หญิงใหญ่เอาแต่มองไปด้านหน้า ดวงตาของไป๋จิ่นจื้อร้อนผ่าวในทันที

“พี่หญิงใหญ่ ข้ามีวรยุทธไว้ป้องกันตัวเอง ข้าไม่ขอไปออกรบสร้างความดีความชอบที่หนานเจียง ข้าขอเพียงแค่คอยอยู่ข้างกายของพี่หญิงใหญ่ คุ้มครองพี่หญิงใหญ่ให้ปลอดภัยเท่านั้นเจ้าค่ะ! พี่หญิงใหญ่เป็นเสาหลักของพวกเราพี่น้อง เสี่ยวซื่อเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในตระกูลไป๋ หากการเดินทางในครั้งนี้มีอันตราย เสี่ยวซื่อยินดีสละชีวิตเพื่อปกป้องพี่หญิงใหญ่เจ้าค่ะ!”

ได้ยินน้ำเสียงสะอึกสะอื้นของไป๋จิ่นจื้อ ไป๋ชิงเหยียนรู้ตื้นตันซาบซึ้งเป็นอย่างมาก

“เสี่ยวซื้อปีกกล้าแล้ว ยอมอยู่ข้างกายของผู้อื่น เรียกอย่างไรก็มิยอมกลับมา! เมื่อออกจากบ้านก็ดื้อรั้นเลยหรืออย่างไร” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวเสียงเบา

“ภายนอกเอาแต่ใจ ภายในสุขุม เสี่ยวซื่อยังจำในสิ่งที่พี่หญิงใหญ่กล่าวได้เจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อกล่าวพลางมองไปทางรถม้าของรัชทายาทแวบหนึ่ง ลดน้ำเสียงลงเล็กน้อย

“มิใช่ว่าเสี่ยวซื่อเอาแต่ใจไม่ยอมกลับมา เสี่ยวซื่อแค่รู้สึกว่าเซียวเซียนเซิงค่อนข้างมีพิรุธ เสี่ยวซื่อจึงอยู่ต่อเพื่อสืบอย่างละเอียดเท่านั้นเจ้าค่ะ”

ไป๋จิ่นจื้อกล่าวถ้อยคำนี้ออกมาทำให้ไป๋ชิงเหยียนค่อนข้างประหลาดใจ

เซียวหรงเหยี่ยนที่นั่งอยู่บนรถม้าคันเดียวกับรัชทายาทหรี่ตาแคบลงเล็กน้อย เขาเอื้อมมือแหวกผ้าม่านของรถม้าออกเล็กน้อย มองไปยังไป๋จิ่นจื้อที่กำลังกระซิบข้างหูของไป๋ชิงเหยียน จากนั้นสายตาไปหยุดอยู่ที่เรือนร่างผอมเพรียวงดงามของไป๋ชิงเหยียน

ไป๋ชิงเหยียนเหมือนสัมผัสได้จึงเงยหน้าขึ้น สองสายตาประสานกัน เมื่อเห็นว่าเซียวหรงเหยี่ยนจ้องมาที่นางนิ่งๆ ใจของหญิงสาวกระตุกวูบ เดาได้ว่าเซียวหรงเหยี่ยนคงได้ยินคำกล่าวของไป๋จิ่นจื้อ นางรีบก้าวเข้าไปบังตัวน้องสาวไว้ทันที

หญิงสาวรู้ว่าเซียวหรงเหยี่ยนเก่งกาจ ถั่วลิสงเม็ดเดียวยังนำมาเป็นอาวุธสังหารคนได้ ผู้ที่ฝึกวิทยายุทธ์มีความสามารถในการได้ยินดีกว่าผู้อื่นเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ทว่า นางนึกไม่ถึงว่าเสี่ยวซื่อกล่าวเสียงเบาเช่นนี้ อีกทั้งบรรยากาศรอบกายยังเต็มไปด้วยเสียงล้อรถ เสียงฝีเท้า เซียวหรงเหยี่ยนยังสามารถได้ยินถ้อยคำของเสี่ยวซื่ออีก เห็นได้ชัดคนผู้นี้ฝีมือร้ายกาจเพียงใด

เซียวหรงเหยี่ยนเห็นการกระทำของไป๋ชิงเหยียนจึงค่อยๆ ปิดม่านลง กล่าวกับรัชทายาทด้วยเสียงอ่อนนุ่ม “คุณหนูใหญ่ไป๋ร่างกายอ่อนแอ เดินเท้าเช่นนั้นจะทนไหวหรือพ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทส่ายหน้า เอนกายพิงหมอน

“เมื่อวานคุณหนูใหญ่ไป๋ก็เดินเท้าทั้งวัน อย่างไรซะนางก็เคยออกรบมาก่อน”

เมื่อเห็นพี่หญิงใหญ่เร่งฝีเท้า ไป๋จิ่นจื้อคิดว่าพี่หญิงใหญ่เข้าใจว่าตนแต่งเรื่องขึ้นจึงรีบเดินตามไปกล่าวต่อ

“จริงๆ นะเจ้าคะพี่หญิงใหญ่ รอบกายของเซียวเซียนเซิงไม่เพียงมีคนมีฝีมือ คนพวกนั้นยังไม่กล้าแอบอู้หรือทำสิ่งใดนอกลู่นอกทางแม้แต่นิดเดียว ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างมีระเบียบวินัย เชื่อฟังคำสั่งมากเจ้าค่ะ! นี่มันไม่ใช่สิ่งที่พ่อค้าธรรมดาคนหนึ่งจะทำได้นะเจ้าคะ คล้ายกับทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีมากกว่าเจ้าค่ะ!”

ในเมื่อนางไม่อาจเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของเซียวหรงเหยี่ยนให้เสี่ยวซื่อรับรู้ได้ อีกทั้งไม่อาจให้เซียวหรงเหยี่ยนเกิดความระแวงเพราะคิดว่าเสี่ยวซื่อรู้ฐานะของตนแล้ว หญิงสาวจึงปล่อยให้เสี่ยวซื่อกล่าวต่อไป

“อีกอย่าง เมื่อวานข้าแอบไปดูสินค้าที่พวกเขาจะส่งไปยังเมืองผิงหยาง ข้าพบว่าสินค้าพวกนั้นเต็มไปด้วยอาวุธลับมากมายเจ้าค่ะ พวกเขากล่าวว่าของพวกนั้นคือเครื่องเทศธรรมดาทั่วไป เครื่องเทศส่วนใหญ่ล้วนเป็นพืช ยาก็เป็นพืช พวกเขาเก็บรวมกันเช่นนั้นจะแยกออกหรือเจ้าคะว่าสิ่งใดคือยา สิ่งใดคือเครื่องเทศ ที่สำคัญ หากของในนั้นเป็นเครื่องเทศจริง ดินที่รถม้าเคลื่อนผ่านไปไม่มีทางทิ้งรอยลึกเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ ข้าสงสัยว่าด้านในต้องเป็นของที่มีน้ำหนักมาก คือยาและอาวุธเจ้าค่ะ! พี่หญิงใหญ่ ท่านว่าเซียนเซียนเซิงจะเป็นใช่สายลับของซีเหลียงหรือหนานเยี่ยนหรือไม่เจ้าคะ”

“ออกเดินทางอยู่ภายนอก เจ้าสังเกตได้ถึงเพียงนี้ก็ดีมากแล้ว!” ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางไป๋จิ่นจื้อที่ยังคงกล่าวไม่หยุดอย่างดีใจ ในที่สุดก็เริ่มสังเกตเป็นแล้ว

“ในโลกของการค้า บัดนี้สนามรบของหนานเจียงอยู่ที่เมืองเฟิ่งและเทียนเหมินกวนเป็นหลัก สถานที่อื่นอย่างอำเภอเฟิง หุบเขาหมีดำ ช่องแคบเขาหลัวเฟิงที่อยู่ทางทิศตะวันออกของหนานเจียง เมืองผิงหยางและเมืองอื่นๆ ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของหนานเจียงล้วนปลอดภัยอยู่ ยาและอาวุธที่ใช้ป้องกันตัวมีราคาสูงมาก เซียวหรงเหยียนส่งยาและอาวุธไปค้าขายเพื่อหวังกำไรมีสิ่งใดผิดปกติกันหรือ”

“แล้วเหตุใดเขาต้องปกปิดเป็นความลับด้วยเจ้าคะ ทำอย่างเปิดเผยมิได้หรืออย่างไร” ไป๋จิ่นจื้อถามอย่างไม่เข้าใจ

“การค้ามีกฎเกณฑ์ของมัน แต่ละที่มีกฎระเบียบที่แตกต่างกันออกไป เรื่องภายในเช่นนี้ หากเจ้าอยากรู้ก็ไปถามเซียนเซียนเอาเองแล้วกัน”

ไป๋จิ่นจื้อฟังออกว่าพี่หญิงใหญ่ไม่สงสัยในตัวเซียวหรงเหยี่ยน นางจึงกล่าวขึ้น

“เสี่ยวซื่อทราบดีว่าเซียวเซียนเซิงยื่นมือเข้าช่วยเหลือตอนที่ตระกูลไป๋เดือดร้อน บุญคุณครั้งนี้ทำให้เสี่ยวซื่อให้โอกาสเซียวเซียนเซิงได้อธิบาย เสี่ยวซื่อตั้งใจว่าเมื่อสืบเรียบร้อยแล้วจะมารายงานพี่หญิงใหญ่เสร็จ เสี่ยวซื่อจะไปถามเซียวเซียนเซิงเจ้าค่ะ เสี่ยวซื่อไม่ได้ลืมบุญคุณนะเจ้าคะ…”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าอย่างภูมิใจ “เสี่ยวซื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”

“พี่หญิงใหญ่ เช่นนั้นพี่หญิงใหญ่ไม่โกรธข้าแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ พี่หญิงใหญ่จะไม่ส่งข้ากลับเมืองหลวงใช่หรือไม่เจ้าคะ” ไป๋จิ่นจื้อโน้มกายเข้าไปถามอย่างดีใจ

“ตลอดทางจนกว่าจะเดินทางกลับ เจ้าจงอยู่ข้างกายพี่ อย่าได้ห่างไปที่ใดเป็นอันขาด มิเช่นนั้นพี่จะให้หรู่ซยงจับเจ้ามัดแล้วส่งกลับไปให้ท่านอาสะใภ้สามที่เมืองหลวงทันที”

ได้ยินเช่นนี้ ไป๋จิ่นจื้อดีใจเป็นอย่างมาก นางพยักหน้ารัว เดินเคียงข้างไป๋ชิงเหยียนไปอย่างเป็นระเบียบ

ยิ่งเดินไกลเท่าใด ไป๋จิ่นจื้อก็ยิ่งทรมานใจ

นางมองเห็นเสื้อผ้าของพี่หญิงใหญ่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่พี่หญิงใหญ่ก็ยังคงทนเดินต่อไป ฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง ไม่ได้เป็นตัวถ่วงกองทัพแม้แต่น้อย

เมื่อเดินทางถึงเมืองไป๋วั่วในตอนกลางคืน พี่หญิงใหญ่ปลดถุงทรายที่พันรอบลำตัวออก ถุงทรายชุ่มเหงื่อจนสามารถบิดน้ำออกมาได้

ขณะที่ไป๋ชิงเหยียนอาบน้ำ ไป๋จิ่นจื้อเดินออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ นางถามเซียวรั่วไห่อย่างอดไม่ได้

“พี่หญิงใหญ่พันถุงทรายที่หนักขนาดนั้นไว้ทั้งวันตลอดสองวันที่ผ่านมาเลยหรือ!”

“วันนี้คุณหนูใหญ่เคยชินแล้วขอรับ พรุ่งนี้จะเพิ่มน้ำหนักเข้าไปอีก คุณหนูใหญ่ต้องการยกคันธนูเซ่อรื้อให้ได้ก่อนเดินทางไปถึงหนานเจียง ระยะเวลากระชั้นชิด คุณหนูใหญ่จึงต้องใช้วิธีนี้ขอรับ”