ตอนที่ 22 ความสงสัย ความมุ่งมั่น และ สัตว์อสูรทั้งสองชนิด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ

ตอนที่ 22 ความสงสัย ความมุ่งมั่น และ สัตว์อสูรทั้งสองชนิด

「… อื้มมมม」

พอมีแสงแดดจ้าส่องลงมาที่ผม ซึ่งกำลังนั่งอยู่มุมหนึ่งภายในป่าขณะรวบรวมสมุนไพรที่อยู่รอบๆ ตัวผมก็คิดถึงอะไรบางอย่าง

สมุนไพรที่ผมกำลังรวบรวมอยู่นี้คือสมุนไพรที่เป็นพวกเครื่องเทศ มันจะทำให้รสชาติของอาหารดีขึ้นเมื่อเอามันไปปรุงด้วย มันมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ถ้าจะให้แนะนำผมว่า เหมาะกับการเอาไปใส่ในซุปที่มีความข้นมัน ไม่ก็เค็มสักหน่อยจะอร่อยเลย

แต่เนื่องจากมันค่อนข้างจะหายาก รางวัลที่กิลด์ตั้งขึ้นในการเก็บจึงสูงพอตัว และเนื่องจากพวกสมุนไพรมันชอบขึ้นอยู่กันเป็นกระจุกอยู่แล้ว ด้วยความลึกระดับนี้ในป่าทีทิส มันจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะตามที่ผมคาดไว้เลย

แถมผมยังเห็นพืชชนิดอื่นที่ผมรู้จักอยู่เยอะเลย ถ้าเป็นสักเดือนก่อนผมคงเนื้อเต้นทันทีที่ได้เห็นพวกมันแล้ว

แต่ตอนนี้ผมไม่จำเป็นต้องไปเก็บพวกสมุนไพรเพื่อหาเลี้ยงตัวเองแล้ว แล้วก็ไม่มีเหตุผลต้องไปหมกมุ่นอยู่แต่กับมันด้วย แต่เนื่องจากมันเป็นนิสัยที่ติดมากับผมหลายปี พอได้มานั่งเก็บอะไรไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็รู้สึกทำให้ใจสงบแบบบอกไม่ถูก

เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้ก็คิดนะว่าไม่ควรมาหมกมุ่นกับการเก็บสมุนไพร แต่พอผมรู้สึกตัวนี่ไม่ใช่ว่าผมหมกมุ่นกับมันจนลืมตัวเลยเหรอ

แล้วสิ่งที่ผมได้มาจากการทดลองกับมิโรสลาฟซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็คือ

「นี่ไม่ใช่ว่าเราจะแข็งแกร่งเกินไปหน่อยเหรอ?? 」

เอาจริงๆนะ ผมคิดว่าตัวผมแข็งแกร่งเกินไปหรือเปล่า?

…ถึงผมจะคิดกับตัวเองบ้างแหละว่า “ไอ้หมอนี่มันอวดดีจังเลยน้อ” แต่นั่นมันก็เรื่องจริงนะเออ ผมไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว

ในตอนที่ผมกำลังจะพาเธอกลับไปที่รัง

ผมก็คิดไว้แล้วว่าจะลองรับ เจ้าหญิงแห่งเพลิงของเธอด้วยคิดู ผลที่ได้ก็คือผมสามารถต้านทานมันได้ แถมยังไม่ได้รับรอยขีดข่วนเลยด้วย

ถึงตอนแรกผมจะคิดว่าตัวเองยังไงก็น่าจะรับการโจมตีเธอไหวแหละ แต่ก็ไม่ได้คิดถึงขั้นว่ามันจะไม่ได้เหงื่อเลยแบบนี้

เนื่องจากผมไม่เคยใช้คิมาก่อนเลยจนกระทั่งไม่นานมานี้เอง ผมจึงสามารถบอกได้ว่าตัวเองคือมือใหม่ในเรื่องนี้ ถึงปริมาณของคิในร่างผมมันจะเพิ่มขึ้นมามากตั้งแต่ตอนที่ได้อาภรณ์วิญญาณก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะควบคุมมันได้ดีขึ้นตามสักหน่อย

มันเป็นไปได้จริงเหรอที่ผมจะหยุดเวทมนตร์ของมิโรสลาฟ ผู้เป็นทั้งจอมเวทและนักผจญภัยชื่อดังได้ ผมยังแค่เลเวล6เองนะ

อ้อใช่ เรื่องเลเวลผมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน

เพราะเลเวลของผมไม่เพิ่มขึ้นเหมือนตอนที่เข้าซ่อง

ในเดือนที่ผ่านมานี้ ผมก็ได้กำจัดพวกสัตว์อสูร มอนสเตอร์ ไปหลายตัวขณะที่กำลังเตรียมการ แถมผมก็พยายามกินวิญญาณของมิโรสลาฟทุกวันตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมานี้ แต่เลเวลของผมก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย

วิญญาณของเธอนั้นมีความเข้มข้นมากกว่าโสเภณี ซึ่งก็น่าจะมาจากความต่างของเลเวลพวกเธอ และหากผมได้เลเวลมาจากซ่องในคืนนั้นมันก็คงจะไม่แปลกหากผมจะได้เลเวลจากมิโรสลาฟสักสองถึงสามเลเวลในช่วงเจ็ดวันมานี้

แน่นอนว่าผมเข้าใจเรื่องที่ยิ่งเลเวลสูง มันก็ยิ่งขึ้นไปต่อได้ยากผมคงไม่สงสัยหรอกถ้าตอนนี้เลเวลผมมัน 20 ไม่ก็ 30 อ่านะ

แต่เลเวลของผมก็ยังอยู่ที่ 6 เอง

「ทั้งที่คิดว่าวิญญาณจะให้ค่าประสบการณ์มากแท้ๆ นะ…แต่ถ้าเลเวลของเราไม่เพิ่มแบบนี้…แล้วไอ้คนอื่นมันอัพเลเวลกันได้ยังไงเนี่ย? 」

ถ้าหากผมนับวิญญาณที่กินเข้าไปรวมกับค่าประสบการณ์ที่ออกไปล่าทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา มันน่าจะเป็นจำนวนที่มากโขจนยากจะจินตนาการว่านักผจญภัยเลเวล6คนอื่นจะสามารถหามาได้

แถมก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่เรียกกันว่า “ความแตกต่างส่วนบุคคล” มันจะทำให้หลอดค่าประสบการณ์ผมหนาเป็นพิเศษหรือเปล่า

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง มันก็จะหมายความว่าผมจำเป็นต้องเก็บค่าประสบการณ์มากเหนือมนุษย์ไปหลายเท่าตัว

หากคนทั่วไปต้องการแค่ไม่กี่ร้อยเพื่ออัพเลเวล บางทีผมอาจจะต้องใช้เป็นหมื่นๆ เลยก็ได้

หากคิดแบบนั้นมันก็เหมือนกับการเพิ่มเลเวลของมังกร แทนที่จะเป็นมนุษย์แล้ว

「งั้นอย่าบอกนะว่าเรา…อ่า…ไม่มั้ง」

แต่พอนึกถึงตอนที่เห็นอาภรณ์วิญญาณของตัวเองตอนนั้น เรื่องที่เราคิดอาจจะจริงก็ได้

อนิม่าของผมเป็นมังกรด้วยสิ หากเป็นแบบนั้นตัวผมก็อาจจะมีปัจจัยอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับมังกรก็ได้

และหากความคิดของผมถูกตามนี้จริง มันก็จะสามารถอธิบายถึงปัญหากว่าหลายปีที่ผมเจอมาได้

คำถามที่ว่าทำไมผมถึงติดแหง็กที่เลเวล 1

จากความเห็นของคนทั่วไปก็บอกกันอยู่แล้วว่า เราไม่สามารถเพิ่มเลเวลจากศัตรูที่อ่อนกว่าเราได้ไม่ว่าจะฆ่ามันเป็นร้อยเป็นพันก็ตาม

…หากนำมันไปเทียบกับมังกรแล้ว ไอ้มอนสเตอร์ตัวอื่นมันก็ต้องถูกมองว่าเป็นเพียงหนอนแมลง จึงทำให้มังกรไม่ได้ค่าประสบการณ์ที่เยอะนัก เว้นแต่มันจะไปเอาชนะสัตว์ในตำนานตัวอื่น

ดังนั้นก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมไม่สามารถเพิ่มเลเวลได้ด้วยการฆ่ามอนสเตอร์ที่นักผจญภัยมือใหม่เขาทำกัน

ตรงจุดนี้ผมก็มีอีกทฤษฎีหนึ่ง

หากค่าประสบการณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการอัพเลเวลมันสูงขนาดนี้ นั่นก็หมายความว่าความแตกต่างของพลังที่ผมจะได้รับในแต่ละเลเวลก็ย่อมสูงตามสิ

บางทีแค่การอัพเลเวลครั้งเดียวของผม อาจจะเทียบได้กับการอัพเลเวลคนอื่นหลายเลเวลเลยก็ได้

「อื้ม…ถ้าหากเราสามารถเห็นอย่างอื่นนอกจากเลเวลได้ก็ดีสิน้า หวังว่าจะเห็นของอย่างพวกค่าประสบการณ์ที่มีในปัจจุบัน หรือสกิลอะไรแบบนี้บ้างจัง」

คงจะดีถ้าสามารถรู้คลาสของตัวเองได้ อย่างเช่น “นักรบมังกร เลเวล1” หรืออะไรทำนองนั้น ช่วงเวลาที่ผมได้ใช้ภายในเกาะก็คงจะเปลี่ยนไปจากเดิมแน่

เอาเถอะพูดไปตอนนี้ก็ไม่ได้อะไร

ตราบใดที่วันเวลาเหล่านั้นมันได้ปูเส้นทางมาถึงผมที่แข็งแกร่งในตอนนี้ก็ถือว่ามันมีความหมายมากแล้ว

ในตอนนี้ความสามารถในการต่อสู้ของผมก็สูงขึ้นระดับหนึ่งแล้ว และถ้าผมสามารถกลับไปที่เกาะอสูรยักษ์ได้ แค่คิดถึงความสามารถของคนบนเกาะนั้นมันก็ทำให้ผมอยากกินพวกเขาแล้ว

ถึงพ่อของผมคงจะไม่ยอมรับผมกลับไปเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแล้ว แต่ถ้าเขาได้เห็นผมต่อสู้ในตอนนี้บางทีเขาน่าจะยอมรับผมให้อยู่ในเกณฑ์ของพวกระดับต่ำภายในเกาะก็ได้

ตระกูลมิทสึรุกิ ที่ปกป้องเกาะอสูรยักษ์เอาไว้นั้นมีกองกำลังทหารกว่าแปดกองร้อยที่คอยอุทิศตนให้พวกเขาอยู่

กองร้อยที่โบกสะบัดธงแห่งการผนึกเทพสังหารมาร สมาชิกทุกคนตั้งแต่คนในกองร้อยยันหัวหน้ากองร้อยไปจนถึงสมาชิกระดับล่าง พวกเขาทุกคนล้วนเป็นผู้ใช้เคล็ดวิชาดาบเดียวมายาทั้งสิ้น

โดยรวมแล้วพวกเขาจะถูกเรียกว่าธงทั้งแปดแห่งผืนป่า

เด็กทุกคนภายในเกาะต่างก็ชื่นชมธงทั้งแปดอย่างไม่มีข้อยกเว้น เพื่อนร่วมรุ่นของผมก็คงจะเป็นสมาชิกของกองร้อยนั้นเช่นกัน บางทีพวกเขาอาจมีรายชื่ออยู่ในลำดับสูงก็ได้

ถึงตอนนี้พวกเขาจะยังไม่ได้เป็นหัวหน้ากอง แต่ทางรากุนะกับอายากะนั้นอาจจะถูกแต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้ากองแล้วก็ได้

ถ้าตามบันทึกแล้วเกาะผืนป่านั้นดูเหมือนจะเป็นชื่อเดิมของเกาะอสูรยักษ์ที่เป็นชื่อทางการในปัจจุบัน และทุกคนก็เรียกมันว่าเกาะอสูรยักษ์ ถ้าจะมีคนเรียกด้วยชื่อเดิมพวกเขาเหล่านั้นก็น่าจะเป็นคนสูงวัยกันไปหมดแล้ว

เพราะก่อนที่ประตูปีศาจจะเปิดออกมา ในอดีตเกาะแห่งนี้เคยเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี เป็นเวลามานานกว่าสามร้อยปีแล้ว แถมพวกผู้ผู้อาวุโสของเกาะก็เหมือนจะไม่เคยเห็นสภาพเช่นนั้นมาก่อน

เสื้อคลุมสีเงินของธงทั้งแปดแห่งผืนป่านั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งที่ผมใฝ่ฝันว่าจะได้ใส่ในสักวันหนึ่ง

เอาจริงๆ ถ้าเป็นผมตอนนี้ก็น่าจะไหวนะ

นอกจากนั้นยังมีคำสาบานที่ผมพูดไว้ก่อนออกจากเกาะด้วย

“เราจะต้องกลับไปที่นั่นให้ได้ในสักวันหนึ่ง เมื่อเรามีพลังที่จะสู้กับคนที่เกาะมากพอ เราจะกลับไปที่นั่นแน่”

ผมยังจำความผิดหวังในครั้งนั้นได้เหมือนเป็นเรื่องเมื่อวานนี้เอง

ที่เกาะนั้นมีความรู้ที่เกี่ยวข้องกับอาภรณ์วิญญาณรวบรวมเอาไว้อยู่ หากผมได้ความรู้จากเกาะ ผมก็จะสามารถยกระดับของอาภรณ์วิญญาณให้ดีขึ้นได้ยิ่งกว่าเดิม

แต่สำหรับตอนนี้ ผมมีความรู้สึกว่าผมยังไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้

เพราะผมคงจะเป็นได้แค่เบี้ยตัวน้อยๆ ภายในกองร้อยที่ยิ่งใหญ่นั้น

ถึงผมจะไม่ได้อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ผมก็ไม่อยากมีชีวิตโดยการต้องไปฟังคำสั่งพ่อผม รากุนะ อายากะ โกซู เซซิรุ แล้วก็พวกคนอื่นๆ รุ่นเดียวกันอีก

สิ่งที่ผมสาบานในตอนนั้นคือการทำให้พวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของผม ดังนั้นตอนนี้ผมยังไม่ควรจะไปสนใจกับเรื่องนั้นมากนัก สิ่งที่ผมต้องทำก็คือทำให้พวกเขารู้ว่าตัวเองนั้นคิดผิด

ผมต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้เพื่อให้สามารถไปยืนต่อหน้าพวกเขาได้อย่างภาคภูมิ

พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขานั้นคิดผิดเกี่ยวกับตัวผม

ดังนั้นตอนนี้มันยังเร็วเกินไปที่ผมจะกลับ

ผมต้องแข็งแกร่งขึ้น

ผมจะกลื่นกินมิโรสลาฟ ดาบฮายาบูสะ กิลด์ แล้วก็แข็งแกร่งขึ้นไปอีกเรื่อยๆ

ใช่แล้ว ผมก็แค่ต้องกินแล้วก็กิน….จากนั้นก็กลับไปที่เกาะทำให้พวกเขาเห็นว่าผมเหนือกว่าพวกเขาทั้งหมดมากขนาดไหน

นั่นแหละคือเส้นทางที่มิตสึรุกิ โซระเป็นคนเลือก

มันแตกต่างจากที่ผมเคยฝันไว้มาก เพราะตอนนี้ความรู้สึกที่อยากจะกอบกู้โลกหรือปกป้องผู้คนมันไม่ได้เหลืออยู่ในตัวของผมเลย

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะลืมมันไปแล้วหมดหรอกนะ ผมจะยังคอยสลักมันเอาไว้ในใจอยู่เสมอ

พูดตามตรง ตั้งแต่ผมได้อาภรณ์วิญญาณมาก ผมก็รู้สึกเหมือนกันว่าผมเปลี่ยนไปนิดหน่อย

ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผมจะต้องสามารถกลับไปที่จุดเริ่มต้นอย่างการรวบรวมสมุนไพรอีก แต่พอผมเริ่มสับสนว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อดี มันก็ดันมาจบเอาตรงนี้ บางทีการออกมาเก็บสมุนไพรน่าจะเป็นการฟื้นฟูแรงใจผมด้วยก็ได้

พอคิดได้แบบนั้นผมก็มองไปรอบๆ ต่อ

กองสมุนไพรที่ผมเก็บมานั้นมันกองกันสูงมากก่อนที่ผมจะรู้ตัวเสียอีก

ผมก็ได้แต่ยิ้มรับกับสิ่งที่ผมเพิ่งทำลงไป

แต่พอผมจะลุกขึ้นยืนอยู่ดีๆ แผ่นดินก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น

◆◆◆

ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นแผ่นดินไหว

แต่หลังจากที่พื้นดินสั่นไหว ผมก็ได้ยินเสียงคำรามอย่างรุนแรงตามมา บางทีมันคงจะเป็นสัตว์อสูร อาจจะมีการต่อสู้กันของพวกมันที่ตัวใหญ่มากๆ ก็ได้

ผมสามารถบอกได้ทันทีว่ามันน่าจะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดพอสมควรจากเสียงที่ผมได้ยิน และพอพิจารณาจากความแตกต่างของเสียงที่ได้ยินแล้ว ก็น่าจะมีพวกสัตว์อสูรอยู่ราวๆ สิบตัว

แต่เสียงส่วนใหญ่ที่ออกมาจากมันก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสัตว์อสูรประเภทเดียวกัน ดูแล้วน่าจะเป็นการสู้แบบตะลุมบอนกันด้วย

หรือบางทีมันอาจจะกำลังรวมตัวกันล่าเหยื่อขนาดใหญ่กว่าตนก็ได้

ผมคิดว่าผมคงไม่น่าจะต้องไปยุ่งอะไรด้วย เพราะผมก็ไม่ได้มีธุระอะไรกับพวกมันสักหน่อย

ก็ไม่ผิดหรอกนะถ้าจะคิดไปแย่งเหยื่อพวกมันเอาตอนจบ แต่ใครมันจะไปบ้าเข้าไปสู้กับฝูงสัตว์อสูรเป็นสิบกว่าตัวโดยที่ไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไรด้วยซ้ำ บางทีพวกมันอาจจะรุมเข้ามาโจมตีผมแทน ตอนนี้ผมก็ไม่ได้ถูกพวกมันหมายจะทำอะไรด้วยก็ไม่มีเหตุให้ต้องไปยุ่ง

แล้วผมก็เก็บเอาสมุนไพรที่ได้มาใส่เข้าไปในถุงก่อนจะเดินกลับไปที่รัง

แต่แล้วเสียงคำรามก็ดังกึกก้องขึ้นมาอีกครั้งราวกับต้องการหยุดการกระทำของผม

เสียงนั้นมันไม่ได้มาจากกลุ่มใหญ่ แต่มันมาจากสิ่งหนึ่งที่เป็นผู้ถูกล่าอยู่

สัตว์อสูรได้ใช้กำลังที่มีทั้งหมดของมันในการกระโดดหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยปีกทั้งสองข้าง…ก่อนจะสุดท้ายมันจะร่วงลงสู้พื้นอีกครั้ง

ถ้ามันกระโดดในจุดเดิมแล้วตกลงมาในจุดเดิมมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่มันดันพุ่งออกมาเป็นมุมเฉียงแล้วมาทางนี้ต่างหากที่เป็นปัญหา

หรือก็คือสัตว์อสูรที่มีปีกมันร่วมลงมาในที่ที่ผมอยู่ราวกับลื่มล้มอากาศ

มันเป็นสัตว์อสูรตระกูลมังกรที่มีสองขา เกล็ดสีครามสดใส

สัตว์อสูรพวกนี้ถูกเรียกว่าไวเวิร์นคราม

จากนั้นผมก็เห็นสิ่งที่ไล่ตามไวเวิร์นมา

「ฮ่าๆๆๆ น่าแปลก แปลกจริงๆ ที่มาเห็นมนุษย์อยู่ในที่แบบนี้」

ใบหน้านั้นเป็นชายแก่ แต่มีร่างกายเป็นสิงโต มีหางเป็นแมงป่อง มันคือสัตว์อสูรกินคนที่ถูกเรียกกันว่าแมนติคอร์

——-

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code