ตอนที่ 23 สัตว์อสูรปีกสีคราม (ไวเวิร์นคราม)

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ

ตอนที่ 23 สัตว์อสูรปีกสีคราม (ไวเวิร์นคราม)

แมนติคอร์เป็นสัตว์ร้ายที่มีใบหน้าเหมือนกับมนุษย์ซึ่งอาศัยอยู่ในป่า

และด้วยใบหน้าที่เหมือนชายชรานั้นจำทำให้สามารถพูดภาษามนุษย์ได้

แต่ถึงจะคุยกันรู้เรื่องก็ใช่ว่ามันจะมีความเป็นมิตรด้วย ผู้ใดก็ตามที่พบเจอมันเป็นต้องต่อสู้ด้วยทุกครั้ง

ร่างกายที่เป็นสิงโตทำให้พวกมันมีความว่องไว สามารถสิ่งผ่านผืนป่าได้ราวกับเป็นเพียงแค่ทุ่งหญ้า ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะวิ่งหนีแมนติคอร์ในป่า

และหางที่เป็นแมงป่องของมันก็เต็มไปด้วยพิษร้าย ด้วยปลายแหลมที่ออกมาจากร่างถึงมันถึง 24 อัน เพียงแค่การโจมตี้ครั้งเดียวก็สามารถจะโค่นต้นไม้ขนาดใหญ่ได้แล้ว บ้างก็เคยพบว่ามันใช้ปลายแหลมพวกนั้นในการโจมตีระยะไกลด้วย

ไม่ว่าจะอย่างไหนมันก็เป็น สัตว์อสูตรที่ผมไม่ค่อยอยากจะเจอในป่าแห่งนี้

「แมนติคอร์มากันเป็นฝูงเลยนะ เฮ้อ ไหงถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ?」

ฝูงแมนติคอร์ที่ไล่ตามไวเวิร์นครามตัวนั้นมา ก็เริ่มปรากฎขึ้นทีละตามจากในป่า

ผมจึงวางสมุนไพรในมือลงที่พื้น ก่อนจะถอนหายใจ

จะสู้หรือหนีก็น่าจะตึงมือทั้งคู่ แต่ผมสาบานเลยว่ายังไงก็ต้องกลับมาเอาของคืนแน่หลังเสร็จงาน

「ฮ่าๆๆ ไม่เหมือนสัตว์ปีกจริงๆ เนื้อของพวกมนุษย์มันมีเอกลักษณ์..โชคร้ายจังเลยนะที่แกวิ่งเข้ามาหาพวกเราเอง」

แมนติคอร์ตัวหนึ่งหัวเราะเยาะผม แต่ผมก็ดูท่าทีของมันต่อไปก่อนว่าข้อมูลของมันจะตรงตามเอกสารที่ผมเคยอ่านมาไหม

「บางทีพระอาทิตย์อาจจะขึ้นทางทิศตะวันตก แม่น้ำอาจจะไหลจากออกไปตก ไฟอาจจะจุดได้ในน้ำก็ได้นะ รู้หรือเปล่ามันหมายถึงอะไร?」

「พล่ามให้เต็มที่เถอะ ยังไงชะตาของแกก็ถูกตัดสินแล้ว ฮ่าๆๆ! 」.

แมนติคอร์ไม่ได้สนใจในสิ่งที่ผมพูดออกมาเลย

เพียงเพราะพวกมันพูดภาษามนุษย์ได้ใช่ว่ามันจะเข้าใจความหมายของทุกคำพูดสินะ…

พวกมันก็แค่พูดในสิ่งที่พวกมันอยาก และไม่ได้สนใจจะคุยอะไรกับคนอื่นด้วย

โอเค ก็ถือว่าตรงตามข้อมูลที่มี

「เจ้าสัตว์ปีกนั่นก็ร่วงไปแล้ว มนุษย์ก็จะต้องตาย ท้องพวกเราก็จะอิ่ม น่ายินดีๆ ฮ่าๆๆๆ เยี่ยมยอด!」

「งั้นก็ตายไปพร้อมกับความยินดีนั่นเลยแล้วกัน…เสริมแกร่งอาภรณ์วิญญาณ」

ดาบสีดำปรากฎออกมาในมือของผมหลังจากผมพูดจบ

ฝูงแมนติคอร์รู้สึกถึงแรงกรรโชกของสายสม ร่างของพวกมันแข็งทื่อไป ขนาดไอ้ตัวที่หัวเราะเยาะผมก็ยังหุบปากเลย

เห็นได้ชัดแล้วว่าพวกมันเริ่มระวังตัวกันมากขึ้น ดูท่ามันอยากจะรู้ว่าผมทำอะไรได้บ้างก็เลย คอยดูท่าทีแล้วให้ผมลงมือก่อน อาภรณ์วิญญาณที่ผมเอาออกมาตอนนี้ในสายตาของมันก็น่าจะเป็นอาวุธชิ้นหนึ่งที่ยังไม่รู้ความสามารถชัด

「 กลืนกินพวกมันซะ โซลอีทเตอร์」

ผมเอาดาบขอตัวออกมาตั้งท่า

เหล่าแมนติคอร์ค่อยๆถอยหลังไปเล็กน้อย ราวกับกลัวแรงระเบิดจของแสงสีดำที่กำลังลุกโชนออกมาตรงหน้าพวกมัน

ผมย่อตัวลงแล้วจ้องมองพวกมัน ดาบของผมตอนนี้อยู่ที่บริเวณเอวด้านซ้ายของผม โดยมีปลายดาบชี้ไปทางด้านหลัง

ท่าที่ผมกำลังทำอยู่นี้มันคล้ายกับอิไอ จะต่างกันก็แค่ดาบของผมไม่ได้มีฝัก

และในท่วงท่านี้เอง ผมก็ได้ใส่คิลงไปในดาบ มันคือท่าที่ผมกำลังจะเตรียมใช้ท่าโจมตีระยะไกล 『วายุ』 ท่าเดียวกับที่ใช้ตอนสู้กับราชาแมลงวัน

แต่ 『วายุ』 ที่ผมใช้นั้นเป็นแค่การเลียนแบบสิ่งที่ผมเห็นในเกาะเท่านั้น

แต่ผมก็ไม่ได้คิดมากอะไร เพราะยังไงมันก็แข็งแกร่งพอจะใช้งานได้อยู่แล้ว ที่เหลือก็แค่ลองดูว่าถ้าใส่พลังทั้งหมดลงไปผมจะเป็นยังไง

ผมปิดฝาโลงความรู้สึกที่หลุดพ้นจากคำสาปเลเวล 1 ในครั้งก่อน

ลืมความเชื่อที่ว่าตัวเองเป็นแค่เลเวล 6 ไปซะ

จงลืมสามัญสำนึกที่ว่าตนเป็นมนุษย์

ไม่มีความจำเป็นต้องประเมินตัวเองให้สูงหรือต่ำเกินไป ผมก็แค่ต้องโฟกัสไปที่ “ปัจจุบัน”

เพิ่งปริมาณคิเข้าไป ทั้งคุณภาพและความรุนแรงขั้นสูงสุด

คิที่ปกคลุมใบดาบของผมอยู่กำลังถูกกระตุ้นอย่างบ้าคลั่งจนคำรามออกมา จนกลายเป็นคลื่นเปลวไฟปกคลุมใบดาบมันช่างเหมือนกันมังกรตัวเล็กๆ

มวลอากาศเริ่มส่งเสียงสะเทือนออกมา ดูท่าอาภรณ์วิญญาณของผมเหมือนกำลังจะบอกว่าให้ผมรีบกินพวกมันได้แล้ว

ผมรู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

แมนติคอร์มันเริ่มพูดกับพวกพ้องของมัน

「ดูท่าไม่ดีแล้ว กระโดดซะ!!」

「ช้าไปแล้วว้อย!」

ผมตะโกนก่อนจะชักดาบสีดำฟันออกไปเป็นเส้นเดียว 一

ด้วยระยะห่างนี้ศัตรูคงไม่คิดว่าระยะดาบของผมจะไปถึงตัวพวกมันได้แน่ แต่ด้วยการฟันที่มีพลังคิอยู่ภายใน จึงทำให้ระยะห่างของดาบกับศัตรูเป็นศูนย์

แทนที่จะเรียกมันว่าการโจมตีระยะไกล น่าจะเหมือนกับการโจมตีระยะกว้างที่สามารถโจมตีสิ่งที่อยู่ห่างออกไปได้มากกว่า

ไม่ว่าพวกมันจะว่องไวเพียงใด สัตว์อสูรเหล่านี้ก็ไม่สามารถหลีกหนีการโจมตีนี้ไปได้

เหล่าแมนติคอร์ต่างร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่เห็นเลือดของพวกตนกระเซ็นลงที่พื้น

เหลืออีก 5 แปลว่าผมเก็บไปได้แค่ครึ่งเดียวสินะ แต่พวกมันบางตัวก็ไม่ได้อยู่ในระยะดาบของผมแต่แรกแล้วด้วย แถมบางตัวก็ตอนสนองต่อคำสั่งของไอ้เจ้าตัวหัวหน้าได้ทันอีก

ผมเม้มริมฝีปากขณะมองพวกมันสามตัวกระโดดไปอยู่ภายในอากาศได้ทัน

ผมเลยต้องแก้ไขท่าจับดาบโดยพลิกปลายดาบที่สะบัดออกไปเป็นอีกด้านในขณะที่ทำการเล็งพวกมันที่ลอยอยู่

ที่หางตาผมของยังเห็นถึงสีหน้าอันแสนตกใจของหัวหน้าพวกมัน

「ตายซะ!!」

พวกมันไม่สามารถหลบการโจมตีในอากาศได้ เนื่องจากพวกมันไม่มีปีก

กระโจมตีระรอกสองของผมสามารถทะลวงร่างของมันทั้งสามตัวอย่างง่ายดาย

โดยปกติแล้วร่างของพวกมันจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งและชั้นไขมันบนผิวของมันก็หนา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะใช้ดาบทะลวงเข้าไปถึงข้างในร่างพวกมัน

แต่ดาบสีดำของผมก็สามารถตัดพวกมันได้เหมือนเต้าหู้

เลือดของสัตว์อสูรกินคนกระฉูดออกมาราวกับดอกไม้ที่เบ่งบาน

หลังจากเห็นภาพนั้นผมก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ความสุขที่ได้รับจากวิญญาณของพวกมันช่างดีงามจริงๆ

ผมรู้ตัวดีว่าตอนนี้ผมแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ผมสามารถฆ่าแมนติคอร์ที่หลายคนกลัวได้อย่างง่ายดาย ก็จริงอยู่ว่านั่นเป็นเพราะอาภรณ์วิญญาณของผม แต่มันก็คือหนึ่งในความแข็งแกร่งของผมหรือเปล่าล่ะ คนอื่นจะมาบ่นไม่ได้หรอก

เรื่องที่ผมคิดไว้เกี่ยวกับการอัพเลเวลน่าจะถูกต้องแล้ว หรือไม่ก็อาจจะมีจุดที่ผิดอยู่ไม่มากนัก นั่นคือสิ่งที่ผมมั่นใจ

เอาเถอะ มาเก็บอีกสองตัวที่เหลือเลยละกัน

ผมหันกลับไปหาพวกมันก่อนจะคิดเช่นนั้นในใจ–

「กร๊อออออ!!」

ผมเห็นสัตว์ปีกตัวใหญ่กำลังบดขยี้กะโหลกของแมนติคอร์ด้วยฟันของมัน ก่อนจะฟาดอีกตัวด้วยหาง

มันทั้งสองตัวตายในทันที

ไม่มีส่วนใดในร่างของมันไม่เปื้อนด้วยเลือด เกล็ดกว่าครึ่งของมันถูกฉีกออกมาจนเผยให้เห็นเนื้อสีแดงด้านในร่าง

สภาพของมันตอนนี้เรียกได้ว่าสาหัสจนปางตายแล้วด้วย แต่ก็อย่างที่คาดไว้ มันเป็นสัตว์อสูรที่ขึ้นชื่อเรื่องพลังและความดุร้าย ถึงจะเป็นแค่ไวเวิร์นก็ตาม

ไม่ว่ามันจะบาดเจ็บขนาดไหน แต่มันก็ยังมีพลังเพียงพอที่จะฆ่าพวกแมนติคอร์ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว

…..เอาละ นี่คือคำถามไอ้เจ้าตัวมีปีกนี่มันจะหันเขี้ยวเข้าหาผมหรือเปล่า

ผมว่าสุดท้ายแล้วผมก็ยังเป็นคนที่ช่วยมันอยู่นะ ถึงจะไม่คาดหวังในสติปัญญาของมันก็เถอะ

ถึงในแง่ของความดุร้ายแล้วไวเวิร์นครามกับแมนติคอร์จะต่างกัน แต่ข้อที่ว่าพวกมันเป็นศัตรูของมนุษย์ยังไม่เปลี่ยนแปลง

คงไม่แปลกหรอกถ้ามันจะพุ่งมาโจมตีผมต่อ

ถึงจะมีอย่างพวกสัตว์อสูรที่มนุษย์เอามาเลี้ยงให้เชื่องได้บ้างก็เถอะ อย่างพวกอัศวินมังกรของอาณาจักรคานาเรีย ที่เลี้ยงพวกสัตว์อสูรมีปีกไว้ใช้งาน

แต่มันต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าถูกมนุษย์เลี้ยงมาตั้งแต่ตอนที่ฟักออกจากไข่ หากเป็นพวกที่อยู่ในป่ามนุษย์ก็แค่อาหารของพวกมันเท่านั้น และไม่ว่าจะเข้าหาพวกมันด้วยความเป็นมิตรแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้พวกมันเชื่องได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมได้ยินมาว่าเจ้าไวเวิร์นครามมีแนวโน้มสูงที่จะเป็นเช่นนั้นด้วย ถึงจะมีหลายคนที่พยายามทำให้มันเชื่องเพราะมันมีความสามารถของมันถือว่าสูงในบรรดาสายพันธุ์ไวเวิร์นที่มี แต่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครทำสำเร็จ

ไวเวิร์นครามคายส่วนหัวของแมนติคอที่กินเข้าไปออกมา จากนั้นก็ทุบกะโหลกทิ้งแล้วจ้องมาที่ผม

จะมาแล้วสินะ? ผมตั้งท่าเตรียมรับมือ แต่ก็เกิดคาดมันดันไม่เข้ามาโจมตีผมซะงั้น

มันจ้องมายังผมด้วยดวงตาที่กลมโตจนดูๆไปก็น่ารักดี ม่านตาที่เหมือนงูของมันนั้นมีภาพร่างของผมสะท้อนอยู่

จากนั้นมันก็ละสายตาไปจากผมแล้วหันไปทางอื่นแทน

พอผมมองตามมันไปก็พบว่าเจ้าตัวหัวหน้าแมนติคอร์มันยังมีชีวิตอยู่

ไวเวิร์นครามไม่ได้ฆ่ามันไปแล้วหรอกเหรอ

และไวเวิร์นครามก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

ตอนแรกมันถูกหางฟาดเข้าด้วยความรุนแรงแท้ๆหรือว่าไวเวิร์นครามจะเก็บเจ้านี่ไว้กินทีหลังนะ

แต่แล้วก็มีบางอย่างคล้ายกับไอน้ำพุ่งออกมาจากปากของไวเวิร์นคราม

ห๊า ไอ้เจ้านี่พ่นไฟได้ด้วยเหรอ?!

เดี๋ยวๆๆ แล้วทำไมต้องมาพ่นไฟในป่าแบบนี้ด้วยวะเนี่ย?

ผมไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะถ้าผมเข้าไปขัดมัน บางทีมันอาจจะแสดงความเป็นศัตรูกับผมแทน ตอนนี้เลยรู้สึกหนักใจพอสมควร

นอกจากนี้ผมยังจำความรู้สึก โกรธ กลัว และเสียใจตอนกำลังถูกกินได้ดี ดังนั้นผมจะไม่ขัดขวางการแก้แค้นของมันก็แล้วกัน

ผลที่ได้ก็คือมันปล่อยลมหายใจเพลิงออกมาขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ และยิงตัดผ่านอากาศเป็นเส้นตรงไปยังร่างของแมนติคอร์ที่กำลังพยายามหนี

ร่างของมันถูกย่างสด เปลวไฟได้ลุกท่วมร่างของมัน

◆◆◆

หลังจากเรื่องจบ ผมก็ทำการเดินสำรวจบริเวณรอบๆต่ออีกสักหน่อย

ฝูงแมนติคอร์พวกนั้น…ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแฮะว่าพวกมันรวมกันล่าเป็นฝูงแบบนี้

ถึงตอนแรกผมคิดว่าในป่าลึกแบบนี้จะเจอมันสักตัวก็ไม่น่าแปลก แต่มันดันโผล่กันมาเป็นฝูงซะได้

หรือว่าพวกมันถูกไล่ออกมาจากถิ่นของมันกันนะ ผมอดสงสัยไม่ได้

แต่ถึงผมจะเดินสำรวจมาร่วมกว่าสามสิบนาที ก็ไม่ได้พบเงื่อนงำใดๆที่เกี่ยวข้อง

ถ้าผมใช้เวลาตามไปจนถึงส่วนลึกสุดของป่า ผมก็อาจจะพบอะไรก็ได้ แต่ผมตอนนี้ยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับมัน เหนือสิ่งอื่นได้คือผมมีมิโรสลาฟกำลังรออยู่จึงไม่ควรไปทำเรื่องอะไรแบบนั้น

ตอนนี้ผมก็ได้แต่ต้องเตือนตัวเองให้ใส่ใจกับสถานการณ์ในป่าโดยรอบแทนไปก่อน

แต่พอเดินกลับมาที่เดิมผมก็ต้องตกใจ

ไอ้เจ้าไวเวิร์นครามนี่มันส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดจนทำให้พื้นสั่นสะเทือน

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะไปอะไรเลยแท้….จริงสิ

หางของแมนติคอร์มันมีพิษร้ายแรงอยู่ โชคดีที่ผมไม่โดนมันเข้า แต่ถ้านึกถึงเจ้าตัวนี้ที่โดนหางนั่นทิ่มไปหลายดอกก็น่าจะส่งผลได้พอตัว

งั้นเราจะทำยังไงกับมันดีล่ะ?

โชคดีที่ผมรวบรวมสมุนไพรมาก่อนหน้านี้ แต่ก็โชคร้ายที่มันไม่มีตัวไหนแก้พิษของแมนติคอร์ได้

และถึงผมจะมีสมุนไพรที่จำใจต้องเตรียมให้ยัยมิโรสลาฟเผื่อในกรณีฉุกเฉินอยู่บ้าง แต่จำนวนของมันก็ไม่น่าจะพอรักษาร่างกายที่มีขนาดใหญ่นั้นแม้จะให้มันกินจนหมดก็ตาม

แถมสมุนไพรที่ใช้กับมนุษย์จะได้ผลกับมันหรือเปล่านะ?

「 ถ้าจะแก้พิษ….แก้พิษ…จริงสิ! ไอ้นั่นไง ที่ใช้แก้พิษอัมพาตของราชาแมลงวัน!」

ต้นจิไรอาโอคุส มันไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ด้วย

หากผมวิ่งไปที่นั่นอย่างสุดกำลังโดยใช้คิ ก็น่าจะไปกลับไม่เกินหนึ่งชั่วโมง

…แต่พอผมคิดอย่างใจเย็นอีกครั้ง มันก็ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องช่วยมันนี่นา แถมตอนนี้ผมยังสามารถฆ่ามันได้ด้วยซ้ำ….แต่พอนึกถึงดวงตากลมโตคู่นั้นที่มองผมก่อนหน้านี้…มันทำให้ผมรู้สึกลังเลหน่อยๆแฮะ

เอาเป็นว่า ผมจับมือเป็นพันธมิตรชั่วคราวกับมันก่อนแล้วกัน แต่ถ้ามันยังคิดจะทำร้ายผมหลังถอนพิษให้ ถึงตอนนั้นเดี๋ยวผมจะกินวิญญาณมันให้เหี้ยนเลย

ขณะที่ผมดูร่างของมันกำลังนอนแผ่อยู่ที่พื้นด้วยความเจ็บปวด ผมก็งอเข่าเล็กน้อยก่อนจะทำการพุ่งตัวออกไป

——-

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code