ตอนที่ 162 ตกใจจนฉี่แทบราด

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

พรานหวังตกใจจนแทบหมดสติ ! นางหนูรองเอ๋ยนางหนูรอง จะตำหนิเจ้าอย่างไรดี ? บอกว่าเจ้าโง่เขลาแต่ใจกล้าก็แล้วกัน ไม่ผิดไปจากนี้แม้แต่น้อย ! เจ้านั่งมองสัตว์ล่าเหยื่อใกล้ถึงเพียงนี้ ไม่กลัวว่าหมาป่าจะสังเกตเห็นแล้วล่าเจ้าไปพร้อมกันหรือ ?

“ไปกับข้า…” พรานหวังกล้าใช้แค่ปากทำการส่งสัญญาณ เพราะหมาป่ามีประสาทสัมผัสไวต่อกลิ่นและเสียงจนถึงขั้นน่าสยดสยอง หากทำให้พวกมันตกใจแล้วล่ะก็ มนุษย์ทั้งสองอย่าได้คิดจะหนีเลย เพราะบัดนี้ตรงหน้าคงมีหมาป่าประมาณห้าสิบถึงหกสิบตัวได้

แต่ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าของเขาก็หยุดลง ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าซีดเผือดและยืนนิ่งเหมือนไม้แกะสลัก ท่าทางไม่กล้าขยับตัวไปไหนนั้นทำให้หลินเว่ยเว่ยหันกลับไปมองอีกฝั่งก็เห็นว่าจ่าฝูงเจ้าเทาและหมาป่ารูปร่างสูงใหญ่ตัวหนึ่งที่เคยโดนนางบีบคอกำลังลากซากกวางมูสมาทางนางอย่างเชื่องช้า

อย่าขยับ อย่าขยับตัวเด็ดขาด ! ! พรานหวังทำรูปปากส่งสัญญาณให้หลินเว่ยเว่ยอย่างต่อเนื่อง ทว่าภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความโศกเศร้า…จบแล้ว จบเห่แล้ว ! วันนี้เขาต้องพบจุบจบอยู่ที่นี่ ! แล้วภรรยาที่อ่อนแอคนนั้นกับพวกเด็ก ๆ จะทำเช่นไรต่อไป ?

ภายใต้แววตาอันสิ้นหวังของพรานหวัง หมาป่าร่างยักษ์ก็ลากกวางมูสเข้ามาใกล้หลินเว่ยเว่ยในระยะไม่ถึง 2 หมี่แล้ว จบกัน บุตรสาวคนรองตระกูลหลินถูกเจอตัวแล้ว ! ระยะห่างเพียงเท่านี้แม้แต่ตัวเขาเองก็คงไม่รอดไปด้วย

พรานหวังกัดฟันแล้วตัดสินใจว่าจะพุ่งเข้าไปเพื่อขวางหมาป่าสองตัวนั้นเอาไว้ หลินเว่ยเว่ยจะได้มีโอกาสหนีเอาชีวิตรอด…นางเป็นคนจิตใจดี รู้จักสำนึกบุญคุณ หากหนีไปได้ก็จะต้องปฏิบัติต่อแม่ม่ายลูกติดของเขาอย่างดีแน่นอน…

เมื่อร่างกายของเขาขยับก็ทำให้เกิดเสียง ‘กรอบแกรบ’ จากการสัมผัสโดนพุ่มหญ้าที่อยู่รอบตัว

ดวงตาสีอำพันคู่นั้นของจ่าฝูงเจ้าเทามองไปยังทิศทางที่พรานหวังยืนอยู่อย่างเย็นชา…มนุษย์โง่เขลา เวลาเผชิญหน้ากับอันตรายแม้แต่ซ่อนให้ดีก็ยังทำไม่เป็น โง่เกินเยียวยา !

แต่หมาป่าอีกตัวทำเหมือนกำลังล่าเหยื่อไม่มีผิด สายตาจับจ้องไปยังพุ่มหญ้าที่พรานหวังซ่อนอยู่ ภายใต้ดวงตาดุร้ายคู่นี้ พรานหวังจึงรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก แต่กลับพังทลายในชั่วพริบตาเพราะแข้งขาอ่อนแรงและลงไปนั่งกองกับพื้นทันที

ทันใดนั้นหมาป่าตัวผู้ก็วางกวางมูสลงแล้วเดินมาทางพรานหวังสองสามก้าว แต่แล้วมันก็ถูกจ่าฝูงเจ้าเทาตบจนล้ม…เจ้าจะทำให้เขาตกใจเพื่อเหตุใด ? ถ้าสลบไปแล้ว เจ้าจะแบกขึ้นหลังแทนนางมนุษย์นั่นหรือ ?

หมาป่าตัวผู้เลียปาก…ใช่สิ ! มันรับปากมนุษย์นางนี้แล้วว่าจะไม่ทำร้ายมนุษย์และไม่กินด้วย มันจึงเริ่มรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะตั้งแต่เติบโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยรู้เลยว่าเนื้อมนุษย์มีรสชาติอย่างไร !

จ่าฝูงเจ้าเทากดศีรษะของมันเอาไว้…ทำไม ? คิดทรยศหรือ ? เจ้าไม่อยากดื่มน้ำของนางมนุษย์แล้วหรือไร ? แม้เจ้าไม่อยากแต่ข้ายังอยากดื่ม เพราะพอดื่มน้ำนั้นแล้วร่างกายก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ พละกำลังก็มากขึ้นไม่น้อย ! ตอนที่ข้าบาดเจ็บก็ได้รู้ว่าน้ำนั้นแตกต่างจากน้ำธรรมดา นับเป็นของดี !

หมาป่าตัวผู้ที่โดนกดศีรษะไว้ก็สะบัดหางไปมา มันหันหลังกลับอย่างไม่พอใจ…ห่างออกไปไม่ไกลพวกหมาป่ากำลังกัดกินเหยื่ออย่างดุร้าย แต่พวกมันก็เหลือกวางมูสที่มีเนื้ออ่อนที่สุดไว้หนึ่งตัว…นั่นเป็นของจ่าฝูง !

พรานหวังเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากแล้วตั้งหลักกับพื้น กระทั่งพวกฝูงหมาป่ากินเสร็จแล้วเดินจากไปอย่างเกียจคร้าน เขาจึงกล้าลุกขึ้นมาอีกครั้ง

หลินเว่ยเว่ยเดินวนรอบกวางมูสสองตัวที่ถูกเจ้าเทาทิ้งไว้แล้วรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย หากพรานหวังไม่อยู่ก็คงดี เพราะนางจะได้เอากวางมูสโยนใส่มิติน้ำพุวิญญาณ แต่ตอนนี้ต้องแบกมันแทน อย่างน้อยก็เกือบพันชั่งเข้าไปแล้ว !

“ที่แท้บนเขาก็มีหมาป่าฝูงใหญ่ด้วย ! ที่นี่ห่างจากหมู่บ้านแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น ภัยแล้งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าสัตว์ป่าบนภูเขาลดลงแล้วหมาป่าลงจากเขา หมู่บ้านฉือหลี่โกวของเราจะไม่ตกเป็นเป้าหมายแรกหรอกหรือ ? ”

พรานหวังยืนพิงต้นไม้ด้วยขาที่อ่อนเปลี้ยพลางมองมาทางหลินเว่ยเว่ยด้วยสีหน้าซับซ้อน นางหนูรองผู้โง่เขลาคนนี้ เหตุใดไม่รู้จักกลัวบ้างนะ ? เมื่อครู่หมาป่าสองตัวนั้นอยู่ห่างนางไม่ถึง 3 ศอก แค่เดินมาอีกไม่กี่ก้าวก็จะประสานสายตากับนางแล้ว แต่ตอนนี้นางทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นและยังมีกะจิตกะใจแบกกวางมูสขึ้นหลังอีก

นี่คืออาหารค่ำที่จ่าฝูงเหลือไว้ หากพวกมันจับได้ว่าเราขโมยแล้วตามไปล้างแค้นที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวจะทำเช่นไร ! หมาป่าถือเป็นสัตว์ใจแคบที่สุด !

“ไม่หรอก ! ท่านก็เห็นแล้วว่าภูเขาเหล่านี้ซ้อนกันลูกแล้วลูกเล่า อย่างไรต้องมีแหล่งน้ำและสถานที่ให้พวกมันล่าเหยื่ออีกมาก ฝูงหมาป่าคุ้นชินกับป่าเขามากกว่าที่ราบ” หลินเว่ยเว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

พรานหวังครุ่นคิด “เช่นนั้น…เสียงหอนของหมาป่าที่พวกเราได้ยินจากในหมู่บ้านเมื่อก่อนหน้านี้เล่า ? ”

“พวกเราก็แค่ได้ยินเสียงหอนไม่ใช่หรือ ? ทว่าไม่เห็นสิ่งใดเลย ในหมู่บ้านก็ไม่มีสิ่งใดสูญหาย ฝูงหมาป่าคงไม่ได้เข้ามาในหมู่บ้านและแค่เคลื่อนไหวอยู่ในป่าใกล้เคียง เพราะตอนกลางคืนเงียบสงบ ทุกคนจึงรู้สึกว่าอยู่ในหมู่บ้านต่างหาก” หลินเว่ยเว่ยพูดโกหกหน้าตาย

นางแบกกวางมูสที่หนักกว่าน้ำหนักตัวเองหลายเท่าแล้วเดินตามทางเพื่อกลับไปยังป่าสนแดง

“โอ้ ! เสี่ยวเว่ย เจ้าล่ากวางได้อีกแล้วหรือ ? ยอดเยี่ยมจริง ๆ อย่างน้อยก็คงแปดร้อยถึงเก้าร้อยชั่งใช่หรือไม่ ? เนื้อกวางแผ่นของบ้านเจ้ามีวัตถุดิบเพิ่มอีกแล้ว ! ” หลิวต้าซวนปีนอยู่บนต้นสนและนั่งอยู่บนกิ่งไม้พลางใช้ท่อนไม้ในมือตีลูกสน

“นี่เป็นของที่เก็บได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม ถ้าไม่เชื่อพวกท่านก็ถามลุงหวังสิ ตามกฎเดิมคือสัตว์ที่เก็บมาได้ ทุกคนล้วนมีส่วนแบ่งทั้งนั้น ! ” หลินเว่ยเว่ยวางกวางมูสลงพื้น

หลังผู้ใหญ่บ้านได้ยินเช่นนั้นก็แอบรู้สึกละอายใจทันทีเพราะตอนที่ตระกูลหลินตกอับที่สุด แม่ม่ายและลูกติดที่ยังไม่โตอีกสี่คนก็ใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก เนื่องจากพวกนางเป็นคนนอกจึงทำให้คนในหมู่บ้านไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือ แต่ดูสิ ดูว่าตอนนี้นางทำสิ่งใดบ้าง ? ความช่วยเหลือที่พวกชาวบ้านได้รับจากตระกูลหลินหรือกล่าวว่าคือความช่วยเหลือจากนางหนูรอง พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนอย่างไรไหว !

“เจ้าพบมันก็ถือเป็นของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าควรได้รับ ! ” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยความละอายใจ ส่วนคนอื่นก็มองไปยังกวางมูสที่กองสูงเหมือนเนินเขาขนาดเล็ก หากแล่แล้วคงแบ่งออกมาได้คนละหลายชั่ง…ผู้คนจำนวนมากในที่นี้ปกติจะกินได้แค่โจ๊กผักสองมื้อจนเริ่มจำไม่ได้แล้วว่ากินเนื้อสัตว์ครั้งล่าสุดเมื่อใด !

หลังได้ยินถ้อยคำของผู้ใหญ่บ้านแล้ว พวกเขาก็แอบกลืนน้ำลายและไม่ส่งเสียงใดอีก ทุกคนต่างยอมรับการตัดสินใจของผู้ใหญ่บ้านอย่างเงียบ ๆ

หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ? อีกประเดี๋ยวก็จะถึงยามอู่แล้ว พวกเราหั่นกวางมูสแล้วนำมาย่างเป็นอาหาร พอกินอิ่มแล้วถึงจะมีแรง”

ทุกคนออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างแล้วเดินต่อมาอีก 2 ชั่วยาม สำหรับพวกผู้ชายที่กินมื้อเช้าแค่โจ๊กผักแล้วจึงมีความหิวเข้ามาแทนที่ เมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างก็เผยดวงตาแห่งความหวังและหันไปทางผู้ใหญ่บ้านทันที

ผู้ใหญ่บ้านทราบสถานการณ์ของครอบครัวส่วนใหญ่ แม้ครอบครัวที่มั่งมีเล็กน้อยอย่างตนก็ทำได้แค่อิ่มท้องเพียงนิด เนื้อยิ่งไม่กล้านึกถึง ทุกครั้งที่หลานชายคนสุดท้องได้กลิ่นเนื้อจากบ้านตระกูลหลินก็อยากกินจนร้องไห้ออกมา เด็กบ้านอื่นเกี่ยวหญ้าแลกเนื้อหนึ่งคำ แต่หลานชายของตนทำไม่ได้ เพราะมารดาคิดว่าน่าอายจึงทั้งตีทั้งด่าไม่ยอมให้ทำ เฮ้อ…ล้วนเกิดจากภัยธรรมชาติทั้งสิ้น

สิ่งเดียวที่สามารถปลอบประโลมพวกเขาได้คือการเก็บเกี่ยวในหมู่บ้าน เมื่อเทียบกับที่อื่นซึ่งเก็บเกี่ยวไม่ได้แล้วสถานการณ์ยังถือว่าดีกว่า อย่างน้อยตอนนี้ในหมู่บ้านก็ไม่ต้องทอดทิ้งคนชราหรือขายบุตรหลาน แต่หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาเองก็ไม่อาจรับประกันได้เช่นกัน

ตอนต่อไป