ตอนที่ 163 กลับบ้านแม่

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

เมื่อเห็นเช่นนั้นหลินเว่ยเว่ยก็แสร้งหยิบมีดออกมาจากตะกร้าแล้วถลกหนังกวางออกอย่างชำนาญ จากนั้นก็ควักเครื่องในออกแล้วหั่นเนื้อกวางเป็นชิ้น ทำการเสียบเนื้อกวางด้วยไม้ไผ่ ก่อไฟแล้วเริ่มย่างเนื้อ !

กลิ่นหอมเข้มข้นของเนื้อลอยมาแตะจมูก เช่นนี้ใครจะทนไหว !

“รีบมาช่วยเร็ว ! พวกท่านหกสิบเจ็ดสิบคนคงไม่รอให้ข้าย่างเนื้อคนเดียวใช่หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยส่งเนื้อเสียบไม้ในมือให้พรานหวัง

คนอื่นที่กำลังเก็บลูกสนอยู่ก็ไม่เก็บอีกต่อไปแล้ว พวกเขายืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลพร้อมใจจดจ่อ ผู้ใหญ่บ้านจึงถอนหายใจ ติดหนี้น้ำใจนางอีกแล้ว จะติดมากติดน้อยแล้วต่างกันอย่างไร ?

เขาก่อไฟขึ้นมาอีกกองแล้วเริ่มย่างเนื้อบ้าง ชาวบ้านคนอื่นเห็นผู้ใหญ่บ้านยอมตกลงจึงส่งเสียงร้องด้วยความดีใจและเข้ามาห้อมล้อม ในบรรดาคนเหล่านี้ บ้างเป็นชายวัยกลางคน บ้างเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบต้น ๆ และยังมีเด็กหนุ่มอายุ 14-15 ปีด้วย ทุกคนล้วนดีใจเหมือนเด็กน้อยที่ตามมาก็ไม่ปาน

ไม่เอ่ยถึงก็คงไม่ได้ ผู้ชายกลุ่มหนึ่งทั้งหิวและโลภย่อมมีความอยากอาหารเทียบเท่าฝูงหมาป่าฝูงหนึ่ง กวางมูสหนักเกือบพันชั่งถ้าคิดแค่เนื้อก็หนักกว่า 600-700 ชั่งได้แล้ว มันถูกกินไปกว่าครึ่ง หลินเว่ยเว่ยจึงกลัวว่าพวกเขาจะย่อยไม่ทันหรือกินเนื้อกวางมากเกินจนเลือดกำเดาไหล

ถึงยามเว่ย ทุกคนทำงานกันอย่างหนักแต่ก็มีพลังงานมากขึ้นและประสิทธิภาพก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หลินเว่ยเว่ยเปรียบดั่งเครื่องจักร นางกอดต้นสนขนาดเท่าเอวแล้วส่ายมันอยู่พักหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นลูกสนหรือใบสนก็ร่วงลงมาทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่กระรอกน้อยที่งุนงงตัวหนึ่งด้วย !

กระรอกน้อยคิดในใจว่า ‘มันเป็นใคร ? มันอยู่ที่ไหน ? เมื่อครู่มันไม่ได้แทะเมล็ดสนอยู่ในรังหรอกหรือ ? เหตุใดมันจึงร่วงมาอยู่บนพื้นได้ ? ’

หลินเว่ยเว่ยหยิบกระรอกน้อยขึ้นจากพื้นด้วยความรู้สึกขอโทษแล้ววางมันบนกิ่งไม้ จากนั้นก็จิ้มหางเจ้าตัวน้อยพลางกล่าวว่า “ไปเถิด กลับไปหามารดาของเจ้า แล้วช่วงสองสามวันนี้อย่าวิ่งมั่วซั่วไปที่ไหนอีก ! ”

หลังเขย่าต้นสนติดต่อกันหลายต้นแล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็เอ่ยเตือนอยู่ด้านข้าง “พอเถิด แค่นี้ก็พอแล้ว ! ถ้าทำต่อไปอีก กระสอบของพวกเราใส่ไม่หมดแน่ ! ”

หลินเว่ยเว่ยเห็นว่าอีกนานกว่าดวงอาทิตย์จะตกดินจึงเสนอความเห็น “ลูกสนเหล่านี้สุกกำลังพอดี มาเถิด พวกเราจัดการแยกเมล็ดออกจากเกล็ด จะได้ขนลงเขาได้เยอะขึ้นอีกหน่อย”

พวกชาวบ้านบางคนเก็บหินขึ้นมาหนึ่งก้อน บางคนก็หยิบท่อนไม้หนาเท่าข้อมือแล้วเลือกลูกสนที่มีเกล็ดแตกออกบ้าง จากนั้นก็ทุบดัง ตุบตุบตุบตุบ

แต่ทางฝั่งหลินเว่ยเว่ยอลังการกว่านั้นมาก เพราะนางถือลูกสนไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง จากนั้นก็ออกแรงบีบแล้วเกล็ดของลูกสนก็แตกออก เมล็ดสนที่อยู่ด้านในหลุดออกมา ทำให้ชาวบ้านทุกคนอ้าปากค้างทันที…นี่ไม่ได้เป็นแค่เครื่องจักรเก็บลูกสน แต่ยังเป็นเครื่องกะเทาะเกล็ดลูกสนด้วย !

หลังจากทำงานได้ 2 ชั่วยาม ผู้ใหญ่บ้านก็เงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วพูดกับพวกชาวบ้านที่กำลังเพลิดเพลินกับงานตรงหน้าว่า “ฟ้าเริ่มมืดแล้ว กลับกันดีหรือไม่ ? พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ! ”

เมล็ดสนถูกเก็บใส่กระสอบที่พกมาจนเต็มทีละกระสอบ ตะกร้าก็ใช้บรรจุจนเต็ม เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ลูกสนที่ร่วงลงมาไม่อาจเก็บได้หมด แม้พวกชาวบ้านรู้สึกเสียดายแต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้

หลินเว่ยเว่ยสร้างเชือกสะพายหลังซึ่งบนหลังมีเมล็ดสนด้วยกัน 4 กระสอบ รวมแล้วมีน้ำหนักประมาณ 500-600 ชั่งได้เลย ! พวกมันถูกเชือกมัดร้อยเข้าด้วยกัน ส่วนนางก็แบกขึ้นหลังเหมือนไม่ได้ออกแรงแม้แต่น้อย ทว่าคนอื่นแบกได้แค่กระสอบเดียวก็รู้สึกหนักมากแล้ว

ชายหนุ่มหกสิบเจ็ดสิบคนแบกของกลับมาพร้อมความสำเร็จ แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าแต่จิตใจเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เพราะบนแผ่นหลังไม่ได้มีแค่เมล็ดสน ทว่ายังเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ด้วย !

ตอนใกล้ถึงหมู่บ้านก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ดังนั้นระยะสุดท้ายที่เดินลงจากเขาจึงจำเป็นต้องจุดไฟส่องนำทาง เมื่อมาถึงบ้านของผู้ใหญ่บ้านและใช้ตาชั่งสำหรับชั่งเมล็ดพืช พวกมันมีน้ำหนักประมาณแปดพันถึงเก้าพันชั่งเลยทีเดียว !

บุรุษเกือบ 70 คนที่ขึ้นเขาพร้อมกันคราวนี้มาจาก 30 ครัวเรือน ส่วนอีก 8 ครัวเรือนที่เหลือถ้าไม่ใช่เพราะไร้แรงงานผู้ชายที่บ้านก็เพราะผู้ชายในบ้านป่วยหรือพิการจึงไม่อาจเข้าร่วมงานนี้ได้

พวกเขาทำตามกฎการแบ่งปันที่ยุติธรรมซึ่งตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้น บ้านแต่ละหลังได้รับประมาณ 300 ชั่ง ! พวกชาวบ้านแบ่งเมล็ดสนอย่างเป็นกันเองและยุติธรรมมาก ไม่มีใครออกมาบอกว่าบ้านตนส่งคนมาเยอะหรือน้อย เพราะเมล็ดสนส่วนใหญ่ที่หาได้ล้วนอาศัยแรงของหลินเว่ยเว่ย เมล็ดสนกว่าครึ่งก็ถูกกะเทาะออกจากเกล็ดโดยหลินเว่ยเว่ย หากยึดตามการออกแรงแล้ว พวกเขาไม่มีทางแบ่งได้เยอะเช่นนี้แน่นอน

พวกชาวบ้านล้วนหันไปมองหลินเว่ยเว่ยด้วยความละอาย…ผู้ใหญ่เยี่ยงตนกำลังเอาเปรียบเด็กสาวคนหนึ่ง ช่างน่าละอายเหลือเกิน ส่วนหลินเว่ยเว่ยก็โบกมืออย่างไม่แยแส ต่อจากนั้นก็นำเมล็ดสน 300 ชั่งซึ่งเป็นส่วนของตนกลับบ้านอย่างมีความสุข

พวกชาวบ้านจดจำความดีของนางไว้ในใจ เมื่อกลับมาที่บ้านแล้ว ทุกคนก็กำชับภรรยาและบรรดาบุตรหลานว่าให้ทำดีต่อคนตระกูลหลิน เพราะพวกนางคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคนทั้งหมู่บ้านเอาไว้ !

“ผู้มีพระคุณอันใด ? แค่พาพวกเจ้าขึ้นเขาไม่ใช่หรือ ? ไม่ได้เจอฝูงหมาป่าก็ถือเป็นโชคของพวกเจ้าเอง เกี่ยวอันใดกับนางมิทราบ ? ” มารดาเจ้าอ้วนซานโดนหลินเว่ยเว่ยสั่งสอนไปหลายรอบจึงรู้สึกไม่พอใจและพูดเช่นนี้ออกมา

คราวนี้บิดาของเจ้าอ้วนซานไม่ได้ตามใจภรรยาอีกต่อไป เขาตบไปที่บ่าของนางแล้วกล่าวว่า “ข้าเตือนเจ้าไว้เลยว่าอย่าหาเรื่องนางหนูรองตระกูลหลินอีก ! โชคดีเองอย่างนั้นหรือ ? ถ้าเช่นนั้นคนที่ตายในป่าก็เป็นเพราะโชคร้ายอย่างเดียวน่ะสิ”

“ควรเรียกว่านางมีความสามารถ ! แม้แต่พรานหวังยังไม่แน่ใจ แต่นางสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าฝูงหมาป่าออกจากป่าสนแดงนั้นแล้ว ! เจ้าคิดตามนะ ถ้าทำตามที่พรานหวังพูดคือพวกเราถอยออกมาจากป่าสน แล้วจะเอาเมล็ดสนมากมายเช่นนี้มาจากไหน ? ”

“ข้าเตือนเจ้าไว้เลยว่าหากไปสร้างปัญหาให้ตระกูลหลินอีก ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้านมารดา ถ้าเปลี่ยนนิสัยเสีย ๆ ไม่ได้ก็ไม่ต้องกลับมาอีก ! ”

มารดาเจ้าอ้วนซานตบหน้าขาแล้วตะคอกเสียงดังลั่น “ไอ้แก่เอ๊ย ข้าคลอดลูกชายลูกสาวให้เจ้า ใช้ชีวิตยากลำบากกับเจ้ามานานถึงเพียงนี้ แต่เจ้าจะส่งข้ากลับบ้านแม่เพียงเพราะข้าต่อว่าบุตรสาวคนรองตระกูลหลินไม่กี่ประโยค…ชีวิตเช่นนี้ข้าอยู่ต่อไม่ได้หรอก ! ”

“อยู่ต่อไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่ ประเดี๋ยวข้าจะให้บัณฑิตเจียงเขียนหนังสือหย่า และในบ้านจะได้ประหยัดเสบียงอาหารไปอีกหนึ่งปาก ! ” บิดาเจ้าอ้วนซานถลึงตาโตและพ่นลมหายใจหนักหน่วงออกมาทางรูจมูก…เขาโมโหจนแทบบ้าอยู่แล้ว !

มารดาของเจ้าอ้วนซานเงียบปากทันที เพราะเท่าที่รู้จักผู้ชายคนนี้มาคือเขาไม่ได้กำลังพูดเล่น เขาคิดจะหย่าแล้วไล่นางกลับบ้านแม่จริง ๆ !

ตอนนี้บ้านแม่มีสถานการณ์เป็นเช่นไรน่ะหรือ ? สิ่งใดที่พอจะขายได้ก็เอาไปขายหมดแล้ว แต่ละวันกินได้แค่มื้อเบา ๆ พี่ชายคนโตก็เริ่มขายบุตร…สองสามวันก่อนมารดามาหาที่บ้าน อีกทั้งร้องไห้ทั้งโอดครวญ นางจึงฝืนใจให้ยืมข้าวสารไป 10 ชั่ง

แม้สามีจะไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่สีหน้าเรียกว่าย่ำแย่เลยก็ว่าได้ เนื่องจากข้าวในบ้านก็มีน้อยจนไม่รู้ว่าจะทนผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้หรือไม่ แต่จะให้นางทนมองมารดาอดตายก็ทำไม่ได้เช่นกัน

บิดาเจ้าอ้วนซานมองนางอยู่นาน จากนั้นก็หันไปมองบุตรชายที่หลับอยู่ด้านข้างแล้วถอนหายใจออกมาแรง ๆ “พรุ่งนี้เจ้าพาลูกขึ้นเขาไปเก็บผลไม้ป่า ถ้าเก็บได้ไม่ถึง 20 ชั่ง เจ้าก็กลับบ้านแม่ไปเสีย ! ”

เด็กสาวอายุ 10 กว่าปียังเก็บได้ 20 ชั่งต่อวัน นางเป็นหญิงสูงวัยกับเด็กชายอายุประมาณสิบสามสิบสี่อีกคนจะสู้เด็กผู้หญิงคนเดียวไม่ได้เชียวหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นยังจะเก็บนางไว้เพื่อสิ่งใด ? ให้อยู่ต่อไปเพื่อสอนลูกจนเสียคนหรืออย่างไร ?

ตอนต่อไป