มารดาของเจ้าอ้วนซานพยักหน้ารับเบา ๆ โดยไม่กล้าเถียงแม้แต่คำเดียว ในยามปกติที่นางร้ายกาจได้ก็เพราะสามีไม่ถือสา ทว่าแท้จริงแล้วผู้ที่มีอำนาจในบ้านไม่ใช่นางเลย

“ว้าว ! เนื้อ ได้กินเนื้อแล้ว ! ” วันนี้บุตรชายทั้งสามคนของผู้ใหญ่บ้านก็ขึ้นเขากันหมด แม้ว่าเมล็ดสนหนัก 300 ชั่งจะไม่ถือว่าเยอะมาก แต่เนื้อกวางที่ได้แบ่งกันอย่างเท่าเทียม…ถูกต้อง เนื้อกวางมูสที่เหลือตัวสุดท้ายนั้นยังอยู่ภายใต้การตัดสินใจของหลินเว่ยเว่ย และนางก็แบ่งให้ทุกคน ! ผู้ใหญ่บ้านและบุตรชายรวมกันสี่คนได้แบ่งเนื้อมา 7-8 ชั่งเลยทีเดียว ! แน่นอนว่าผู้ที่ดีใจที่สุดย่อมหนีไม่พ้นหลานชายคนเล็ก

ผู้ใหญ่บ้านตบก้นหลานชายคนเล็กหนึ่งครั้งแล้วกล่าวด้วยใบหน้าเปี่ยมยิ้ม “ดี ! เย็นนี้กินเนื้อกัน ! ยายเฒ่าจงหั่นเนื้อ 2 ชั่งแล้วตุ๋นใส่มะเขือม่วงกับมันฝรั่ง ทุกคนจะได้กินอย่างมีความสุขเสียหน่อย ! ”

“2 ชั่ง ? เยอะเกินไปหรือไม่ ? ” ภรรยาผู้ใหญ่บ้านรู้สึกเสียดายเพราะนี่เป็นเนื้อกวางมูสชั้นดี หากทำเป็นเนื้อรมควันก็จะกลายเป็นอาหารหายากได้เลย !

“เยอะอะไร ? คนในครอบครัวไม่ได้กินเนื้อสัตว์มาครึ่งปีแล้ว ให้พวกเด็ก ๆ ได้กินให้หายอยากเสียหน่อย ! ” ผู้ใหญ่บ้านยื่นคำขาด ! ทันใดนั้นพวกเด็ก ๆ ในบ้านก็โห่ร้องด้วยความดีใจ

วังม่านเหนียงเข้ามาออดอ้อนท่านปู่แล้วถามว่า “ท่านปู่เจ้าคะ ท่านเอาเนื้อเหล่านี้มาจากที่ใด ? พวกท่านล่ามันได้บนเขาหรือ ? เหตุใดจึงได้มาน้อยเช่นนี้เจ้าคะ ? ”

ผู้ใหญ่บ้านลูบศีรษะของสาวน้อยแล้วตอบพร้อมรอยยิ้ม “ดูปู่กับท่านพ่อของเจ้าว่าเหมือนคนล่ากวางเป็นหรือไม่ ? เนื้อกวางนี้เป็นนางหนูรองตระกูลหลินล่ามาได้

สาวน้อยคนนี้จิตใจดี รู้ว่าพวกชาวบ้านกินไม่อิ่มและไม่มีแรงเก็บลูกสนจึงยืนกรานว่ากวางที่ตัวยังอุ่นนี้เป็นของที่นางไปพบโดยบังเอิญและต้องการแบ่งให้ทุกคน…

นึกถึงตอนที่หลินเหล่าซาน ( พ่อหลิน ) ยังอยู่ เขาก็คอยช่วยเหลือครอบครัวที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อตนเช่นกัน ทำดีย่อมได้ดี ดูสิ ชีวิตของบ้านตระกูลหลินเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ! ”

เมื่อวังม่านเหนียงได้ยินเช่นนั้นก็มุ่ยปากทันทีและเริ่มคิดว่าเนื้อกวางไม่น่าอร่อยอีกต่อไป “นางเองหรือ ! เสแสร้งน่ะสิไม่ว่า ! แต่ถึงนางจะเสแสร้งอย่างไร บัณฑิตเจียงก็ไม่มีทางชอบนางหรอก ! ”

“แล้วเขาจะหันมาชอบเจ้าหรือ ? ” ผู้ใหญ่บ้านไม่สบอารมณ์แล้ว ใบหน้าเหี่ยวย่นดูหมองคล้ำทันที “ม่านเหนียง บัณฑิตเจียงคนนี้เรื่องสอบซิ่วไฉในอนาคตย่อมไม่มีปัญหาและดูเหมือนเขา…มากพรสวรรค์ คนเช่นนี้ไม่คู่ควรกับครอบครัวเราหรอก ! ”

วังม่านเหนียงอารมณ์เสียยิ่งกว่าเดิม “ท่านปู่ ท่านเป็นผู้ใหญ่บ้าน ส่วนบ้านเขาขายผลไม้อบแห้ง เหตุใดไม่คู่ควรเจ้าคะ ? ข้าไม่คู่ควร แล้วนางหลินโง่คู่ควรหรืออย่างไร ? ”

“อย่าดูถูกคนหนุ่มผู้ยากจน ! เขาอาจเป็นคนสำคัญในภายภาคหน้า ! บัณฑิตเจียงยังเยาว์วัย ในอนาคตเมื่อสอบซิ่วไฉและสอบขุนนางได้แล้ว แม้แต่คุณหนูจวนขุนนางก็ยินดีจะแต่งกับเขา ส่วนเจ้าก็ควรรู้ฐานะตนไว้ด้วย ! ”

น้อยครั้งที่ผู้ใหญ่บ้านจะเข้มงวดกับหลานสาวเช่นนี้ “อย่าเอาแต่เรียกนางหลินโง่ ! หากไม่มีนางหนูรอง แล้วหมู่บ้านเราจะมีระบบชลประทานที่คนอื่นอิจฉาแบบนี้หรือ ไม่มีนางหนูรองก็ไม่มีเมล็ดสนหลายร้อยชั่งกับเนื้อกวางในวันนี้ ! เด็กผู้หญิงสามารถทำตัวบอบบางได้บ้าง แต่จะทำตัวโง่เขลาไม่ได้ ! ”

วังม่านเหนียงเคยโดนท่านปู่ตำหนิอย่างรุนแรงเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด น้ำตาของนางจึงเอ่อล้น ในบ้านหลังนี้นางสามารถทำตัวงี่เง่ากับบิดามารดาได้ แต่กับท่านปู่ไม่ได้ เพราะหากสูญเสียความรักจากท่านปู่ไปแล้ว พวกญาติก็จะปฏิบัติต่อนางด้วยความไม่เท่าเทียม แม้รู้สึกเสียใจและไม่พอใจมาก ท้ายที่สุดนางก็แสร้งพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

วันรุ่งขึ้น นางยังพาน้องชายขึ้นภูเขาไปเก็บผลไม้ป่าแล้วนำไปแลกเงินที่บ้านตระกูลหลิน แน่นอนว่านางไม่มีทางไปแลกเงินด้วยตนเอง หลินเว่ยเว่ยคือขวากหนามในใจนาง ดังนั้นนางจึงทำใจไม่ได้ที่จะลดตัวลงมาเผชิญหน้าด้วย

แต่วังตงเฉียงน้องชายคนเล็กของนางมีท่านปู่คอย ‘ให้ท้าย’ เขาจึงสามารถไปเล่นกับเจ้าหนูน้อยได้อย่างมีความสุข คอยช่วยเกี่ยวหญ้าให้กระต่ายและจับตั๊กแตน หลังเสร็จงานแล้วก็จะได้เนื้อกระต่ายเป็นรางวัลหนึ่งชิ้นใหญ่…อร่อยสุด ๆ ไปเลย !

วันนี้กลิ่นเนื้อตลบอบอวนไปทั่วหมู่บ้านฉือหลี่โกว เพราะแทบทั้งหมู่บ้านล้วนทำเมนูเนื้อกวางให้บุตรหลาน มีเด็กน้อยบางคนถามบิดามารดาอย่างไร้เดียงสาว่า “วันนี้เราฉลองปีใหม่กันหรือ ? ”

เพราะในความทรงจำของพวกเขามีเพียงช่วงฉลองปีใหม่เท่านั้นถึงจะสามารถกินเนื้อได้ ทุกครั้งที่ถามบิดามารดาว่าเมื่อใดจะได้กินเนื้อก็มักได้คำตอบอย่างขอไปทีว่า ‘ตอนฉลองปีใหม่’ ดังนั้นในสายตาของพวกเขาแล้วการกินเนื้อก็คือการฉลองปีใหม่ !

วันรุ่งขึ้น ในขณะที่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ามาได้เล็กน้อย หลินเว่ยเว่ยกำลังอ้าปากหาวและรอพาชายหญิงอีก 70-80 คนเข้าสู่ส่วนลึกของภูเขา ทันใดนั้นประตูบ้านข้าง ๆ ก็เปิดออก หลินเว่ยเว่ยจึงหันไปมองและพบกับใบหน้าหล่อเหลาจนทำให้จิตวิญญาณสั่นสะท้านแห่งยามรุ่งสาง เมื่อมองเพียงครู่เดียวแล้วนางก็ยิ้มทักทายเจียงโม่หาน “บัณฑิตน้อย เช้าถึงเพียงนี้เจ้าตื่นขึ้นมาทำงานหรือ ? ”

เจียงโม่หานยังคงมีสีหน้าเย็นชาแต่ปากก็ตอบว่า “วันนี้ข้าจะขึ้นเขาพร้อมพวกเจ้า”

หลินเว่ยเว่ยมองสำรวจร่างบอบบางของเขาแล้วจงใจแสดงท่าทางหนักใจออกมา “เจ้าหรือ ? ต้องเดินถึง 2 ชั่วยามเชียวนะ เจ้า…จะไหวหรือ ? ”

“บุรุษจะพูดว่า ‘ไม่ไหว’ ได้อย่างไร ? ” เจียงโม่หานกวาดตามองนางอย่างไม่แยแส เขาอารมณ์เสียเพราะเด็กตัวแสบอีกแล้ว…เขากำลังพยายามที่จะทำใจกว้างและไม่ถือสานางอย่างมาก

หลินเว่ยเว่ยกระตุกมุมปากแล้วคลี่ยิ้ม “เอาเถิด ! หากเจ้าเหนื่อยก็บอก อย่าฝืนเชียว…”

“พอ ! ข้าไม่ใช่เยื่อกระดาษเสียหน่อย ! ใช่ว่าจะไม่ได้เรื่องอย่างที่เจ้าคิด ! ” หากยึดตามนิสัยในชาติที่แล้ว ผู้ที่กล้าเอ่ยว่าเขาไม่ได้เรื่อง ป่านนี้คงถูกจับโยนลงหลุมฝังศพไร้ญาติไปนานแล้ว

ระหว่างมารวมตัวกันตรงสี่แยกก่อนขึ้นเขา พวกคนแก่และเด็กทั้งหลายก็ได้เห็นบัณฑิตเจียงในชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ…บัณฑิตเจียงใส่ชุดเหมือนพวกตนไม่มีผิด ทว่ายังเป็นหนุ่มน้อยที่ดูหล่อเหลาไม่ด้อยไปเลย ใบหน้ายังคงเย็นชาดังเดิม

หลิวต้าซวนเอ่ยทักทายเขาก่อน “บัณฑิตเจียง เจ้าก็จะขึ้นเขาเช่นกันหรือ ? ”

“อืม ! ” ไม่เกินความคาดคิด หากไม่ตอบกลับเพียงเสียงในจมูกก็ตอบแค่ไม่กี่คำ มีแต่นางหนูรองตระกูลหลินเท่านั้นที่สามารถดึงคำพูดออกมาจากปากเขาในประโยคยาว ๆ ได้

“เพราะเป็นห่วงน้องรองใช่หรือไม่ ? ” ชายหนุ่มที่แก่กว่าไม่กี่ปีขยิบตาให้เจียงโม่หาน แต่หลังจากโดนสายตาเย็นชากลับมาแล้วสีหน้าก็แข็งทื่อทันที จากนั้นรีบถอยกลับเข้าในกลุ่มฝูงชนอย่างรวดเร็ว พี่ชายที่พูดเล่นกับเขาเช่นนี้ ข้าขอยกนิ้วให้ท่าน…ที่กล้าหยอกล้อบัณฑิตเจียง ช่างกล้ามาก !

ต่อจากนั้นทุกคนก็เดินไปตามถนนบนภูเขาแสนขรุขระ ผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ขากางเกงและรองเท้าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้าง แต่ชาวบ้านฉือหลี่โกวยิ่งเดินยิ่งมีพลัง ยิ่งเดินยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ

โดยเฉพาะคนอายุ 30-40 ปี พวกเขาจำได้ว่าในตอนที่อายุ 14-15 ปี เวลาพวกผู้ใหญ่ในบ้านพาขึ้นเขามาเก็บลูกสนเสร็จแล้ว นานครั้งก็ยังจับไก่ป่าโง่เง่าตัวหนึ่งมาส่งให้ถึงหน้าบ้านด้วย เวลานั้นสัตว์ในหุบเขาไม่ได้ดุร้ายเช่นนี้ ชาวบ้านที่อยู่ติดภูเขาจึงได้มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุขทุกคืนวัน

หลินเว่ยเว่ยเดินไปพลางแอบสังเกตบัณฑิตหนุ่มไปด้วย หืม ร่างกายของเขาใช้ได้เลย ! แม้จะดูลำบากไปหน่อยแต่ก็ไม่เคยอยู่รั้งท้าย

ในเวลาพัก หลินเว่ยเว่ยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้แต่เจียงโม่หานไม่รับไว้ เขาเลือกใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนเพื่อเช็ดเหงื่อบนหน้าผากและคอจนแห้ง หลินเว่ยเว่ยจึงเก็บผ้าเช็ดหน้ากลับแล้วนำกระบอกน้ำที่ใส่น้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณยัดใส่มือเขา

ตอนต่อไป