“หากลองสรุปเรื่องที่คุณศิวะเล่ามาทั้งหมดเมื่อกี้แล้วละก็ ถึงแม้มันจะฟังดูเหมือนกับคุณศิวะโดนช่วยไว้จริงๆ ก็ตาม แต่หากลองมองย้อนกลับไปถึงเหตุและผลตามที่คนที่ชื่ออิโซล่าเล่าให้ฟังแล้วละก็ ไม่ว่าจะฟังยังไงมันก็เป็นการลักพาตัวกันชัดๆ เลยไม่ใช่เหรอคะ? อะ… ขอผ่านค่ะ”
เนียร์พูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งๆ พร้อมกับปฏิเสธการจั่วไพ่เพิ่มจากเจ้ามือพนันที่อยู่หัวโต๊ะ
“เออวะ…จริงด้วย พอลองมาคิดตามที่เธอพูดแล้ว ถึงฉันจะโดนยัยแก่โลลินั้นช่วยเองไว้ก็จริง แต่สุดท้ายมันก็เหมือนกับโดนลักพาตัวมาปล่อยไว้เฉยๆ โดยไม่มีเป้าหมายอะไรเลยนี่หว่า” เขาทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนที่จะค่อยๆ ยิ้มออกมา “เอาเถอะ…ถึงมันจะทำเอาฉันเกือบตายก็จริง แต่ถ้าไม่มีไอ้ ‘การชี้นำ’ ที่ยัยนั้นพูดถึงความฝันลมๆ แล้งๆ ของฉันอาจไม่มีทางเป็นจริงด้วยซ้ำ แถมตัวยัยนั้นก็ไม่มีเจตนาที่จะทำแบบนั้นด้วย ซึ่งถ้าพูดกันตามตรงยังไงก็โกรธยัยแก่นั้นไม่ลงหรอก ขอจั่ว 2 ใบ!!”
ศิวะพูดออกมาอย่างสบายๆ พร้อมกับลงเดิมพันเป็น 2 เท่า ก่อนที่จะรับไพ่ 2 ใบมาจากเจ้ามือพนันที่อยู่หัวโต๊ะ
“หึหึหึ…ฉันรู้สึกได้เลยละว่าครั้งนี้เทพธิดาแห่งโชคลาภต้องอยู่ข้างฉั— เชี่ย…”
ในทันทีที่เขาได้มองไปที่ไพ่ในมือตัวเอง ตัวเขาก็ถึงกับสบถออกมาเบาๆ ก่อนที่จะค่อยๆ หมอบไพ่ลงด้วยสีหน้าเซ็งๆ
“ท่าทีแบบนั้นแสดงว่าได้แต้มรวมเกิน 21 สินะ ให้ตายสิ…นายเนี่ยเล่นพนันไม่ขึ้นเลยนะศิวะ”
จู่ๆ เมียร์ก็โผล่ทางด้านหลังพร้อมกับทำหน้ายิ้มเยาะแล้วมองมาที่เขา
“ชิ…ยัยเด็กนี่… แล้วทางเธอละเป็นยังไงบ้าง เล่นรูเล็ตจบเร็วน่าดูเลยนิ แล้วแทงเสียไป…”
เมื่อหันหลังกลับไปมองเขาก็พบกับชิปจำนวนมากที่ตั้งอยู่บนถาดลอยได้ที่เมียร์นำติดมาด้วย ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นได้แต่เงียบไปพร้อมกับทำหน้านิ่งๆ
“เห~ เมื่อกี้จะพูดอะไรหรือเปล่าศิวะ?”
เมียร์พูดออกมาอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับเดินเข้ามายืนเกาะไหล่อยู่ข้างๆ ชายหนุ่ม
“ปะ…เปล่า~ ไม่มีอะไร~!?”
ชายหนุ่มหันหน้าหลบไปด้านตรงข้ามพร้อมกับแสดงท่าทีทำเป็นไม่สนใจเด็กสาวที่อยูข้างๆ ซึ่งมันช่างไม่เนียนเอาซะเลย
“ฮ่ะฮ่ะฮ่า! ดูทำหน้าเขาสิ มาๆ เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะแสดงให้น้องศิวะดูเอง ว่าการเล่นพนันที่แท้จริงมันเป็นยังไง!!”
เมียร์หัวเราะออกมาพร้อมกับเดินไปนั่งอยู่ข้างน้องสาวของเธออย่างรวดเร็ว
“ให้ตายสิ… ยัยเด็กนี้นี่มันน่านัก…”
ชายหนุ่มกำหมัดนิดๆ และเหลือบมองเนียร์เมียร์ที่นั่งด้วยกันข้างๆ เขา โดยที่รอบๆ ตัวพวกเธอทั้งคู่นั้นเต็มไปด้วยกองชิปเดิมพันจำนวนมากที่ได้มาจากการชนะพนัน ด้วยความรู้สึกกลัวนิดๆ กับความสามารถในการเล่นพนันของพี่น้องคู่นี้
เอาจริงๆ เขาก็รู้ตัวดีว่าตัวเขานั้นเล่นพนันมือไม่ค่อยขึ้นจริงๆ แต่ว่ายัยพี่น้องสองคนนี้มันจะเล่นกันเก่งเกินไปไหม? อีกอย่างถ้าพวกเธอเล่นกันเก่งขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เก็บเงินจากการเล่นพนันแล้วเอาเงินนั้นไปซื้อไอ้น้ำอมฤตละฟะ!?
“ถ้าพวกเธอเล่นพนันกันเก่งขนาดนี้ ไหงไม่ใช้โอกาสนี้เก็บเงินจากตรงนี้แล้วไปเข้าร่วมงานประมูลแทนเลยละ?”
เนียร์ที่กำลังนั่งคุยกับน้องของเธออยู่ เมื่อได้ยินคำถามออกมาจากปากของศิวะ ตัวเธอก็ได้ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะพูดไปที่เขาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ที่ถามออกมาแบบนั้น นี่นายใช้หัวคิดแล้วแน่นะศิวะ?”
“เยสเซอร์~ แน่นอนว่าคิดมาอย่างดีแล้ว”
เขามองไปที่เมียร์แล้วทำหน้าเก๊กหล่อใส่ไปหนึ่งทีพร้อมกับพูดตอบออกมาไปอย่างมั่นใจ
“เอ่อ…ถ้าจะให้ทำแบบนั้นในเวลาแค่นี้ ยะ…ยังไงคงไม่ไหวหรอกค่ะคุณศิวะ”
“ไม่ไหว? ไหงเป็นงั้นละ?”
เมียร์ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจก่อนที่จะดีดชิปหนึ่งเหรียญมาทางชายหนุ่ม ซึ่งแน่นอนว่าตัวเขานั้นใช้มือรับมันได้อย่างสบายๆ พร้อมกับจ้องมองมันด้วยความสงสัยกับการกระทำของเด็กสาวคนพี่
“หืม…? ชิปนี้มัน…ถ้าจำไม่ผิดชิปนี้เป็นชิปที่มีมูลค่าสูงสุดนี่นา จะว่าไปพวกเธอก็ได้ไอ้เจ้าชิปตัวนี้มาเพียบเลยไม่ใช่เหรอ ถ้าเก็บอีกสักหน่อยแล้วเอาไปแลกเป็นเงิน ก็น่าจะได้มากพอที่จะเข้าไปแข่งประมูลสู้กับชาวบ้านได้อยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“เฮ้อ… ถ้ามีเวลามากกว่านี้สักเดือนหนึ่งก็พอจะเป็นไปได้อยู่หรอก นี่สรุปแล้วนายเข้าใจเป้าหมายที่พวกเรามาที่นี่กันจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย? เนียร์ช่วยทำนั่นให้หน่อยสิ”
“ค่ะพี่… ศิวะเองก็ด้วยนะคะ ช่วยจับมือฉันเองไว้ด้วยค่ะ”
เนียร์ยืนมือเล็กๆ ของเธอมาทางเขา ซึ่งแน่นอนว่าตัวเขาที่เห็นแบบนั้นก็ค่อยๆ ยืนมือไปจับมือของเนียร์ไว้
“จับมือ? อีกแล้วเหรอเนี่ย…”
ในขณะที่เขากำลังจับมือของเนียร์อยู่นั้นเอง ตัวเขาจะรู้สึกเหมือนกับได้เสียงคล้ายกันเสียงกระดิ่งดังขึ้นในหัวเขาพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นในหัวของเขา
“หืม? เสียงเมื่อกี้มัน…”
เนียร์ (ได้ยินเสียงของหนูหรือเปล่าคะคุณศิวะ?)
“หืม!? ไอ้นี่มันหรือว่าจะเป็น!!? อุ๊ปๆ ฮืม!!?”
ในจังหวะที่เขากำลังจะพูดต่อ ตัวเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองโดนอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็นกำลังออกแรงปิดปากเขาไว้อยู่
เมียร์ (เงียบๆ หน่อยสิยะ!! ถ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดในใจเอา! ถ้าเข้าใจก็พยักหน้าหนึ่งที)
เขาพยักหน้าไปตามที่เมียร์บอกก่อนปากของเขาจะเริ่มขยับได้ดังเดิม
ศิวะ (ว้าว…เทเลพาธีละโว้ย! สุดยอด… ว่าแต่ทำไมต้องพวกเรามาคุยกันในนี้ด้วยละ?)
เมียร์ (เพราะใกล้จะถึงเวลาเริ่มแผนแล้วยังไงละ แล้วได้ข้อมูลว่ายังไงบ้างเนียร์?)
เนียร์ (ระบุตำแหน่งแผนที่ทางเดินภายในกับวิเคราะห์เส้นทางเดินตรวจตราของพวกการ์ดแมนเสร็จแล้วค่ะพี่ ตำแหน่งที่ตั้งของที่เก็บน้ำอมฤตเองก็ทำการยืนยันได้แล้ว พร้อมลงมือตามแผนได้ทุกเมื่อเลยค่ะ)
เมียร์ (อืมๆ สมแล้วที่เป็นน้องสาวฉัน!)
เมียร์ยิ้มออกมาอย่างร่าเริงพร้อมกับเอนตัวไปกอดน้องของเธออย่างอารมณ์ดี ในขณะที่ตัวของเนียร์ได้ก้มหน้าลงพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความเขินอาย
ศิวะ (เป็นพี่น้องรักใคร่กันดีจังเลยนะพวกเธอเนี่ย แล้วเอาไงต่อ…จะไปกันเลยดีไหม?)
เขาเอามือเท้าควงพร้อมกับมองเด็กทั้งคู่อย่างอารมณ์ดี และในขณะเดียวกันก็ได้มีเสียงประกาศตามสายดังก้องไปทั่วทั้งคาสิโนอย่างรวดเร็ว
{ขอเรียนเหล่าแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ในขณะทางเราได้จัดเตรียมการแสดงสุดพิเศษเพื่อความสนุกของทุกท่านที่บริเวณโซนสนามประลองของคาสิโนในอีก 10 นาทีต่อจากนี้ หากท่านใดมีความสนใจที่จะร่วมสนุกในการแสดงครั้งนี้หรือต้องการผู้นำทาง ท่านสามารถติดต่อพนักงานที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้ทุกเมื่อ ขอบคุณค่ะ…}
เมื่อเหล่าคนที่ร่วมงานได้ฟังประกาศจนจบ พวกแขกหลายๆ คนที่จู่ๆ ก็ได้ยินเรื่องแบบนั้น ก็ได้เริ่มแสดงท่าทีที่ดูตื่นเต้นออกมา ก่อนที่ในเวลาต่อมาผู้คนเหล่านั้นจะเริ่มค่อยๆ ทยอยกันออกจากโซนรับแขกและพากันเดินไปยังสนามประลองของคาสิโนอย่างรวดเร็ว
เมียร์ (ได้จังหวะพอดีเลยแฮะ… ถ้างั้นเรามาเริ่มลงมือกันเลยเถอะ ฝากนำทางด้วยนะเนียร์)
เนียร์ (เข้าใจแล้วค่ะพี่ ไปกันเถอะค่ะคุณศิวะ)
เมียร์ลุกออกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วพร้อมกับหันกลับมาหาเขาสีหน้าจริงจัง
เมียร์ (อ้อ…แล้วก็อีกอย่างนะศิวะ จากนี้พวกเราจะใช้เครือข่ายโทรจิตของเนียร์เป็นหลักเพื่อความง่ายในการสื่อสาร ยังไงก็ช่วยพยายามทำความคุ้นชินหน่อยก็ดีนะ จะได้เคลื่อนไหวกันได้ง่ายขึ้น)
ศิวะ (ถึงจะบอกว่าให้ทำความคุ้นชินก็เถอะ แต่เอาจริงๆ มันก็ไม่เห็นจะยุ่งยากอะไรเลยนิ อ๊ะ?!)
ในจังหวะที่ศิวะกำลังลุกออกจากโต๊ะนั้นเอง ด้วยความที่ตัวเขานั้นกำลังสวมหน้ากากอยู่ทำให้เขาไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนเดินอยู่ข้างหลังจนตัวเขาเผลอไปชนคนคนนั้นเข้า ส่งผลอีกฝ่ายล้มลงไปกองกับพื้นในทันที
“ชิบหายละ!? ขะ…ขอโทษนะครับ! เป็นอะไร… โอ๊ะ~ แม่เจ้าโว้ย!!?”
เมื่อเขาหันไปมองคนที่ล้มอยู่ตัวเขาก็ถึงกับหลุดปากอุทานออกมาเสียงดังเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น เป็นสาวสวยผมดำในชุดราตรีสีขาวพร้อมไฟหน้าขนาดใหญ่สุดเซ็กซี่ กำลังพยายามคลำหาแว่นตาของเธอที่ตกอยู่กับพื้นด้วยท่าทีดูป้ำๆ เป๋อๆ
“หืม… แว่นตาๆ อยู่ไหนกันนะเจ้าค่ะ…”
“อะ…อะไรจะเบิ้มๆ คือลือขนาดนี้ กะ…เกือบเท่าลูกส้มโอเลยมั้งนั้น!?”
ศิวะทีได้เห็นเธอเป็นครั้งแรกนั้นก็ถึงกับตกตะลึงกันความงามและ ‘ความใหญ่’ ของคนที่อยู่ตรงหน้าไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเริ่มกลับมารู้สึกตัวว่าตัวเองพึ่งกระทำอะไรลงไป
“ขะ…ขอโทษจริงๆ นะครับ เอ่อ…แว่นๆ อ๊ะ! เจอแล้ว…”
เขามองดูไปรอบๆ จนพบว่าแว่นตาของสาวสวยตรงหน้าตกอยู่ไม่ห่างจากเขามากนัก ตัวเขาจึงพยายามจะเอื้อมมือไปหยิบมันมาให้เธอ แต่ว่าในจังหวะที่มือของเขาใกล้จะไปถึงมัน ก็ได้มีมือปริศนาพุ่งมาหยิบมันไปก่อนอย่างรวดเร็ว
“แว่นตาอยู่นี่ครับคุณไลบรา”
ชายหนุ่มสวมหน้ากากในชุดสูทสีขาวยืนแว่นตาไปให้หญิงสาวตรงหน้าพร้อมกับยื่นอีกข้างไปดึงตัวเธอขึ้นมาด้วยท่าทีที่ดูโคตรสุภาพบุรุษ ในขณะที่ตัวหญิงสาวค่อยๆ ยิ้มออกมาพร้อมกับรับแว่นตาของเธอกลับมาใส่ตามเดิม
“ขอบคุณนะเจ้าค่ะท่านเทน— อะแฮ่ม! คุณผู้ช่วย…”
“ด้วยความยินดีครับท่านไลบรา”
เนียร์ (คะ…คุณศิวะค่ะ!?)
เมียร์ (ทำบ้าอะไรของนายเนี่ยศิวะ!?)
เมียร์และเนียร์ที่เห็นว่าศิวะเผลอไปมีกับคนแปลกหน้าจึงรีบเดินมาหาเขาในทันที
“เอ่อคือ… พวกเราต้องขอโทษจริงๆ นะคะที่— เอ๊ะ…?”
เมื่อทั้งคู่เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า พวกเธอก็ถึงกับตกใจจนเผลอหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ไม่นานพวกเธอทั้งคู่จะรีบก้มหัวลงเพื่อแสดงความขอโทษอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วและลากตัวศิวะออกมาจากที่ตรงนั้นโดยมีชายชุดขาวสวมหน้ากากจ้องมองพวกเขาอยู่เบื้องหลัง
“ดูเหมือนจะถูกรังเกียจน่าดูเลยสินะครับ… ต้องขอโทษจริงๆ นะครับไลบรา ที่แผนการบ้าๆ ของผมทำให้ต้องเดือดร้อนแบบนี้”
“เรื่องนั้นมันก็ช่วยไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ถ้าคิดจะหลอกอีกฝ่ายก็ต้องหลอกฝ่ายเดียวกันให้ได้ซะก่อน อีกอย่างตัวดิฉันเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียงชื่อเสียอยู่แล้วด้วย ถ้าแค่โดนรังเกียจแล้วสามารถแก้ปัญหาที่คาราคาซังมาหลายทศวรรษนี้ได้ละก็ ยังไงมันก็คุ้มค่าแล้วละเจ้าค่ะ”
ชายสวมหน้ากากที่ได้ยินที่เธอพูดแบบนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรก่อนที่จะค่อยๆ ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เอาเป็นว่าหลังจากจบงานนี้เรื่องชื่อเสียงของเธอ เดี๋ยวผมจะเป็นคนหาทางนำมันกลับคืนมาให้เองแล้วกันนะครับ ผมของสัญญาเลย”
ไลบรามองไปยังชายตรงหน้าด้วยสีหน้าตกใจนิดๆ กับคำพูดของอีกฝ่ายก่อนที่ไม่นานเธอจะค่อยๆ ยิ้มพร้อมกับหัวเราะออกมานิดๆ
“ว่าแล้วเชียวคุณท่านเนี่ยถึงจะดูเข้มแข็งและเลือดเย็นขึ้นกว่าเมื่อก่อนก็จริง แต่คุณท่านก็ยังคงเป็นคุณท่านคนเดิมของพวกเราเสมอมาเลยสินะเจ้าค่ะ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะคุณท่าน… คำมั่นนั้นดิฉันขอรับไว้ด้วยความยินดีเลยเจ้าค่ะ!”
พวกเขาทั้งคู่จ้องมองหน้ากันเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มให้กันเล็กน้อย
แต่ในจังหวะนั้นเองเมื่อพวกเขาทั้งคู่สัมผัสได้ว่ามีคนกำลังเข้ามาใกล้ พวกเขาก็เริ่มปรับอารมณ์พร้อมกับทำตัวเป็นปกติ
“ยินดีต้อนรับสู่งานเลี้ยงค่ะคุณไลบรา ท่านเนบิสกำลังรออยู่พอดีเลยค่ะ”
หญิงสาวผมดำในชุดเมดสีดำเดินเข้าโค้งคำนับพวกเขาทั้งคู่ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์อย่างถึงขีดสุดจนชายหนุ่มสวมหน้ากากเริ่มจ้องมองเธอด้วยความสงสัย
“เข้าใจแล้วจ้ะ… ฝากช่วยนำทางหน่อยได้ไหมวีร์?”
“เข้าใจแล้วค่ะคุณไลบรา แต่ว่าบุคคลที่อยู่ข้างๆ และไม่มีชื่ออยู่ในรายชื่อแขกของงานนี้เป็นใครเหรอคะ?”
วีร์จ้องมองไปยังชายสวมหน้ากากในสภาพที่เหมือนกับว่าพร้อมจะกำจัดอีกฝ่ายได้ทุกเมื่อหากคำตอบของหญิงสาวตรงหน้าไม่มีเหตุผลมากพอ
“แหม่ๆ ไม่ต้องแสดงท่าทีเคร่งเครียดขนาดนั้นก็ได้จ้ะวีร์ แล้วก็สุภาพบุรุษท่านนี้คือผู้ช่วยคนใหม่ของฉันเองละจ้ะ ถึงแม้จะยังดูเด็กก็จริงแต่ฝีมือยอดเยี่ยมสุดๆ วันนี้ฉันเลยว่าจะพาเขามาแนะนำให้กับท่านเนบิสน่ะจ้ะ”
“ผม จอห์น ครับ ขอฝากตัวด้วยนะครับ…”
ชายหนุ่มมองไปยังวีร์ด้วยท่าทีนิ่งๆ พร้อมกับพยักหน้าเป็นการทักทายอีกฝ่ายเล็กน้อย
วีร์ยังคงจ้องมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆ กลับมาอยู่ท่าทีปกติของเธอ
“ทำการยืนยันสิทธิ์เรียบร้อย… เชิญตามมาทางนี้เลยค่ะ”
เมื่อพูดจบวีร์ก็เริ่มเดินนำหน้าไปพวกเขาที่เห็นแบบนั้นจึงเดินตามเธอไปติดๆ ในขนาดที่ตัวชายหนุ่มสวมหน้ากากได้แต่จ้องมองไปยังเมดผมดำตรงหน้าด้วยท่าทีอึดอัดใจ
“คุณไลบราครับ เด็กคนนี้นะ…”
“ถึงจะดูไม่เหมือนแต่ก็เป็นอย่างที่คิดไว้นั้นละเจ้าค่ะ ตัวตนแห่งความอัปยศที่เป็นผลจาก 1 ใน 4 อาวุธทำลายล้างของเผ่าอาล์ฟที่ใช้ศพของสิ่งมีชีวิตเป็นตัวตั้งต้นเพื่อสร้างกองทัพอมตะในยุคสงครามมหาดารา ชีวะจักรกลวิญญาณ แฟนทัสม่า (Phantasma) เจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มที่ได้ยินแบบนั้นก็เริ่มแสดงท่าทีไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่พึ่งได้ยินไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกลับมาอยู่ในท่าทีนิ่งเงียบตามเดิม แต่ถึงกระนั้นความรู้สึกลึกๆ ในใจของเขากับไม่ได้สงบลงแม้แต่น้อย
“บัดนี้ทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว โปรดกระทำตามเจตจำนงเถิดเจ้าค่ะ”
เนบิส อินิกม่า ทุรชนผู้ชักใยแห่งแดนเบื้องหลัง… เวลาแห่งการพิพากษาได้มาถึงแล้ว
***
ในขณะเดียวกันทางด้านของศิวะที่โดนเมียร์กับเนียร์ลากตัวออกมานั้นเอง
“ดะ…เดี๋ยวสิพวกเธอ!? ฉันรู้ว่ากำลังรีบกันอยู่… แต่ไม่ต้องมาฉุดกระชากตัวฉันขนาดนี้ก็ได้—”
“ทำไมนายถึงยังทำตัวใจเย็นแบบนี้ได้อีกเนี่ย!? นี่นายไม่รู้เลยเหรอว่าคนที่นายพึ่งชนจนล้มไปเมื่อกี้เธอเป็นใคร!!”
“พะ…พี่ค่ะ… ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ คุณศิวะแค่เผลอไปชนเข้าเฉยๆ เองนะคะ แถมดูเหมือนทางนั้นเองก็ไม่ได้คิดจะ…”
“เดี๋ยวๆ นี่พวกเธอพูดเรื่องอะไรกันอยู่เนี่ย!? จะว่าไปแล้วอาเจ้หุ่นดินระเบิดสุดสวยเมื่อกี้เป็นใครงั้นเหรอ?”
สองพี่น้องที่จู่ๆ ก็ได้ยินคำนั้นออกมาจากปากของชายหนุ่มที่ได้แต่มองมาที่เขาด้วยสีหน้าดูตกใจนิดๆ กับความที่ไม่รู้อะไรเลยของชายหนุ่มก่อนที่จะค่อยๆ ถอนหายใจออกมาพร้อมกับมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ดูเป็นห่วงเป็นใย
“ยะ…แย่ละสิ… ดูเหมือนว่าหมอนี้จะอาการหนักกว่าที่คิดไว้ซะอีก”
“บะ…แบบว่านี้มันแปลกเกินไปแล้วนะคะ?? อะ…เอ่อคือ!! ก่อนที่จะมาที่นี่ มะ…ไม่สิ! ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณศิวะไปใช้ชีวิตแบบไหนมากันเหรอคะ!?”
“เอ๊ะ!? หรือว่าสาวสายเมื่อกี้นางเป็นดาราใหญ่ระดับจักรวาลงั้นเหรอ!! อีกอย่าง…ไหงจู่ๆ ถึงถามอะไรแบบนั้น ดะ…เดี๋ยวสิ อยู่ๆ มามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นหมายความว่าไง!!?”
“ดะ…ดูเหมือนคุณศิวะจะไม่รู้อะไรจริงๆ สินะคะ”
“ไม่! ไม่! แบบนี้นะเรียกว่าไม่รู้เฉยๆ ไม่ได้หรอกนั้นนะความรู้พื้นฐานในสังคมเลยนะ นี้นายโดนใครจับไปล้างสมองมาหรือเปล่าเนี่ย?”
“เดี๋ยวๆ แล้วไหงเรื่องมันถึงลามกลายเป็นแบบนั้นได้ละเนี่ย!? แล้วสรุปผู้หญิงความเมื่อกี้เป็นใคร? ไม่สิ…การที่พวกเธอมีท่าทีแบบนี้ ระ…หรือว่าคุณพี่สาวอกใหญ่ไซซ์สะบึมสุดสวยเมื่อกี้จะเป็นพวกเดียวกับไอ้สาระชั่วพวกนี้งั้นเหรอ!!?”
“เห๋…สำหรับคนที่ไม่รู้อะไรเลยถือว่าเดาได้เก่งดีนิ แต่ถ้าให้อธิบายแบบเต็มๆ ยัยนั้นคือ ไลบราเป็นผู้ควบคุมจัดการโคโลนี่แห่งนี้แถมยังเป็น 1 ใน 12 คนที่ได้รับความไว้วางใจจาก ‘แกรนด์มาสเตอร์ เทนโด’ ซึ่งเป็นผู้ตัวกลางในการเซ็นสัญญาสงบศึกเพื่อหยุดมหาสงครามของจักรวรรดิไอริสกับสหภาพอวกาศลามิน่าเมื่อเกือบ500ปีก่อน แถมยังเป็นก่อตั้งองค์กรกลางระหว่างอวกาศเอลิเซียมและยังผู้สร้างโคโลนี่ทั้ง 12 แห่งทั่วทั้งจักรวาลยังไงละ”
“เดี๋ยวนะ… จากที่ฟังๆ มาก็ดูเหมือนจะเป็นลูกน้องของพวกคนใหญ่คนโตเลยไม่ใช่เหรอ แล้วไหงจู่ๆ อาเจ้นั้นถึงลดตัวมากลายเป็นพวกเดียวกับไอ้พวกสาระชั่วนี้ได้ละ— อุ๊ป!?”
จู่ๆ ปากของเขาก็ถูกอะไรบางอย่างอุดไว้อีกครั้งพร้อมกับมีมือของเมียร์มาขว้างเขาไว้เพื่อกันไม่ใให้เขาเดินไปต่อ
เมียร์ (เงียบก่อน… เนียร์ฝากจัดการปลดระบบตรวจจับตรงนี้ให้หน่อย)
เนียร์ (ทำการปลดเรียบร้อยแล้วค่ะพี่)
ทันใดนั้นเองเบื้องหน้าเขาก็มีเส้นเลเซอร์สีขาวรางๆ จำนวนมาก ปรากฏขึ้นตรงตลอดทางเดินเป็นแนวยาว ก่อนที่มันจะเริ่มหายไปอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นาน
ศิวะ (เจ็ตเข้…เท่อย่างกับในหนังเลยวุ้ย! จะว่าไปต่อจากที่เธอเล่ามาเมื่อกี้…)
เนียร์ (พี่ค่ะมีการ์ดแมนสองคนกำลังเดินมาทางนี้)
เมียร์ (เข้าใจแล้ว นายเองก็มาทางนี้เลยศิวะ ได้เวลาลงมือตามแผนแล้วมาช่วยกันหน่อย ว่าแต่เมื่อกี้นายจะถามอะไรเหรอ)
ศิวะ (เฮ้อ… ช่างมันเถอะ)
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ เพื่อปรับอารมณ์ ก่อนที่เขาจะหยิบเพชรสีขาวออกมาจากข้อมือด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังและแปลงร่างเป็นอีกร่างอย่างรวดเร็ว
“มาลุยให้มันจบๆ ไปเลยดีกว่า!!”
ทันใดนั้นเองก็ได้มีการ์ดแมนสองคนที่ได้ยินเสียงแปลกๆ ก็ได้เดินมายังจุดที่พวกเขาอยู่อย่างรวดเร็ว
“พวกแกเป็นใครกันเข้ามาที่—อุ๊ป?”
เมียร์ที่กำลังตกใจได้ใช้พลังจิตของเธอล็อกตัวอีกฝ่ายจนล้มลงไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่อีกคนที่อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่าคู่หูที่มาด้วยกันถูกจัดการไปแล้วจึงพุ่งเข้าใส่เนียร์ที่อยู่ข้างๆ เพื่อหวังว่าจะสามารถจัดการอีกฝ่ายได้สักคน
“พวกแกกล้าดียังไงมาทำกับคู่หูฉันฟะ!!”
แต่ในจังหวะที่ใกล้จะถึงตัวอีกฝ่าย ตัวเขาก็โดนศิวะที่ยืนอยู่ข้างๆ เนียร์ ยื่นเท้าออกมาถีบยอดหน้าเขาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ในเวลาต่อมาหัวของเขาจะโดนคนตรงหน้าใช้มือจับไว้พร้อมกับถูกดึงไปกระแทกกับหัวเข่าของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงจนสิ้นสติไปในที่สุด
“เก็บไปหนึ่ง… แล้วทางนั้นละ— อ๊ะ?”
จู่ๆ เมียร์ที่อยู่ข้างๆ ก็เอามือของเธอมาทุบขาเขารัวๆ ด้วยทาทีที่ดูโมโหสุดๆ ในขณะที่เนียร์ที่อยู่ข้างๆ ก็ทรุดลงไปนั่งกับพื้นด้วยท่าทีดูเหนื่อยๆ
เมียร์ (ศิวะ! ไอ้บ้า! ไอ้บ้า!! จู่ๆ นายจะตะโกนทำไมย่ะ! ฉันก็บอกอยู่ว่าต่อจากนี้เราจะใช้วิธีนี้สื่อสารกัน! รู้ไหมถ้าเมื่อกี้เนียร์ไม่รีบแก้งานให้ละก็ แผนของพวกเราคงพังไม่เป็นท่าแล้วแน่ๆ!!)
เนียร์ (กะ…เกือบไปแล้วค่ะ… ถ้าเมื่อกี้พลาดไปแม้แต่เสี้ยววิละก็มีหวัง….)
“เอ๊ะ!? อ๊ะ! โทษที… พอดีมัวแต่นึกเรื่องอาเจ้นั่นจนลืมไปซะสนิทเลย”
“ไอ้บ้าศิวะ!! อย่างน้อยๆ ก็— ขะ…แข็ง!!”
เมียร์พูดออกมาอย่างหัวเสียพร้อมกับใช้มือของเธอทุบไปที่ตัวศิวะอย่างเต็มแรง แต่ว่าด้วยความแข็งของตัวชายหนุ่มมันเลยส่งผลทำให้เธอรู้สึกเจ็บมือตัวเองขึ้นมาแทน
“นะ…นี่สรุปแล้วร่างกายนายนี้มันยังไงเนี่ยศิวะ!? แล้วไอ้ท่าทีเอ๋อๆ แบบนั้นมันอะไรกัน!? ทำผิดก็หัดสำนึกผิดบ้างสักนิดสิยะ!!”
“ไอ้รู้สึกผิดมันก็รู้สึกผิดอยู่หรอก แต่ก็นะ…ถึงมันจะผิดแผนไปบ้างแต่สุดท้ายก็ออกมาเรียบร้อยดีเลยไม่ใช่เหรอ ลืมๆ แล้วรีบไปต่อกันเถอะ”
ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยนำเสียงร่าเริงพร้อมพยายามเก๊กหน้าหล่อใส่เด็กสาวคนพี่ที่อยู่ตรงหน้าเพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายเลิกโมโหใส่เขา
แต่ว่าดูเหมือนว่าแผนของเขามันจะไม่ได้ผล เมียร์ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าเย็นชาพร้อมกับใช้พลังจิตของเธอจับตัวศิวะลอยขึ้นพร้อมกับทำให้ร่างกายของชายหนุ่มหมุนควงสว่าน 360 องศาอยู่กลางอากาศแบบนั้นอยู่สักพัก
“อย่ามาพูดเหมือนกับคนก่อเรื่องไม่ใช่นายสิยะไอ้โง่ศิวะ!!”
“อ้าก!!? ขะ…ขอโทษครับ! ขอประทานโทษจริงๆ ครับ!! อุ๊ป!? ยะ…หยุดทีเถอะ ขะ…ของเก่ามันจะ…”
“พะ…พอก่อนเถอะค่ะพี่ ตอนนี้เราต้องแข่งกับเวลาแล้วนะคะ คุณศิวะเองก็ด้วย จริงอยู่ว่าแผนกว่านี้มันอาจจะยากเกินไปสำหรับคุณศิวะ แต่อย่างน้อยๆ ก็ช่วยทำตามที่เราบอกหน่อยเถอะนะคะ ขอร้องละค่ะ…”
ศิวะค่อยถูกว่าลงอย่างช้าๆ พร้อมกับมีอาการมึนหัวเหมือนจะอ้วกออกมาเล็กน้อย
“กะ…เกือบไปแล้ว… ขอบคุณนะเนียร์ แล้วก็เรื่องเมื่อกี้ต้องขอโทษจริงๆ จะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้วครับ”
“เฮ้อ… ขอให้มันจริงเถอะ แล้วพวกเราต้องไปทางไหนต่อเนียร์?”
“สะ…สักครู่นะคะ เอ…อ๊ะ ตามมาทาง—”
{เหตุฉุกเฉิน!! เหตุฉุกเฉิน!! ขอแจ้งให้หน่วยรักษาความปลอดภัยทุกหน่วยเร่งรุดไปยังที่เกิดเหตุเพื่ออพยพแขกโดยด่วน ขอย้ำอีกครั้ง…}
ในจังหวะที่เนียร์กำลังจะพูดต่อในเอง จู่ๆ เสียงสัญญาณแจ้งเตือนก็ดังขึ้นไปทั่วทั้งคาสิโนพร้อมกับเสียงระเบิดที่เริ่มดังขึ้นเป็นช่วงๆ
“เอ๊ะ!? เอ๋!!? ไหงจู่ๆ สัญญาณแจ้งเตือนถึงดังขึ้นมาได้ละ!! ระ…หรือว่าเป็นเพราะที่พวกเราเผลอร้องตะโกนออกไปกันเมื่อกี้งั้นเหรอ!!?”
“เอ๊ะ!? ถะ…ถ้างั้นรอบนี้ฉันก็เป็นคนผิดงั้นเหรอ!!? ยะ…แย่ละสิ! ทะ…ทำยังไงดีละเนียร์!? นะ…หนีไปตั้งหลักก่อนกันอีกสักรอบก่อนดีไหม?”
เมียร์วิ่งเข้าไปจับมือน้องสาวของเธอด้วยท่าทีร้อนรนพร้อมกับพยายามจะพาตัวน้องสาวของเธอหนีออกจากที่นี่
แต่ว่าเนียร์นั้นกับไม่ได้ขยับไปไหน พร้อมกับเริ่มหลับตาตั้งสมาธิอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อยๆ เริ่มลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ฟู่… โชคดีจริงๆ ที่ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ไม่ต้องกังวลแล้วละค่ะพี่… ดูเหมือนว่าสัญญาณแจ้งเตือนเมื่อกี้จะไม่ใช่ของพวกเรา แต่เป็นอุบัติเหตุที่จากสนามประลองที่อยู่ใกล้ๆ นี้นะคะ”
เมื่อเมียร์กับศิวะที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ถอนหายใจพร้อมกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
“เมื่อกี้เล่นทำเอาหัวใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยแฮะ… แล้วเองไงต่อดีละที่นี่”
“นายเนี่ยชอบพูดพึมพำอะไรแปลกๆ อยู่เรื่อยเลยนะ แต่เมื่อกี้ก็เกือบไปแล้วเหมือนกัน… ยังไงรอบนี้นายก็ช่วยทำตามแผนดีๆ หน่อยเถอะ ถือว่าฉันขอร้องละนะศิวะ…”
เมียร์พูดขอร้องออกมาด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่ดูจะเอือมระอากับชายตรงหน้า โดยที่ลึกๆ แล้วเธอยังคงคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะฟังที่เธอพูดบ้างสักนิดก็ยังดี
“ไม่ต้องห่วงไปหรอกน่า…”
ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนที่จู่ๆ เขาจะหยุดพูดไปพร้อมกับยกนิ้วโป้งไปที่เด็กทั้งสองคนพร้อมกับยิ้มออกด้วยความมั่นใจเติมร้อย
ทั้งคู่ที่เห็นว่าศิวะกำลังทำท่าทีแปลกๆ พร้อมกับยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไรแบบนั้นก็ได้แต่สงสัย ก่อนที่ไม่นานเนียร์จะแสดงสีหน้าตกใจนิดๆ เพราะเธอเริ่มรู้ตัวแล้วว่าชายตรงหน้ากำลังพยายามทำอะไรอยู่
“อะ…เอ่อคือคุณศิวะค่ะ”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงกระดิ่งดังขึ้นในหัวของเขาพร้อมกับเสียงของเนียร์ที่เหมือนกับกำลังพยายามกลั้นขำอยู่
เนียร์ (อุ๊ป! ขะ…ขอโทษจริงๆ นะคะคุณศิวะ… พะ…พอดีเมื่อกี้หนูต้องใช้สมาธิมากว่านิดหน่อยก็เลยเผลอตัดการเชื่อมต่อไป ตะ…ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ ที่เผลอให้ทำอะไรน่าอายแบบนั้นออกมา)
“เอ๊ะ? ถ้างั้นประโยคเท่ๆ ที่ฉันพูดไปเมื่อกี้ก็…”
เมียร์ (ฮ่ะฮ่ะฮ่า! ครั้งแรกก็แบบนี้ละ ไม่ต้องอายไปหรอกนะศิวะ)
“เดี๋ยวๆ แล้วมันเป็นเรื่องน่าอายตรงไหนฟะ! นี้ฉันต้องอายด้วยเหรอ!? อีกอย่างนี่มันมุกบ้าอะไรของพวกเธอ… หืม!!?”
ตู้ม!!
ชายหนุ่มยืนมือทั้งสองข้างไปคว้าตัวเนียร์และเมียร์อย่างรวดเร็วพร้อมกับในจังหวะเดี๋ยวกัน จู่ๆ ผนังทางเดินที่อยู่ไม่ห่างจากพวกเขามากนั้นได้พังทลายลง จนเกิดฝุ่นผงจำนวนมากกระจายไปรอบๆ จนบดบังทัศนวิสัย
“แค่กๆ พวกเธอทั้งคู่ไม่เป็นอะไรนะ… เอ๊ะ?”
“มะ…ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะคุณศิวะ…”
“แค่ก!!ๆ ฝุ่นเยอะชะมัด ว่าแต่แรงระเบิดเมื่อกี้นี้มันอะไร… หืม? ทำหน้าอะไรของนายนะศิ… หว้าาาา~!”
แม้ว!!
ชายหนุ่มรีบใช้เท้าของเขาดันไปที่พื้นอย่างรวดเร็วเพื่อหลบอะไรบางอย่าง ก่อนที่ในชั่วพริบตาต่อมาจะมีลำแสงสีรุ้งพุ่งมาเฉียดปลายผมของเขาจนเกิดรอยไหม้นิดๆ
“เลเซอร์สีรุ้งกับไอ้เสียงแสบแก้วหูแบบนี้มัน… หรือว่า!?”
แม้ว!! แม้ว!! แม้ว!!
ลำแสงสีรุ้งหลายเส้นถูกยิงออกมาอย่างรวดเร็วโดยมันได้เล็งมาที่ตัวเขาตรงๆ ซึ่งแน่นอนว่าเขาได้โยนตัวเด็กทั้งสองคนออกไปให้ห่างๆ พร้อมกับพยายามหลบลำแสงเหล่านั้นอย่างล้มลุกคลุกคลานพร้อมกับเพ่งมองไปยังอีกฟากของกลุ่มควันที่เริ่มค่อยๆ เริ่มมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“เอาจริงเหรอว่ะ… นี่เล่นมาไม้นี้จริงดิ!?”
““คุณศิวะลุกไหวหรือเปล่าค่ะ!? / ศิวะไอ้นั่นมันอะไรนะ!!” ”
แม้ววววววววววว!!!
ฝุ่นผงเริ่มจางลงปรากฏร่างของหุ่นยนต์รูปร่างคล้ายอัศวินในเกราะสีเงินที่ขนาดใหญ่พอๆ ตึกสองชั้น กำลังร้องคำรามด้วยเสียงที่กึกก้อง พร้อมกับจ้องมองมาที่ตัวของชายหนุ่มด้วยท่าทีที่เกรี้ยวกราดราวกับสัตว์ป่าที่กำลังบ้าคลั่ง
“ทำไมมันถึงมาอยู่นี่ได้ละ… ไม่สิ! ไม่สิ!! ไหงอยู่ๆ มันถึงเปลี่ยนจากแมวกลายเป็นหุ่นยนต์อย่างกับกันoั้มได้ละว่ะ!!?”
*****