บทที่ 192 ทำลายมัน! 1 (1)

อัลเบิร์ก คอสแมน

สภาพขององค์ชายผู้สูงศักดิ์ในอีกฝั่งหนึ่งของอุปกรณ์เวทย์สื่อสารไม่ได้ดูดีแม้แต่น้อย ชายผู้สง่างามและท่วงท่าไร้ที่ติกำลังเอนหลังพิงโซฟาในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง

“หัวใจของกระหม่อมเจ็บปวดยิ่งนักที่เห็นพระองค์ในสภาพเช่นนี้”

[“โกหก”]

อัลเบิร์กกำลังจะพูดอย่างอื่นต่อแต่ต้องหยุดชะงักไปเมื่อเห็นว่าคาร์ลก็ไม่ได้มีสภาพดีไปกว่าตนเอง นัก เขาจึงเริ่มพูดธุระออกมาทันที

[“เราได้รับแจ้งมาว่าอัศวินของอาณาจักรพารันเคลื่อนทัพเข้าไปยังอาณาจักรนอร์แลนด์แล้ว”]

‘อาณาจักรพารัน’ ‘อาณาจักรนอร์แลนด์’และ‘อาณาจักรอัสโคซาน’

นี่คือชื่อของสามอาณาจักรที่รวมตัวกันในนามพันธมิตรทางตอนเหนือ จากทั้งสามอาณาจักร ‘อาณาจักรนอร์แลนด์’คืออาณาจักรที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของป่าแห่งความมืด หากไม่มีป่าแห่งความมืดกั้นเอาไว้อาณาจักรนอร์แลนด์ก็จะอยู่ติดกับอาณาจักรโรมันทันที

ผู้ส่งข่าวได้ทำลายอุปกรณ์เวทย์สื่อสารทันทีที่ส่งข้อมูลให้กับอาณาจักรโรมันทราบ ผู้ที่ส่งข่าวกลับมาคือดาร์กเอลฟ์ที่ถูกส่งตัวไปสืบข่าวในอาณาจักรนอร์แลนด์ การที่ธาตุประจำตัวของดาร์กเอลฟ์ผู้นี้ไม่หวนกลับมายังอาณาจักรโรมันย่อมหมายความว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่

“เขาจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยพะย่ะค่ะ”

อัลเบิร์กส่งยิ้มให้กับคาร์ลก่อนจะเริ่มพูดต่อ

[“ข้ากำลังร่วมมือกับอาณาจักรเบร็คเช่นกัน..เราจะต้องสืบดูว่าอัศวินของอาณาจักรพารันเคลื่อนทัพไปยังอาณาจักรอัสโคซานด้วยหรือไม่?”]

อาณาจักรอัสโคซานคืออาณาจักรที่อยู่ใกล้กับอาณาจักรเบร็คที่สุดโดยมี‘หุบเขาแห่งความตาย’กั้นกลางระหว่างพวกเขาไว้

“กระหม่อมคาดว่าอัศวินของอาณาจักรพารันจะต้องเดินทางไปที่อาณาจักรอัสโคซานอย่างแน่นอน”

[“จริงอย่างที่เจ้าว่า”]

ตามที่สายข่าวส่งข้อมูลมามันถูกระบุว่ามีอัศวินจำนวนนับร้อย

อาณาจักรพารันขึ้นชื่อว่าเป็นอาณาจักรแห่งอัศวิน อย่างไรก็ตามแม้กระทั่งอาณาจักรใหญ่ๆที่มีอัศวินเป็นจำนวนมากก็ไม่คิดที่จะส่งอัศวินของตัวเองเป็นจำนวนหลักร้อยให้เดินทางไปยังอาณาจักรอื่นเช่นกัน

มีบางอย่างแปลกๆ

ประเด็นทั้งหมดนี้มีสิ่งที่สะดุดใจของอัลเบิร์ก

มันยังเร็วเกินไปที่จะเดินทางข้ามมหาสมุทรในตอนนี้ พวกเขากำลังคิดอะไรอยู่? การเคลื่อนทัพในช่วงฤดูหนาวที่ทั่วทั้งมหาสมุทรเป็นธารน้ำแข็งคืออุปสรรคสำคัญ นั่นทำให้อาณาจักรโรมันและอาณาจักรเบร็คเตรียมรับศึกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แม้ว่าอาณาจักรอัสโคซานและอาณาจักรนอร์แลนด์จะอยู่ใต้สุดของตอนเหนือแต่มันก็ยังอยู่เหนือกว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรโรมันอยู่ดี

ชายฝั่งของพวกเขามีแนวโน้มสูงที่จะกลายเป็นธารน้ำแข็ง โดยเฉพาะช่วงนี้คือต้นเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นช่วงที่หนาวที่สุดของปี

‘หากอัศวินมีความเคลื่อนไหว..พวกทหารก็ต้องเคลื่อนไหวเช่นกัน’

หากไม่รู้ถึงเป้าหมายของพันธมิตรทางตอนเหนือมาก่อน อาณาจักรโรมันก็อาจคิดว่าพวกเขากำลังฝึกซ้อมบางอย่างอยู่

มันเร็วเกินไปที่จะข้ามมหาสมุทรมาในตอนนี้ แม้ว่าธารน้ำแข็งจะเริ่มละลายในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์แต่มันก็เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ พวกเขาจะต้องออกแรงเกินกว่าเหตุเพื่อกวาดเอาธารน้ำแข็งซึ่งเริ่มละลายออกจากเส้นทางการเดินเรือ

แล้วทำไมต้องเคลื่อนไหวในตอนนี้? พันธมิตรทางตอนเหนือต้องการเริ่มสงครามโดยเร็วงั้นรึ?

อัลเบิร์กกัดริมฝีปากของตนแน่น

การตัดสินใจของพันธมิตรทางตอนเหนือช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก การส่งอัศวินนับร้อยไปยังอาณาจักรทั้งสองพร้อมๆกันนับเป็นสิ่งที่เอื้อให้อาณาจักรอื่นๆสังเกตเห็นได้ง่าย ความจริงที่ว่าพวกเขาทำมันอย่างโจ่งแจ้งย่อมหมายความว่าพวกเขามีความมั่นใจในบางอย่าง

จากนั้นอัลเบิร์กก็นึกถึงชายฝั่งทะเลทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรโรมัน ข้อมูลของการสร้างฐานทัพเรือถูกแพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีปแล้ว พวกเขาพยามเก็บเรื่องนี้ให้เป็นความลับแต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะบังคับมันได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่คิดว่าการสร้างฐานทัพเรือยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น

แน่นอนว่าพวกเขาคิดผิด

เรือทั้งสิบลำของพวกเขาสร้างเสร็จเรียบร้อยและเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงคราม นักเวทย์ได้ใช้เวทย์อำพรางซ่อนเรือเหล่านี้เอาไว้

‘ต้องขอบคุณเจ้านี่สินะ’

อัลเบิร์กมองไปที่คาร์ลทันที

ลูกน้องของคาร์ลที่เป็นครึ่งคนแคระครึ่งหนู แม้ว่าตอนนี้เขาจะกลับไปยังอาณาเขตเฮนิตัสแล้วแต่เขาก็ใช้เวลาอยู่ที่ชายฝั่งอาณาเขตอัลบาพักใหญ่เพื่อคุมการก่อสร้างด้วยตัวเอง

ต้องขอบคุณที่พวกเขาเริ่มสร้างเรือเร็วกว่าที่คิดเอาไว้แต่แผนการที่พวกเขาวางเอาไว้คือการทำศึกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แม้แต่สายข่าวของเขาก็ยังถูกจับตัวได้

‘ข้าพลาดอะไรไป?’

มันติดอยู่ในหัวของเขา

เขาไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองมองข้ามไป เขาไม่สามารถคลายข้อสงสัยในตอนนี้ได้

อัลเบิร์กปลดกระดุมเสื้อลงหนึ่งเม็ดเพื่อคลายความอึดอัดในใจ

[“เจ้าพอจะคิดอะไรออกหรือเปล่า?”]

อัลเบิร์กถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด คาร์ลเป็นคนเดียวที่เขาสามารถแสดงความหงุดหงิดใส่ได้

อัลเบิร์กเอ่ยถามคาร์ลออกไปเพื่อหวังว่าท่าทางอันเป็นเอกลักษณ์ของคาร์ลจะช่วยให้เขาหยุดฟุ้งซ่านได้ อย่างไรก็ตามอัลเบิร์กเพียงหัวเราะออกมาเบาๆคล้ายกับสมเพชในตัวเอง

[“ฮ่าฮ่าฮ่า…เจ้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน”]

“ไวย์เวิร์นพะย่ะค่ะ”

อัลเบิร์กหยุดหัวเราะทันที

คาร์ลเห็นว่าอัลเบิร์กจ้องเขม็งมาที่เขาแทบจะทันที

“กองกำลังอัศวินไวย์เวิร์นฟื้นคืนชีพแล้วพะย่ะค่ะ”

ดวงตาของอัลเบิร์กเบิกกว้างขึ้น

อัศวินผู้พิทักษ์แห่งอาณาจักรพารันและยังเป็นผู้นำของกองกำลังอัศวินไวย์เวิร์น

อัลเบิร์กรู้สึกว่าในหัวของเขาเริ่มกระจ่าง

[“ทางอากาศงั้นรึ?!”]

พวกเขาไม่ได้ใช้เรือ ไม่สิ!? ต้องมีการใช้เรืออยู่แล้วแต่พวกเขาจะเคลื่อนทัพทางอากาศก่อนแล้วค่อยเคลื่อนทัพทางเรือในภายหลัง

แล้วเราจะทำอะไรกับศึกบนอากาศนั้นได้บ้าง?

สายตาของอัลเบิร์กพุ่งไปที่คาร์ลอีกครั้ง

[“..เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”]

“องค์ชายทรงทราบเรื่องทะเลสาบในอาณาจักรพารันถูกไฟลุกท่วมหรือไม่พะย่ะค่ะ?”

[“ฝีมือเจ้างั้นรึ?”]

“พะย่ะค่ะ..กระหม่อมเพิ่งทราบในตอนนั้นแต่..กระหม่อมลืมรายงานต่อองค์ชายพะย่ะค่ะ”

[“เจ้านี่มัน!..เฮ้อออออ”]

คาร์ลเพียงยักไหล่ของตนขึ้นมาเท่านั้น การกระทำดังกล่าวทำให้อัลเบิร์กตระหนักได้ถึงบางอย่าง

คาร์ลดูสงบเกินไป

[“คาร์ล…พวกเขากำลังจะเหาะข้ามป่าแห่งความมืดเข้ามานะ! อาณาเขตเฮนิตัสจะไม่เป็นไรจริงหรือ?”]

อัลเบิร์กมองเห็นมุมปากของคาร์ลยกสูงขึ้น

แน่นอนว่าคาร์ลรอเรื่องนี้มานานมากแล้ว

ในตอนแรกเขารู้สึกสับสนเพราะมันต่างจากที่เขาอ่านจากในนิยายมา อย่างไรก็ตามนี่คือโลกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับเนื้อหาในนิยาย นั่นคือเหตุผลที่เขาเตรียมความพร้อมแล้วเตรียมความพร้อมอีกเพื่อรับมือกับสิ่งที่กำลังจะมาถึง

ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องรออีกต่อไป

“องค์ชายพะย่ะค่ะ”

[“ว่าอย่างไร?”]

“โปรดแต่งตั้งให้กระหม่อมขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชาการทหารของภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วยพะย่ะค่ะ”

[“ฮึ!”]

อัลเบิร์กหัวเราะออกมาเบาๆ

คาร์ลกำลังร้องขอสิ่งที่ใหญ่เกินตัวด้วยท่าทางสบายๆ

‘ใช่! มันควรต้องเป็นแบบนี้ นี่สิ! คาร์ล เฮนิตัสที่ข้ารู้จัก!’

คาร์ลยังคงร้องขอจากอัลเบิร์กเพิ่มเติม

“กระหม่อมอยากให้องค์ชายเตรียมกองทัพอัศวินและกองทัพนักเวทย์ส่วนพระองค์ไว้ด้วยพะย่ะค่ะ”

หลังจากนั้นคาร์ลก็เริ่มยิ้ม

“จากนั้นก็แค่…รอ”

อัลเบิร์กยกมือกุมขมับทันที

‘เจ้านี่บอกให้ข้ารองั้นรึ?..เขาคิดจะจัดการทุกอย่างเพียงลำพังหรือไง?’

อัลเบิร์กกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อเอ่ยถามคาร์ลขึ้นมา

[“เจ้าคิดจะทำอะไร?”]

คาร์ลเพียงแค่ยักไหล่เบาๆ

[“ช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ”]

ตรงข้ามกับสิ่งเขากล่าวหาคาร์ล อัลเบิร์กเพียงแค่แต้มยิ้มสดใสออกมาเท่านั้น เขาใช้มือสางผมที่ยุ่งเหยิงให้ดูเรียบร้อยในขณะที่ในหัวก็คิดว่าตัวเองต้องทำอะไร

[“คงมีเหตุผลบางอย่างสินะที่ทำให้เจ้าเรียกหมอผีกลับคืนมา..ทำสิ่งที่เจ้าต้องทำเถอะ! เรื่องที่เหลือข้าจะเป็นคนจัดการเอง”]

“แค่ได้อำนาจจากพระองค์ก็เพียงพอแล้วพะย่ะค่ะ”

[“ไม่ต้องกังวลไป..เมื่อเกิดสงครามขึ้นอำนาจทั้งหมดจะตกอยู่ในมือข้าอยู่แล้ว”]

ในที่สุดอัลเบิรก์ก็กลับมาเป็นตัวตนปกติของเขาอีกครั้ง เขาเริ่มวางแผนการต่างๆในใจอย่างรวดเร็วอัลเบิร์กกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเองในขณะที่คาร์ลกลับสะดุ้งโหยง

นั่นก็เพราะเสียงของราอนที่ดังก้องอยู่ในหัว

~พวกเขาจะขี่ไวย์เวิร์นหน้าโง่พวกนั้นแล้วบุกเข้ามาทำลายบ้านของเราอย่างนั้นรึ!? ฮึ!~

คาร์ลรู้สึกว่าแผ่นหลังของเขาเย็นเยียบทันทีที่ได้ยินเสียงเหี้ยมเกรียมของราอน เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่สนใจกับสิ่งที่มังกรวัยหกขวบพูด

[“เอาเป็นว่าข้าก็จะทำในสิ่งที่ข้าต้องทำส่วนเจ้าก็จัดการฝั่งของเจ้าให้เรียบร้อยแล้วกัน”]

คลิ๊ก!

อัลเบิร์กตัดสัญญาณทันทีโดยไม่มีการบอกกล่าวใดๆ

คาร์ลเอนหลังพิงกับโซฟาแล้วจ้องนิ่งๆไปยังอุปกรณ์เวทย์สื่อสาร

เขามีหลายอย่างที่ต้องรีบจัดการโดยเร็วที่สุด

เช้าวันรุ่งขึ้นคาร์ลรีบเดินทางกลับบ้านทันที แน่นอนว่าเขาได้ซากราชาหมาป่าติดมือกลับไปด้วย .

.

.