บทที่ 213 โอกาสกลับมายืนได้

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 213 โอกาสกลับมายืนได้

บทที่ 213 โอกาสกลับมายืนได้

สตรีผู้นั้นคือนางตัวเหม็นนามเสวียนหลี ตั้งแต่ลู่หยวนมาหากลุ่มเทียน สตรีแพศยานั่นก็เริ่มเข้ามาตามติดเป็นเหลือบไร นางหันมามองทางเขาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันถึงสามครั้ง

นางถึงขั้นใช้สัมผัสเทวะแหวกว่ายสำรวจยอดฝีมือของกลุ่มเทียนไปทั่ว

ตอนนี้เสวียนหลีไม่ขยับ นางต้องกำลังใช้สัมผัสเทวะเพื่อแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่เป็นแน่

เสวียนเทียนชวนมองตามสายตาของลู่หยวนเช่นกัน แน่นอนว่าเขาสังเกตเห็นร่างของศิษย์น้องหญิง

เขาเริ่มทำนาย ผ่านไปหนึ่งอึดใจ เมื่อการทำนายสิ้นสุด เขาก็เอ่ยกับลู่หยวนว่า “เสวียนหลีอยากได้กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์เพื่อเตรียมสู้กับเจ้า!”

เสวียนหลีผู้ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ขณะใช้สัมผัสเทวะเพื่อแอบฟังบทสนทนาระหว่างเสวียนเทียนชวนกับลู่หยวนอย่างตั้งใจ

เมื่อได้ยินศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยเช่นนี้ ดวงตาของนางพลันเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหันหน้ามาทันที มองมาทางลู่หยวนและเสวียนเทียนชวน

หรือว่าสิ่งที่เสวียนเทียนชวนอยากจะทำก็คือ…

“ถ้าการทำนายของข้าถูกต้อง เสวียนหลีตั้งใจจะใช้ ‘ค่ายกลต้องห้ามวิญญาณสวรรค์’ เพื่อจัดการกับเจ้า!”

ภายหลัง เสวียนเทียนชวนหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บของก่อนส่งให้คุณชายลู่ “บุตรศักดิ์สิทธิ์ นี่คือตำราโบราณเกี่ยวกับ ‘ค่ายกลต้องห้ามวิญญาณสวรรค์’ มันบันทึกรายละเอียดทั้งหมดของเคล็ดวิชานี้ไว้อย่างละเอียด บุตรศักดิ์สิทธิ์สามารถดูได้!”

“นอกจากนี้ วิธีคลายอยู่หน้าที่สามสิบเจ็ด ครึ่งแรกเป็นวัสดุที่จำเป็นต่อค่ายกล ครึ่งหลังเป็นหลักการของค่ายกล”

เสวียนเทียนชวนมีท่าทีสงบ ราวกับว่าผู้ที่เขากำลังทรยศหาใช่ศิษย์น้องของตัวเองไม่!

เสวียนหลีผู้อยู่ด้านล่างพลันเดือดดาล นางอยู่บนยอดเขาวิถีเร้นลับมาสามวันเต็ม ถึงจะคิดวิธีใช้ตำราโบราณเล่มนี้ออก!

วัสดุในตำราโบราณนี้ นางต้องใช้เวลาเตรียมการถึงสิบวัน!

นางจับจ้องลู่หยวนในวันนี้ เพราะอยากได้กลิ่นอายของลู่หยวน เพื่อให้สามารถเพิ่มพลังของค่ายกลได้อีกหน!

ตอนนี้เสวียนเทียนชวนกลับเปิดโปงเองอย่างนั้นหรือ?!

ศิษย์พี่ไม่เพียงส่งมอบตำราโบราณที่บันทึกค่ายกลที่นางใช้เท่านั้น แต่ยังบอกลู่หยวนว่ามันอยู่หน้าที่สามสิบเจ็ดอีกด้วย?!

ตอนนี้ไพ่ทุกใบที่นางเตรียมการไว้ถูกเปิดเผยหมดแล้ว!

“เสวียนเทียนชวน เจ้ามันเน่าเฟะทั้งในและนอกเสียจริง!”

เสวียนหลีเดือดดาล พลางโคจรพลังดวงดาวจำนวนมากไว้ในมือ กระบี่ดาราปรากฏขึ้นในมือนาง!

กลิ่นอายทรงพลังทะยานออกไป ศิษย์รอบข้างที่ไม่ทันระวัง ต่างถูกปราณกระบี่จากเศษเสี้ยวกระบี่ดาราซัดออกไป

“เสวียนเทียนชวน! วันนี้ข้าจะลบเจ้าออกจากยอดเขาวิถีเร้นลับเพื่อไม่ให้บรรพชนหันมาเหลียวแลอีก!”

ร่างของเสวียนหลีพุ่งเข้าหาเขา กระบี่ดาราในมือพลันยาวขึ้นหลายสิบเท่า มันกำลังจะฟาดฟันลงไปในบัดดล

แต่เสวียนเทียนชวนไม่แตกตื่นแต่อย่างใด สายตาของเขายังคงจับจ้องลู่หยวน “ถึงตอนนี้ บุตรศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าข้ายอมจำนนหรือยัง?”

ลู่หยวนยิ้มพลางพยักหน้า “แน่นอนว่าข้าเชื่อ”

ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เสวียนเทียนชวนกับเสวียนหลีไม่ลงรอยกัน

เขาไม่คิดว่าทั้งสองกำลังเสแสร้ง ถึงอย่างไรพลังดวงดาวที่ปกคลุมทั่วท้องนภาก็ไม่ใช่ของปลอม ประกอบกับพลังของเสวียนหลีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ตอนนี้กระบี่ดาราของนางอยู่เหนือการควบคุม!

ยิ่งกว่านั้น คนอย่างเสวียนเทียนชวนที่เก่งเรื่องการทำนายชะตาฟ้าดิน ไม่มีทางใช้ลูกไม้ต่ำ ๆ เช่นนี้แน่

“เสวียนเทียนชวน ในเมื่อเจ้ายอมจำนนแล้ว เจ้าก็ควรขอบางสิ่งจากข้าบ้าง”

เสวียนเทียนชวนยิ้มกว้าง เขายกมือขึ้นแล้วเอ่ยว่า “แน่นอน มีซากโบราณสถานแห่งหนึ่งที่ข้าหวังจะได้เดินทางร่วมกับบุตรศักดิ์สิทธิ์!”

ลู่หยวนเลือกเอ่ยคำพูดออกมาว่า “ที่อยู่ในครอบครองของราชวังจักรพรรดินีแดนมัชฌิมหรือ?”

“ถูกต้อง!”

ดวงตาของเสวียนเทียนชวนปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “ข้ารู้มาได้พักหนึ่งแล้วว่ามีโอกาสอันยิ่งใหญ่อยู่ใต้ราชวังจักรพรรดินีแดนมัชฌิม! หากสามารถพาข้าไปที่นั่นได้ ข้าก็พร้อมร่วมทางกับบุตรศักดิ์สิทธิ์!”

“ขอเพียงเจ้ารับปาก ก็สามารถตีตราทาสในจิตเทวะของข้าได้ทันที!”

สายตาของเสวียนเทียนชวนมุ่งมั่น เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายจะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน!

ถึงแม้ชายผู้นี้จะต้องนั่งรถเข็น แต่ลู่หยวนย่อมทราบเป็นอย่างดีว่าพลังในการทำนายของเขาน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน!

มุมปากของลู่หยวนสยายเป็นรอยยิ้มกว้าง แรงกดดันของเสวียนหลียังคงกดทับลงมา แต่เพียงพริบตา… มันก็ถูกกันให้ห่างจากพวกเขาออกไปสามฉื่อ

เซียวเทียนผู้อยู่ด้านข้างถือกระบี่ใหญ่ไว้ในมือ พลังพลุ่งพล่านเสมือนพร้อมเผชิญหน้ากับนางทุกเมื่อ

หากเสวียนหลีจะดวลกระบี่กับศิษย์ยอดเขากระบี่ก็ไม่เจียมกะลาหัวเกินไปแล้ว!

เมื่อเห็นดังนี้ เสวียนเทียนชวนคลายความระแวดระวัง ขอเพียงลู่หยวนตอบตกลง ผู้ใช้กระบี่ยักษ์ผู้เกรียงไกรก็จะออกโรงหยุดเสวียนหลีให้

ปัจจุบันการโจมตีของเสวียนหลีอยู่เหนือการทำนายไปแล้ว หากเขาใช้กระดานเสี่ยงทายเพื่อต่อสู้ เขาอาจจะไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้!

“เสวียนเทียนชวน เจ้าเชี่ยวชาญเรื่องโชคชะตาของวิถีลึกลับ โอกาสธรรมดาย่อมไม่อาจดึงดูดความสนใจของเจ้าได้”

ลู่หยวนมองชายบนรถเข็นด้วยสายตาสงบนิ่ง “แต่ที่นั่น อาจจะมีบางสิ่งที่สามารถทำให้ขาไร้ประโยชน์ของเจ้ากลับมายืนได้อีกครั้งก็เป็นได้!”

น้ำเสียงของลู่หยวนสงบนิ่ง ไม่มีร่องรอยการสั่นคลอนแต่อย่างใด

เสวียนเทียนชวนตกตะลึง ไม่นานก็เผยรอยยิ้มออกมา “ไม่มีอะไรที่สามารถปกปิดบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้เลย ข้าทำนายแล้ว ที่นั่นมีบางสิ่งที่อาจจะทำให้ข้ากลับมายืนได้อีกครั้ง หรืออาจถึงขั้นทำให้สามารถกลับมาฝึกฝนเหมือนกับพี่น้องที่เหลือได้”

“แต่คนธรรมดาจะเข้าไปที่นั่นได้อย่างไร? ข้าจึงต้องอาศัยพลังของเจ้าในการหาทางเข้าไป”

“หึ…” ลู่หยวนพลันกล่าวเย้ยหยันว่า “เสวียนเทียนชวน เจ้าช่างมุ่งมั่นเหลือเกิน ขอเพียงเป็นคนมีพรสวรรค์เช่นเจ้านึกอยากย้ายมาอยู่ข้างข้า แล้วคิดหรือว่าจะไม่ถูกปฏิเสธ?”

“ข้าพอจะคาดเดาได้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร เจ้าไม่ได้ฉกฉวยประโยชน์จากพลังของข้าเพื่อเข้าราชวังจักรพรรดินีแดนมัชฌิม แต่อยากยืมมือข้าแสวงหาโชคชะตายิ่งใหญ่นี้ แล้วดูว่าจะสามารถทะลวงขั้นสู่สวรรค์ กลายเป็นเทพเซียนได้หรือไม่!”

เสวียนเทียนชวนที่เดิมมีสีหน้าสงบเปลี่ยนไปทีละน้อย ดวงตาของเขาหลุบต่ำลงโดยไม่รู้ตัว

ลู่หยวนเอ่ยต่อว่า “มหาวิถีล้วนคือโชคชะตา ทุกคนในโลกต่างพึงมี แต่ไม่ว่าขั้นการบ่มเพาะจะสูงส่งแค่ไหน พวกเขาต่างก็มีโชคชะตาของมหาวิถี ไม่มีชะตาใดที่สามารถหลบหนีจากแผ่นดินหยวนหงนี้ได้”

“แต่ข้าต่างออกไป ชะตาของข้าไม่ได้ถูกควบคุมด้วยมหาวิถีนี้ นี่คือชะตาในการทะลวงขอบเขต! เพื่อก้าวเข้าสู่โชคชะตาแห่งสวรรค์!”

“ผู้ที่แบกรับชะตานี้ไว้ อาจจะก้าวเข้าสู่เทพเซียนก็เป็นได้! เสวียนเทียนชวน นี่คือเป้าหมายสุดท้ายของเจ้าใช่หรือไม่?”

คำพูดของลู่หยวนตกกระทบสู่หัวใจราวกับค้อนยักษ์ ทำให้อีกฝ่ายตกตะลึง

เรื่องเหล่านี้ เขาไม่เคยบอกใครมาก่อน

ส่วนชะตาของลู่หยวนในการทะลวงขอบเขตก็ถูกค้นพบด้วยตัวเขาเอง!

ไม่กี่วันก่อน เขาตัดสินใจไว้แล้วว่า ต่อให้ตัวเองต้องลดตัวไปเป็นทาสของบุตรศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องเข้าร่วมกับอีกฝ่าย เพื่อทะลวงขั้นสู่สวรรค์! ทะยานเข้าสู่เทพเซียนเพื่อมีชีวิตนิรันดร์ให้จงได้!

เสวียนเทียนชวนไม่เพียงแค่อยากทำนายชะตาทั้งหมดในโลกนี้เท่านั้น แต่เขาอยากยืนอยู่บนจุดสูงสุด เพื่อทำนายชะตาของผู้คนมากมายอีกด้วย!

เขาต้องการความยิ่งใหญ่จากวิถีแห่งสวรรค์ เมื่อนั้นทุกสรรพสิ่งในโลกย่อมตกอยู่ในกำมือของเขา!

มันคือความทะเยอทะยานที่ซ่อนลึกอยู่ในใจ แม้กระทั่งบรรพชนเสวียนผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่อาจล่วงรู้!

ศิษย์เอกแห่งยอดเขาวิถีเร้นลับใช้ชีวิตมาหลายปี ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่เคยล่วงรู้หรือค้นพบเหตุผลที่แท้จริงของการฝึกฝนวิถีเร้นลับของเขา!

แล้วลู่หยวนรู้ได้อย่างไร?!

เสวียนเทียนชวนนึกถึงสิ่งที่เพิ่งพูดออกไป แต่ก็ไม่มีประโยคไหนที่ดูผิดปกติ