ตอนที่ 172 ไม่ทันตั้งตัว

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 172 ไม่ทันตั้งตัว
ไป๋จิ่นจื้อที่ถือหอกยาวฝึกฝนจนเหนื่อยหอบก็ถลามายืนอยู่ข้างไป๋ชิงเหยียนเช่นกัน สาวน้อยตื่นเต้นจนดวงตาเป็นประกาย “พี่หญิงใหญ่!”

ไป๋ชิงเหยียนส่งสายตาปรามให้ไป๋จิ่นจื้อควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ดี รับผ้าขนหนูจากมือของเซียวรั่วไห่มาเช็ดเหงื่อ ปลดถุงทรายหนักอึ้งที่รัดอยู่บริเวณลำแขนออก หยิบเสื้อคลุมมาคลุมทับ กล่าวขึ้น “ไปเถิด…”

เมื่อไป๋ชิงเหยียนเดินเข้าไปในจวนว่าการ สือพานซานลากเจินเจ๋อผิงที่อยู่ในชุดเกราะเดินตามหลังไป๋ชิงเหยียนไปติดๆ

หญิงสาวหันกลับไปทำความเคารพสือพานซานและเจินเจ๋อผิง ทั้งสองความเคารพกลับเช่นกัน

“ดึกดื่นเช่นนี้ กองทัพซีเหลียงจะลอบโจมตีพวกเราหรืออย่างไรกัน!” เจินเจ๋อผิงยังไม่ทันเดินเข้าไปด้านใน เสียงสบถของเขาก็ดังแว่วเข้ามาก่อนแล้ว

รัชทายาท ที่ปรึกษาทั้งสามคนและแม่ทัพจางตวนรุ่ยยืนปรึกษากันอยู่หน้าแผนที่ เมื่อได้ยินเสียงของเจินเจ๋อผิงจึงหันกลับไปมอง

รัชทายาทเห็นไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่กับสือพานซานและเจินเจ๋อผิง ทั้งสามคนทำความเคารพเขา สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ไป๋ชิงเหยียน

“ไม่ต้องมากพิธี ทหารลาดตระเวนกลับมารายงานว่ากองทัพของซีเหลียงดักซุ่มอยู่ที่ทางโค้งบนยอดเขาจิ่วชวี และทางออกของหุบเขาเวิ่งทางทิศตะวันออกของยอดเขาจิ่วชวี ตอนนี้พวกเขากำลังขนท่อนไม้ ก้อนหินและน้ำมันขึ้นไปบนเขา! กองทัพที่ซุ่มอยู่ที่ยอดเขาจิ่วชวีมีประมาณสองหมื่นนาย ส่วนที่ซุ่มอยู่ภูเขาเวิ่งมีจำนวนเท่าใดไม่อาจทราบได้ ทว่า คร่าวๆ แล้วน่าจะหลักหมื่นเช่นเดียวกัน!”

เจินเจ๋อผิงเบิกตาโพลง คุณหนูใหญ่ไป๋คาดการณ์ได้ถูกต้องจริงๆ ด้วย เขาหันไปมองไป๋ชิงเหยียนทันที

ร่างผอมเพรียวที่อยู่ในชุดสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อคลุมกันลมยืนนิ่งอยู่ใต้แสงเทียนที่สะบัดพลิ้วไปมา ใบหน้าขาวนวลไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ดวงตาลึกล้ำนิ่งขรึม ไม่ได้ส่อแววยินดีที่คาดการณ์สถานการณ์รบได้ถูกต้อง และไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองที่รัชทายาทไม่ยอมเชื่อแผนการของนางจนทำให้พลาดโอกาสโจมตีที่ดีเช่นนี้ไปแต่อย่างใด ใบหน้าของนางเย็นชาสงบนิ่ง

“กองทัพของซีเหลียงซุ่มอยู่ที่สองสถานที่นี้เท่ากับเป็นการตัดเส้นทางที่ใกล้ที่สุดที่พวกเราจะเดินทางไปถึงเมืองเวิ่งได้ หากเราเดินทางอ้อมยอดเขาจิ่วชวีและภูเขาเวิ่ง แม้จะเดินทางโดยไม่หยุดพัก กว่ากองทัพจะไปถึงเมืองเวิ่งอย่างเร็วที่สุดก็คงเป็นยามเซิน[1]แล้ว!” สือพานซานขบกรามแน่น เสนอแผนการ

“หากทหารที่คุ้มกันเมืองเวิ่งต้านได้ถึงยามเซิน พวกเราอาจเดินอ้อมจิ่วชวีเฟิงและภูเขาเวิ่งไปตีล้อมกองทัพซีเหลียงจากทางนอกเมืองเวิ่งร่วมกับทหารที่คุ้มกันอยู่เมืองเวิ่งที่อยู่ในเมืองได้”

“ไม่ได้!” ไป๋ชิงเหยียนส่ายหน้า หญิงสาวเดินไปยังแผนที่ “หากกองทัพเร่งเดินทางอ้อมยอดเขาจิ่วชวีและภูเขาเวิ่งไปยังเมืองเวิ่ง เมื่อไปถึงกองทัพทั้งห้าหมื่นนายคงเหนื่อยล้ากันเต็มที่ จะมีแรงสู้รบได้อย่างไรกัน! อีกอย่าง กองทัพตั้งห้าหมื่นนายไม่ใช่แค่ห้านาย เมื่อเริ่มออกเดินทาง สายลับของซีเหลียงจะตาบอดมองไม่เห็นหรืออย่างไรกัน! หากอวิ๋นพั่วสิงรู้ว่ากองทัพเดินอ้อมจุดซุ่มโจมตีที่เขาวางเอาไว้ เช่นนั้นกองทัพที่ซุ่มโจมตีก็จะเดินทางไปยังเมืองเวิ่งโดยผ่านทางยอดเขาจิ่วชวีและหุบเขาภูเขาเวิ่ง เข้าล้อมเมืองเวิ่งไว้ก่อนที่พวกเราจะไปถึงหลายชั่วยามและจัดค่ายกลใหม่อีกอีกครั้ง! กองทัพเสริมห้าหมื่นนายของเราก็เหมือนเนื้อเข้าปากเสือ โดนกองทัพทหารม้าเหล็กล้อมไว้ในทันที! กองทัพไป๋ที่ถอยไปคุ้มกันเมืองเวิ่งเลือดร้อน ไม่มีทางทนเห็นกองทัพเสริมห้าหมื่นนายถูกล้อมต่อหน้าต่อตา พวกเขาต้องออกมาช่วยอย่างแน่นอน เช่นนี้อวิ๋นพั่วสิงก็จะบรรลุเป้าหมายเช่นเดิม!”

เมื่อคืนไป๋ชิงเหยียนคาดการณ์แผนการของกองทัพซีเหลียงได้อย่างแม่นยำ บัดนี้ไม่ว่าจะเป็นเจินเจ๋อผิง สือพานซานหรือรัชทายาทก็ไม่กล้าดูแคลนไป๋ชิงเหยียนอีก ทุกคนนิ่งขรึมในทันที

ฉินซ่างจื้อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเอ่ยขึ้น “องค์รัชทายาทส่งคนไปขอกำลังเสริมสามหมื่นนายจากเมืองผิงหยางมาก่อน จากนั้นส่งคนขี่ม้าเร็วไปที่เมืองเวิ่ง สั่งห้ามไม่ให้ทหารในเมืองเวิ่งออกมาจากเมืองเพื่อช่วยเหลือทัพ ให้คุ้มกันเมืองเวิ่งให้ดี ดีกว่าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ! ในเมื่ออวิ๋นพั่วสิงต้องการดักซุ่ม ทหารที่ซุ่มอยู่เห็นว่ามีทหารขี่ม้าเร็วไปเพียงคนเดียวมิใช่ทั้งกองทัพคงไม่ขัดขวางหรอกพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉินซ่างจื้อเดินเข้าไปชี้ในแผนที่ “ขอแค่ปกป้องเมืองเวิ่งเอาไว้ได้ พวกเราแบ่งกำลังออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปที่เมืองเฟิ่ง ขัดขวางไม่ให้หนานเยี่ยนออกรบ อีกกลุ่มเดินอ้อมกับดักของอวิ๋นพั่วสิงที่ยอดเขาจิ่วชวีและภูเขาเวิ่ง ให้อวิ๋นพั่วสิงคาดเดาไม่ออกว่าพวกเราต้องการทำสิ่งใด จากนั้นส่งทหารอีกกลุ่มขี่ม้าเร็วไปจุดไฟเผาค่ายทหารของซีเหลียง ขอแค่ค่ายทหารใหญ่ของซีเหลียงเกิดความวุ่นวาย อวิ๋นพั่วสิงต้องวางแผนการรบใหม่อย่างแน่นอน! พวกเราจะได้มีเวลาตั้งรับกับแผนการของอวิ๋นพั่วสิ่งได้!”

“ไม่ได้!” ไม่รอให้ไป๋ชิงเหยียนกล่าวขึ้น ที่ปรึกษาซึ่งอาวุโสที่สุดของรัชทายาทก็เอ่ยขัดขึ้นก่อน

“กองทัพที่ร่วมมือกันของซีเหลียงและหนานเยี่ยนมีจำนวนมากกว่าแคว้นต้าจิ้นหลายเท่า หากเจ้าไปทำลายค่ายทหารใหญ่ของพวกมัน อวิ๋นพั่วสิงอาจจะกวาดล้างทหารห้าหมื่นนายของพวกเราด้วยความโมโหก็ได้ ฉินเซียนเซิงกล่าวว่าให้รอบคอบและคอยตั้งรับตามการเปลี่ยนแปลงของอวิ๋นพั่วสิง เช่นนั้นก็แสดงว่าจะปล่อยให้พวกเขาเป็นฝ่ายจู่โจม พวกเราเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างนั้นหรือ เช่นนี้มันเสี่ยงเกินไป!”

รัชทายาทพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของที่ปรึกษาอาวุโส

ทว่า ไป๋ชิงเหยียนกลับนับถือในความคิดของฉินซ่างจื้อ

กล่าวกันว่าการป้องกันที่ดีที่สุดคือการจู่โจม การรอให้ผู้อื่นลงมือแล้วเราค่อยรับมือ แม้ดูเหมือนเป็นการถูกกระทำ ทว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะควบคุมผลลัพธ์ให้เป็นไปตามที่ใจเราหวังได้

แม้ฉินซ่างจื้อจะรู้ตรรกะนี้ดี ทว่า มันก็แฝงไปด้วยความเสี่ยงเช่นเดียวกัน สำหรับรัชทายาทที่ต้องการแค่ชัยชนะอย่างเดียวเท่านั้นแล้ว มันเสี่ยงเกินไปจริงๆ

“คุณชายไป๋!” จางตวนรุ่ยกำหมัดโค้งคำนับไปทางไป๋ชิงเหยียน “เมื่อวานคุณชายไป๋กล่าวว่าหากเมื่อคืนองค์รัชทายาทไม่ทำตามแผนการของคุณชาย คุณชายยังมีแผนรับมือ คุณชายโปรดบอกมาตามตรงเถิดขอรับ…”

รัชทายาทที่กำลังขมวดคิ้วยุ่งหันไปมองไป๋ชิงเหยียนทันที “คุณชายไป๋มีแผนรับมือเช่นนั้นหรือ!”

สือพานซานก็มองไปทางไป๋ชิงเหยียนเช่นเดียวกัน

เจินเจ๋อผิงซึ่งเป็นคนใจร้อนกล่าวออกมาอย่างร้อนใจ “คุณชายไป๋ เมื่อวานข้าไม่ดีเองที่ดูถูกคุณชาย! บัดนี้ศัตรูอยู่เบื้องหน้าเราเช่นนี้ คุณชายอย่าได้อมพะนำเลย รีบบอกมาเถิดขอรับ!”

ไป๋ชิงเหยียนมีสติ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เมื่อวานเหยียนกล่าวกับท่านแม่ทัพจางว่ามีแผนรับมือ ทว่า เหยียนกล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าหากค่ายหู่อิงยังอยู่ เหยียนจึงจะมีแผนรับมือขอรับ!”

สิ้นเสียงของไป๋ชิงเหยียน ทหารลาดตระเวนที่อยู่นอกจวนว่าการตะโกนเข้ามาเสียงดัง

“รายงาน เมืองเวิ่งมีรายงานมาว่าอวิ๋นพั่วสิงนำทัพเข้าโจมตีเมืองเวิ่งแล้วขอรับ!”

“โจมตีเมื่อใด!” จางตวนรุ่ยเดินเข้าไปถาม

ทหารลาดตระเวนคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นพลางกล่าว “เริ่มโจมตียามโฉ่ว[2]ขอรับ!”

รัชทายาทตะลึง มือที่ซ่อนอยู่ในเสื้อกระชับแน่น นึกถึงคำสั่งของเสด็จพ่อก่อนออกเดินทาง ทว่า ไม่นานรัชทายาทก็คลายแรงบีบมือลง กล่าวขึ้น “ค่ายหู่อิงยังอยู่ อยู่ที่เมืองหวั่นผิงนี่แหล่ะ!”

ใบหน้าของไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ส่อแววตื่นเต้นแต่อย่างใด หญิงสาวหันกลับไปมองแผนที่ เงียบลงครู่หนึ่ง น้ำเสียงหนักแน่นและรวดเร็วดังขึ้น…

“ครั้งนี้แบ่งกองทัพออกเป็นสี่เส้นทาง! เส้นทางแรกแม่ทัพจางตวนรุ่ยนำทัพเป็นเหยื่อล่อ นำทหารยอดฝีมือจำนวนหนึ่งหมื่นนายและพลหน้าไม้จำนวนสองพันนายเดินทางไปยังยอดเขาจิ่วชวี ปล่อยให้สายลับของซีเหลียงไปรายงานข่าว จำไว้ว่าต้องประวิงเวลาเดินทางให้ไปถึงถนนของยอดเขาจิ่วชวีในอีกสองชั่วยามพอดี ห้ามขึ้นไปบนยอดเขาเด็ดขาด! เส้นทางที่สองเป็นของแม่ทัพสือพานซาน ท่านจงนำทหารยอดฝีมือจำนวนหนึ่งหมื่นนายอ้อมไปยังทิศตะวันออกของถนนยอดเขาจิ่วชวี จากนั้นลอบสังหารทหารที่ซุ่มอยู่ของซีเหลียงโดยที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว!”

“เมื่อเริ่มเปิดศึก กองทัพของซีเหลียงรู้ว่าไม่อาจซุ่มโจมตีกองทัพของเราได้อีกแล้ว เขาต้องสู้รบกับแม่ทัพสือพานซานอย่างเต็มที่ ทว่า สงครามที่ยอดเขาจิ่วชวี แม่ทัพสือต้องชนะเพียงอย่างเดียวเท่านั้นห้ามพ่ายแพ้เด็ดขาด!” หญิงสาวมองไปทางสือพานซานที่ยังตกตะลึงอยู่ นิ้วชี้ผ่านยอดเขาจิ่วชวีไปยังแม่น้ำอูตานที่อยู่บนแผนที่

“แม่ทัพสือจงจำไว้ว่าท่านต้องหลอกล่อกองทัพใหญ่ของซีเหลียงอ้อมยอดเขาจิ่วชวีไปยังแม่น้ำอูตานให้ได้”

———————————————

ยามเซิน เวลาระหว่าง15.00-17.00 นาฬิกา

ยามโฉ่ว เวลาระหว่าง 01.00-03.00 นาฬิกา