ตอนที่ 509 บุกแม้กระทั่งห้องนอน !
แปล Tarhai
หลิวหรูหยานเดินตามฉิงเฟิงและหลินเสวี่ยต้อยๆ ในขณะที่พวกเขาเดินซื้อของอยู่รอบๆร้านขายของชำ
ทั้งสามคนรู้จักกันและกันจึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก อย่างไรก็ตาม ลูกค้าคนอื่นๆในร้านขายของชำกลับอยู่ไม่สุข
เนื่องจากความงามของหลิวหรูหยานและหลินเสวี่ย พวกเธอทั้งคู่ต่างก็เป็นสุดยอดสาวงาม พวกเธอได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในเมืองทะเลตะวันออก ความงามของพวกเธอดึงดูดความสนใจของทุกคนและทุกที่ที่พวกเธอผ่าน ผู้คนจำนวนมากในร้านต่างก็ชำเลืองมองพวกเธออย่างไม่ละสายตาด้วยความอึ้ง
ทุกคนในร้านมองไปที่ฉิงเฟิงด้วยความชื่นชมและความอิจฉาริษา พวกเขาคิดในใจว่า
“บ้าเอ้ย ! คนหนึ่งงดงามปานเทพธิดาน้ำแข็ง อีกคนก็งดงามอย่างเย้ายวน แค่ได้คนใดคนหนึ่งมาครองก็เป็นความสุขอย่างยิ่งแล้ว แต่พวกเธอทั้งคู่กลับเดินเคียงข้างผู้ชายคนหนึ่ง”
ไม่เพียงแต่ผู้ชายเท่านั้นที่อิจฉาฉิงเฟิง ผู้หญิงก็ยังริษยาหลินเสวี่ยกับหลิวหรูหยานเช่นกัน เพราะพวกเธอทั้งคู่สวยหยาดเยิ้มจนเกินไป พวกเธอมีผิวขาวนวลดูอ่อนนุ่มและเรือนร่างสมบูรณ์แบบที่เย้ายวนใจ เปรียบเทียบกับผู้หญิงคนอื่นๆในร้านขายของชำที่ทั้งอ้วนและเตี้ย
ฉิงเฟิงขมวดคิ้วของเขา เขารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกในขณะที่ถูกผู้คนมากมายจ้องมองเขาในร้านขายของชำ มากกว่าหลายร้อยสายตาที่มองด้วยความอิจฉา
หลินเสวี่ยและหลิวหรูหยานก็ขมวดคิ้วเช่นกัน พวกเธอรู้สึกไม่สบายใจกับการเป็นจุดสนใจเกินกว่าปกติแบบนี้ ผู้คนต่างจ้องมองพวกเธอราวกับจะพุ่งเข้าตระครุบได้ทุกวินาที ดังนั้นพวกเธอจึงเดินตามหลังฉิงเฟิงอย่างใกล้ชิด
ทั้งสามคนรีบหยิบซื้ออาหารและออกจากร้านขายของชำทันที
พวกเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากที่เดินออกจากร้านขายของชำ ในที่สุดพวกเขาก็เป็นอิสระจากการถูกจ้องมองด้วยความอิจฉา
ฉิงเฟิงและหลินเสวี่ยขับ BMW ในขณะที่หลิวหรูหยานขับ Maserati ตามมาติดๆ พวกเขามาถึงวิลล่าในเวลาไม่นาน
…
..
.
วิลล่าหมายเลข 13
ฉิงเฟิง หลินเสวี่ย หลิวหรูหยาน ทั้งนั่งจ้องหน้ากันอยู่ในห้องนั่งเล่น พวกเขาทั้งหมดต่างก็รู้สึกอึดอัด หลินเสวี่ยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเพราะหลิวหรูหยานอยู่ในบ้านของเธอ ส่วนหลิวหรูหยานรู้สึกอึดอัดและทำตัวไม่ถูกเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามาในบ้านของหลินเสวี่ย
ทั้งสามคนนั่งอยู่บนโซฟาและมองไปที่ผักบนโต๊ะ พวกเขาทั้งหมดต่างก็ครุ่นคิดและคิดว่าจะพูดอะไรกัน พวกเขาไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆอย่างงุ่มง่ามที่นี่ตลอดทั้งคืน
ในฐานะเจ้าของบ้าน หลินเสวี่ยเป็นคนแรกที่เอ่ยปากพูด เธอกล่าวว่า “คืนนี้ใครจะทำอาหาร ?”
“ชั้นเป็นแขกนะ มันต้องเป็นคุณไม่ใช่เหรอที่จะต้องเป็นคนทำอาหารเลี้ยงแขก ?”
หลิวหรูหยานกล่าวกับหลินเสวี่ย
การแสดงออกของหลินเสวี่ยเปลี่ยนไปเป็นเย็นชา เธอกล่าวว่า “มิสหลิว คุณต้องการให้ชั้นทำอาหารให้กับคุณงั้นหรือ ?”
“มิสหลิน มันแปลกตรงไหนละ คืนนี้ชั้นมาเป็นแขก ทำไมคุณถึงทำอาหารเลี้ยงชั้นไม่ได้ ?”
“มิสหลิว ขอโทษด้วย ช่วงนี้ชั้นรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร ไม่สามารถทำอาหารได้หรอก”
“เฮ้อ… แย่จัง ชั้นน่ะอยากจะลองชิมอาหารฝีมือคุณแท้ๆเชียว ดูเหมือนคืนนี้จะไม่มีโอกาส” หลิวหรูหยานถอนหายใจกล่าวด้วยความผิดหวัง
หลินเสวี่ยแสยะยิ้มอย่างเย็นชาและไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่มีทางที่เธอจะทำตัวเป็นแม่บ้านและทำอาหารให้หลิวหรูหยานแน่นอน
ฉิงเฟิงนั่งอยู่ระหว่างพวกเธอ เขามองไปที่หลินเสวี่ย แล้วเขาก็หันไปมองหลิวหรูหยาน เขารู้สึกอึดอัดอย่างมาก ผู้หญิงทั้งสองคนนี้ไม่ใครยอมทำอาหารให้กัน ดังนั้นเห็นได้ชัดเลยว่างานนี้ต้องลงเอยที่เขา
“สาวงามทั้งหลาย พวกคุณเลิกเถียงกันได้แล้ว ฉันจะทำอาหารให้พวกคุณทานเอง”
ฉิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ท่ามกลางความรู้สึกประหลาดใจของหลินเสวี่ยและหลิวหรูหยาน ฉิงเฟิงคว้าผักและอาหารทะเล จากนั้นก็ตรงดิ่งเข้าไปที่ห้องครัวและเตรียมที่จะทำอาหารทะเลให้พวกเธอกิน
ฉิงเฟิงกำลังยุ่งอยู่กับงานในครัว ส่วนหลินเสวี่ยและหลิวหรูหยานกำลังนั่งจ้องหน้ากันอยู่ในห้องนั่งเล่น
และถึงแม้ว่าหลินเสวี่ยจะไม่ชอบหลิวหรูหยานแค่ไหนก็ตาม แต่ตามมารยาทเจ้าบ้านเธอก็ยังต้องเตรียมน้ำชาให้เธอ เธอกล่าวว่า “เอ้านี่ ดื่มชาซะ”
“ขอบคุณมาก ชานี้รสชาติเยี่ยมมาก มันคงจะดียิ่งนักถ้าชั้นได้ดื่มมันทุกวัน”
หลิวหรูหยานกล่าวในขณะที่เธอจิบชา
หลินเสวี่ยได้รับบทเรียนมาแล้วจากการเผลอหลุดปากพูด ดังนั้นเธอจึงเงียบ เธอไม่ได้เชิญหลิวหรูหยานมาดื่มชาอีกในครั้งต่อไป
เมื่อหลิวหรูหยานเห็นว่าหลินเสวี่ยไม่ได้เอ่ยปากเชิญ เธอจึงรู้ว่าหลินเสวี่ยเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้นแล้ว
ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำพวกเธอทั้งคู่จึงหันไปมองฉิงเฟิงที่กำลังทำอาหารในครัว ซึ่งคนในสายตาก็คือเป้าหมายในการต่อสู้ของพวกเธอ
“การตกแต่งในห้องนั่งเล่นของคุณดีมากเลย คุณช่วยพาชั้นเดินชมรอบๆบ้านหน่อยได้ไหมคะ ?” หลินหรูหยานถาม
หลินเสวี่ยยิ้มเล็กน้อย เธอรู้ว่าหลิวหรูหยานกำลังจะหาทางโจมตีเธออีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เธอไม่กลัวเพราะที่นี่คือบ้านของเธอ
“ได้สิ ชั้นจะพาคุณไปเดินดูรอบๆ” หลินเสวี่ยลุกขึ้นยืนและพาหลิวหรูหยานเดินชมรอบๆ
ห้องนั่งเล่นของหลินเสวี่ยตกแต่งอย่างเรียบง่าย ผนังเป็นสีขาว พื้นสีขาว โคมไฟระย้าก็ยังเป็นสีขาว เช่นเดียวกับชื่อของเธอ บ้านของเธอเป็นสีขาวหิมะทั้งหมด ทำให้รู้สึกสงบ
หลิวหรูหยานสามารถบอกได้เลยว่าหลินเสวี่ยต้องเป็นคนที่เย็นชาอย่างมากและเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ (โรค OCD เคยลงอธิบายไปในตอนก่อนๆแล้ว) เมื่อดูจากการตกแต่งห้องนั่งเล่น
ขณะที่พวกเธอเดินชมรอบๆบ้าน ทั้งคู่ก็มาถึงห้องนอนของฉิงเฟิง ทันใดนั้นเองหลิวหรูหยานก็มีสายตาที่กระตือรือร้นราวกับนักสืบ เธอเห็นรอยนิ้วมือที่ลูกบิดประตูซึ่งเป็นรอยของใครบางคนจากการเปิดประตูเข้าออกบ่อยๆ
ใครอาศัยอยู่ในห้องนี้กันนะ ?
สายตาหลิวหรูหยานสว่างจ้าและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอเปิดประตูเข้าไปทันที หลินเสวี่ยที่เพิ่งเห็นอยากจะห้ามเธอ แต่มันก็สายเกินไป หลิวหรูหยานเข้าไปในห้องนั้นแล้ว
ห้องนี้ไม่กว้างนักและรกเล็กน้อย มีเฉพาะเตียง โต๊ะและคอมพิวเตอร์อยู่ภายในห้องนี้
ทันใดนั้นสายตาของหลิวหรูหยานก็หรี่ลง เธอเห็นชุดกาโมของฉิงเฟิงอยู่ภายในห้องนี้
(ชุดกาโม = ชุดลายพราง = ชุดลายทหาร เคยเอารูปให้ดูแล้วจำได้นะ)
เดี๋ยวนะ ชุดของฉิงเฟิงอยู่ในห้องนี้ นั่นก็หมายความว่าเขานอนที่นี่ตอนกลางคืน ?
หลิวหรูหยานคิดในใจ อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้เห็นเสื้อผ้าของหลินเสวี่ยสักชิ้น
เป็นไปได้ไหมที่หลินเสวี่ยไม่ได้นอนที่นี่ในตอนกลางคืน ?
ความกังขาแล่นภายในหัวของหลิวหรูหยาน เธอกล่าวว่า “มิสหลินคะ ตอนกลางคืนคุณนอนห้องไหนหรือ ?”
เห็นได้ชัดว่าหลินเสวี่ยไม่ได้สังเกตเห็นแววตาที่ดูแปลกๆของหลิวหรูหยาน เธอกล่าวเบาๆว่า “ชั้นนอนในห้องชั้นสอง”
นอนในห้องบนชั้นสอง ? โป๊ะเชะเลย ! อย่างที่ชั้นคาดไว้ หลินเสวี่ยไม่ได้นอนห้องเดียวกับฉิงเฟิง !
หลิวหรูหยานคิดในใจ การค้นพบในครั้งนี้ทำให้เธอมีความสุขมากมาย
ในตอนแรกหลินเสวี่ยไม่เข้าใจว่าทำไมหลิวหรูหยานถึงดูมีความสุขอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้ แต่เมื่อเธอได้เห็นชุดของฉิงเฟิงในห้องนั้นเธอก็เข้าใจทันที
“โอ้ ไม่นะ หลิวหรูหยานพบแล้วว่าชั้นกับฉิงเฟิงแยกห้องนอนกัน” หลินเสวี่ยคิดในใจ ความกระวนกระวายเกิดขึ้นในแววตาของเธอ
แต่ในฐานะผู้หญิงที่เฉลียวฉลาด หลินเสวี่ยรีบแก้เกมอย่างรวดเร็วในทันที เธอกล่าวว่า “ฉิงเฟิงเขามานอนในห้องนี้เป็นบางครั้ง ปกติเขานอนห้องเดียวกับชั้นตลอดเวลา..”
“อ๋อ….เหรอ ?” หลิวหรูหยานยิ้มมุมปากเล็กน้อย
เธอไม่ใช่คนโง่ เธอสามารถบอกได้เลยว่าหลินเสวี่ยพยายามอธิบายเพื่อจะแก้ตัวเมื่อฟังจากโทนเสียงที่กระวนกระวายของเธอ
ยิ่งเวลาที่คนคนหนึ่งพยายามอธิบายอะไรมากขึ้นเท่าไร มันก็ยิ่งดูมีพิรุธมากขึ้นเท่านั้น
หลิวหรูหยานยิ้มและส่ายหัว เธอไม่เชื่อคำพูดของหลินเสวี่ยเลยแม้แต่น้อย