199 – การตอบโต้ของผู้ว่าการแคว้น
วันรุ่งขึ้น หิมะเริ่มตกหนัก ท่ามกลางเกล็ดหิมะที่พลิ้วไหว เอี้ยนเต่อชางออกจากย่านโรงตีเหล็กและมุ่งหน้ากลับสู่มณฑลชิงไห่
สําหรับเอี้ยนลี่เฉียงและเฉียนซู ทั้งคู่ได้เดินทางไปยังคฤหาสน์ตระกูลสู่บนม้าแรดแรดหลังอาหารกลางวัน
เมื่อพวกเขามาถึงครึ่งทางก็ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนบนพื้นด้านหน้าพวกเขา ทันใดนั้นพวกเขาก็มองเห็นกองทหารที่มีคนจํานวนนับร้อยขี่ม้าแรดถึงมาทางนี้
เอี้ยนลี่เฉียงและเฉียนซูที่กําลังคุยกันได้แลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่งก่อนจะหยุดมาของตัวเองไว้ริมถนน
มันน่ากลัวมากที่มีมาแรดจํานวนมากวิ่งอยู่บนถนนพร้อมกัน มันเหมือนกับว่ามีคนจํานวนมากขับรถสปอร์ตด้วยความเร็วบนทางหลวง
หากบังเอิญไปชนกับอีกคนหนึ่งโดยตรงหรือมีคนควบคุมม้าไม่ได้เนื่องจากขาดทักษะ อาจนําไปสู่สถานการณ์ที่คุกคามถึงชีวิตได้ดังนั้นทั้งสองจึงจําเป็นต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง
หลังจากเว้นระยะหายใจสักครู่ กองทหารม้ากลุ่มใหญ่ที่ติดอาวุธธนูและหอกก็เข้ามามองจากอีกด้านหนึ่งของเนินเขา พวกเขาไม่ได้สนใจเอี้ยนลี่เฉียงและเฉียนซูด้วยซ้ํา
“โอ้ เหล่านี้เป็นหน่วยทหารม้าชั้นยอดจากเมืองผิงซีทําไมพวกเขาถึงรีบไปที่เมืองหวงหลง?” เอี้ยนลี่เฉียงอุทานด้วยความตกใจกับเฉียน
เมื่อมองไปในทิศทางที่ทหารม้าวิ่งไปเฉียนซูก็ขมวดคิ้ว “ไปเถอะ เราจะคุยกันเมื่อเรามาถึงคฤหาสน์ตระกูลลู่.”
“เอาล่ะ…”
ทั้งคู่ก็เดินทางต่อไปข้างหน้าพวกเขาแทบไม่คิดเลยว่าอีกไม่กี่นาทีต่อมา พวกเขาจะได้เห็นกลุ่มนักขี่กลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งอยู่บนท้องถนน มีไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าสิบคน
แต่ละคนสวมเสื้อคลุมและผ้าโพกศีรษะสีแดงขณะที่พวกเขาโบกแส์ไปบนหิมะ ดูเหมือนพวกเขากําลังไล่ตามทหารม้าเหล่านั้น
เมื่อมองจากเครื่องแต่งกายก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าคนพวกนี้คือผู้พเนจร
มีบางอย่างที่น่ากลัวเกิดขึ้น ต้องมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น
เอี้ยนลี่เฉียงและเฉียนซูได้แลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะหยุดทันที
“ลุงเฉียน ดูสิ” เอี้ยนลี่เฉียงร้องออกมา
“ไปตรวจสอบกันก่อนพวกเราค่อยไปที่ตระกลล่…” เฉียนซ์ควบม้านหน้าออกไปทันที
“ตกลงตามนั้น…”
ทั้งสองคนบขี่ม้าของพวกเขาก่อนจะไล่ตามฝงผู้พเนจร..
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเอี้ยนลี่เฉียงและเฉียนซู เพิ่งเลี้ยวเข้าทางแยกที่อยู่ติดกับเนินลาดของภูเขา ไม่กี่นาทีต่อมาทั้งคู่ก็กลับมาที่ทางแยกอีกครั้งหลังจากตามผู้พเนจรขี่ม้าจากระยะไกล
ทิศทางที่กลุ่มผู้พเนจรมุ่งหน้าไปนั้นเหมือนกับทิศทางของทหารม้าในตอนนี้
วันนี้หิมะเพิ่งเริ่มตกเท่านั้น แต่อากาศก็เริ่มหนาวแล้ว ขณะที่มาแรดของพวกเขาเริ่มเร่งความเร็ว ใบหน้าของพวกเขาก็ถูกลมพัดโชยรุนแรงจนทําให้รู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าใบหน้าของพวกเขาถูกมีดบาด
เอี้ยนลี่เฉียงและเฉียนซู ดึงปลอกคอหนังขึ้นเพื่อปิดใบหน้า ขณะที่ก้มตัวลงครึ่งหนึ่งและฝังร่างกายของตัวเองเข้าไปในแผงคอของม้าแรดเพื่อเคลื่อนไปข้างหน้าและไล่ตามจนทัน
ดูเหมือนว่าพวกผู้พเนจรจะสังเกตเห็นเอี้ยนลี่เฉียงและเฉียนซูตามพวกเขาจากด้านหลัง มีพวกเขาสองคนหันกลับมามองแต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ใส่ใจเลย
“ลุงเฉียน เส้นทางนี้นําไปสู่ที่ไหน”
เอี้ยนลี่เฉียงถามเฉียนซูด้วยเสียงอู้อี้เมื่อเมื่อพวกเขามาถึงทางแยก
“เส้นทางนี้สามารถนําไปสู่สถานที่ต่างๆได้มากมาย มีทางแยกอีกสองทางข้างหน้า เราจะรู้มากขึ้นถ้าเราไปที่นั่น..”
เอี้ยนลี่เฉียงหยุดพูดและตามหลังอย่างใกล้ชิด หลังจากนั้นไม่กี่นาที พวกผู้พเนจรที่อยู่ข้างหน้าก็มุ่งหน้าไปทางแยกหนึ่งซึ่งตรงกลางทางมีเมืองขนาดใหญ่เทียบเท่าได้กับคฤหาสน์ตระกูลลู่
“ป้อมปราการตระกูลหวัง พวกเขากําลังมุ่งหน้าไปยังป้อมปราการตระกูลหวัง..” ในที่สุดเฉียนซูก็พูดออกมา
เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกปวดร้าวในใจ นี่คือป้อมปราการตระกูลหวัง ซึ่งเป็นบ้านของหวังฮ่าวเฟย ตระกูลหวังมีรากฐานเพียงพอที่จะยืนหยัดอย่างเท่าเทียมกับตระกูลลู่ในหวงหลง
ทําไมทหารม้าชั้นยอดจากเมืองผิงซีและผู้พเนจรเหล่านั้นจึงรีบไปที่ป้อมปราการตระกูลหวัง? เป็นไปได้ไหมว่า…
การคาดเดาที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นจากความคิดของเอี้ยนลี่เฉียงในทันที
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่ความคิดปรากฏขึ้น เอี้ยนลี่เฉียงปฏิเสธทันที
มันเป็นไปไม่ได้ มีผู้คนมากมายในป้อมปราการหวัง เย่เทียนเฉิงทําสิ่งนี้ได้อย่างไร? นี่เป็นความชั่วร้ายเกินไป หากเป็นอย่างนั้นจริง คนบริสุทธิ์จํานวนนับไม่ถ้วนจะถูกลากเข้ามาในเรื่องนี้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่น…
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงกําลังคิดอยู่ ควันสีดําก็ลอยขึ้นมาจากจากป้อมปราการตระกูลหวังแล้ว
ควันดําที่เกิดจากไฟไหม้อาคารบางแห่งเป็นภาพที่ไม่น่ามองในสภาพอากาศแบบนี้
หลังจากติดตามผู้พเนจรเหล่านั้นครู่หนึ่งเฉียนซูและเอี้ยนลี่เฉียงก็สามารถมาถึงนอกป้อมปราการตระกูลหวังได้
ทหารม้าประมาณ 20 นายยืนเฝ้าอยู่หน้าเส้นทางไปยังป้อมปราการตระกูลหวัง เมื่อผู้พเนจรรีบเข้าไปในป้อมปราการ ทหารม้าไม่ได้หยุดพวกเขา
เอี้ยนลี่เฉียงเห็นว่าผู้พเนจรคนหนึ่งหยุดชั่วขณะเมื่อเขาเดินผ่านกองทหารม้าเหล่านั้น และชี้มาในทิศทางของเขาและเฉียนซู ขณะที่กระซิบคําสองสามคํากับกองทหาร
ทหารม้าทั้งห้าก็กําลังเข้ามาเอี้ยนลี่เฉียงและเฉียนซูในทันที
“พวกเจ้าสองคนเป็นคนตระกูลหวังหรือ…” ทหารม้าทั้งห้าล้อมหยานลี่เฉียงและเฉียนซูทันทีที่พวกเขามาถึง
พวกเขาจ้องมองพวกเขาอย่างใกล้ชิดด้วยสายตาที่เฉียบคมราวกับใบมีด แต่ละคนมีอาวุธอยู่ในมือ พร้อมที่จะโจมตีทุกเมื่อราวกับว่าพวกเขาจะฆ่าเอี้ยนลี่เฉียงและเฉียนซูทันทีหากพวกเขาทําท่าที่น่าสงสัยเล็กน้อย
“อย่าเข้าใจผิด ล้วนแต่เป็นคนกันเองทั้งสิ้น เมื่อเราเห็นกลุ่มคนพเนจรมาที่นี่ เราก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เราจึงติดตามพวกเขามาเพื่อตรวจสอบสถานการณ์…”
เฉียนซูกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึมก่อนจะหยิบป้ายคาดเอวของผู้บัญชาการเฟยหยางแห่งออกจากหน้าอกเสื้อและนําเสนอต่อทหารม้าทั้งห้า
ทหารม้าทั้งห้าตกใจเมื่อเห็นป้ายคาแอวของเฉียนซูและรีบเก็บอาวุธทันที พวกเขาประสานมือแล้วกล่าวว่า
“น้อมพบปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก..
“ตระกูลหวังก่ออาชญากรรมอะไรถึงได้ก่อความโกลาหลเช่นนี้?”
“ตระกูลหวังได้สมรู้ร่วมคิดกับคนเลวทรามหลายคนในหมู่ชาวชาตู เพื่อลักพาตัวและสังหารหญิงสาวจากมณฑลหวงหลงและเมืองผิงซี
พวกเขาหลอกล่อนายน้อยของผู้ว่าการแคว้นด้วยวิธีนอกรีต สํานักงานบังคับกฎหมายได้เข้าควบคุมอาชญากรรมต่างๆที่ตระกูลหวังได้ก่อขึ้นแล้ว วันนี้กองทหารของเรามาที่นี่ก็เพื่อจัดการตระกูลหวังให้สิ้นซาก “ทหารม้าคนหนึ่งตอบเฉียน”อ้อ เข้าใจแล้ว ไม่คิดว่าตระกูลหวังจะเป็นคนชั่วช้ขนาดนี้ โชคดีที่ท่านผู้ว่าการค้นพบอย่างรวดเร็ว..แต่ต้องขอโทษท่านปรมาจารย์ช่างตีเหล็กด้วย พวกเราจําเป็นต้องควบคุมสถานที่แห่งนี้ไม่อนุญาตให้ ท่านเข้าไป…แ”ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล.. “เฉียนซูโบกมือและยิ้ม” พวกท่านทําหน้าที่ของตัวเองเถอะ!”ขอบคุณปรมาจารย์ช่างตีเหล็กที่เข้าใจ!“เอี้ยนลี่เฉียงและเฉียนขี่ม้าของพวกเขาและยืนอยู่ที่เส้นทางนอกป้อมปราการตระกูลหวัง ขณะที่พวกเขาสังเกตสถานการณ์ในป้อมปราการ
ภายในป้อมปราการเกิดเสียงกรีดร้องขึ้นมากมายทุกคนต่างชุลมุนวุ่นวาย
ทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งไปรอบๆภายในป้อมปราการตระกูลหวังด้วยมาแรดพร้อมกับกวัดแกว่งดาบแล้วตะโกนออกมาว่า”ตามคําสั่งของผู้ว่าแควัน เราอยู่ที่นี่เพื่อไล่ตามอาชญากรของตระกูลหวัง ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คุกเข่า ลงเราจะฆ่าทุกคนที่หยิบอาวุธขึ้นต่อสู้… “…
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงเห็นสถานการณ์นี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาไม่คิดว่าเย่เทียนเฉิงจะท่าสิ่งนั้นจริงๆ เขาทําการโยนความผิดทุกอย่างเข้าใส่ตระกูลหวังโดยที่ตัวเองพยายามลอยตัวเหนือปัญหา
สมาชิกส่วนใหญ่ในตระกูลหวังไม่แน่ว่าจะเป็นคนดี แต่ในทํานองเดียวกันพวกเขาก็ย่อมมีคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่ด้วย เมื่อเห็นการจู่โจมในวันนี้ ไม่ทราบจํานวนคนในตระกูลหวังเท่าใดที่จะต้องถูกสังเวยไปในการโจมตีครั้งนี้”ลี่เฉียง เกิดอะไรขึ้น สีหน้าเจ้าดูแย่มาก.. “เฉียนซูถามด้วยความเป็นห่วงขณะที่เขายืนอยู่ข้างๆเอี้ยนลี่เฉียง”ลุงเฉียน ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่รู้สึกตกใจนิดหน่อย แค่นั้นเอง!“เอี้ยนลี่เฉียงขยับริมฝีปากราวกับกําลังยิ้ม ก่อนจะพูดด้วยน้ําเสียงแผ่วเบา
“ลุงเฉียน คุณเชื่อเรื่องที่พวกทหารพูดหรือเปล่า”
เฉียนซูใช้เวลาไม่กี่วินาทีก่อนจะถอนหายใจแล้วกล่าวว่า
“มันไม่สําคัญว่าข้าจะคิดอย่างไร ตราบใดที่ผู้ว่าการต้องการให้ตระกูลหวังย่อยยับพวกเขาก็ไม่อาจมีชีวิตรอดได้ นี่คือธรรมชาติของโลก … ” จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า”มีเพียงเจ้าต้องกลายเป็นใหญ่เท่านั้นเจ้าจึงจะมีอํานาจแก้ไขเรื่องทุกอย่าง ไปกันเถอะ…”
เฉียนซูสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วหันหลังให้กับป้อมปราการตระกูลหวัง