บทที่ 219 ยอมคุกเข่า

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 219 ยอมคุกเข่า

บทที่ 219 ยอมคุกเข่า

ขาของปีศาจร้ายผู้ยึดครองร่างของเสวียนหลีอ่อนกำลัง มันคุกเข่าบนลานประลอง มองร่างที่ปรากฏขึ้นด้านหลังของลู่หยวนด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา

บรรพชนปีศาจเจ็ดเนตรเก้ากรราวกับคืบคลานมาจากนรก ดวงตาสีชาดทั้งเจ็ดของมันจับจ้องมาที่ปีศาจร้ายพร้อมแรงกดดันโลหิตอันหนักอึ้งแผ่ออกมา

แรงกดดันของมันไม่ต่างจากทัณฑ์สวรรค์ เคลื่อนลงมาปกคลุมเหนือร่างเสวียนหลี

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่า อยากให้ข้าตายใช่หรือไม่?”

ลู่หยวนถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน มือที่กำลังสร้างผนึกลดระดับลง

ปีศาจร้ายมองมาทางชายหนุ่ม มันพบว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าบรรพชนปีศาจเจ็ดเนตรเก้ากรผู้นี้ แม้จะมีใบหน้าประหนึ่งมงกุฎหยก แต่แรงกดดันของเผ่ามังกรที่อยู่รอบกายมีความผันผวน ราวกับอีกฝ่ายคือบุตรแห่งทวยเทพผู้จุติลงมาจากสวรรค์

แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ดูเหมือนว่าลู่หยวนผู้ประสานเข้ากับพลังสีม่วง ช่างละม้ายลูกหลานปีศาจ หรือไม่… ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงกัน

เหอะ…

คิดไปก็เท่านั้น ด้วยพละกำลังที่มันสั่งสมมาทั้งชีวิต อย่างน้อยด้วยพลังของปีศาจร้ายก็ถูกนับว่าเป็นตัวตนอันแข็งแกร่ง!

วันนี้มันจะกล้าคุกเข่าต่อหน้ามนุษย์ได้อย่างไร?!

“เหอะ ถึงกับอัญเชิญบรรพชนปีศาจออกมาเพื่อใช้สายเลือดข่มข้างั้นหรือ?”

ปีศาจร้ายเย้ยหยัน มันกระตุ้นพละกำลังทั้งหมดขึ้นมา ก่อนจะยืนหยัดขึ้นมาอย่างไม่มั่นคงนัก ภายใต้แรงกดดันของบรรพชนปีศาจเจ็ดเนตรเก้ากร

“ลู่หยวน วันนี้ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นเป็นบุญตาเอง”

ปราณของปีศาจร้ายปรากฏขึ้น พลังสีม่วงรอบข้างมันพลันย้อนกลับมาปกคลุมร่างกายอย่างแน่นหนา พยายามขัดขืนแรงกดดันอันมหาศาลอย่างสุดความสามารถ สายตาของมันจับจ้องศัตรูพลางย่างเท้าเข้าหาทีละก้าว

บนอัฒจันทร์…

เซียวเทียนกับพวกกลุ่มเทียนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม ตอนที่ลู่หยวนอัญเชิญตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าปีศาจร้ายออกมา พวกเขาล้วนถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลงคิดไปว่าคู่ต่อสู้จะยอมรามือ

แต่คาดไม่ถึงว่าปีศาจร้ายจะจองล้างจองผลาญบุตรศักดิ์สิทธิ์ถึงเพียงนี้ มันถึงขั้นพยุงร่างกาย เดินเข้าหาอีกฝ่ายทีละก้าว

“ปีศาจร้ายตนนี้อยากให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ตายจริงหรือ?!”

“เขามีอุบายมากมาย นางไม่มีทางทำสำเร็จเป็นแน่!”

“ถึงปีศาจที่ถูกบุตรศักดิ์สิทธิ์อัญเชิญมาจากค่ายกลต้องห้ามวิญญาณสวรรค์จะทรงพลังกว่า แต่ปีศาจร้ายตนก่อนยึดครองร่างของเสวียนหลีไปแล้ว หมายความว่ามันมีกายเนื้อให้สิงสู่ ดังนั้นอาจจะใช้อุบายกับมันไม่ได้!”

เซียวเทียนกุมกระบี่ใหญ่เอาไว้ วิถีกระบี่รอบกายเขาแข็งแกร่งขึ้น “ถ้ามันกล้าทำร้ายพี่ลู่ วันนี้ข้าจะฆ่ามันเอง!”

ส่วนอาจารย์สำนักทั้งหลายยืนอยู่บนแท่นสูง มุมปากของพวกเขากระตุก

ปีศาจร้ายตนก่อนนับว่าแย่พออยู่แล้ว แต่ลู่หยวนถึงกับอัญเชิญตนที่ทรงพลังยิ่งกว่าออกมาอีก!

จบการต่อสู้เมื่อไหร่ พวกเขาต้องลงไปเก็บกวาด!

เพียงแต่…

รากฐานการบ่มเพาะของบุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เหนือไปกว่าของเสวียนหลี ร่างกายหาได้มีวิถีเร้นลับ ถึงกระนั้นเขากลับสามารถอัญเชิญบรรพชนปีศาจออกมาได้ด้วยโลหิตเพียงไม่กี่หยดเท่านั้น

ต้องทราบก่อนว่า เสวียนหลีผู้แบกรับวาสนาของวิถีลึกลับได้สังเวยวิญญาณตนเอง จึงทำให้ปีศาจร้ายเช่นนั้นปรากฏกายขึ้นมา!

ลู่หยวนผู้นี้…

มีอุบายติดตัวมากแค่ไหนกัน!

บนพื้นที่…

ปีศาจร้ายก้าวเข้าหาบุตรศักดิ์สิทธิ์จนอยู่ห่างเพียงสามฉื่อ สีหน้าขุ่นเคืองเดิมของมันพลันหายไป

ภายหลังเสียง ‘ตุบ’ ดังขึ้น ปีศาจร้ายก็คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย

“ลู่หยวน ข้าขอบอกไว้ก่อน ข้าไม่ได้คุกเข่าให้ท่านเพราะแรงกดดันของบรรพชน!”

“แต่เป็นเพราะท่านแข็งแกร่ง! บรรพชนปีศาจตายไปหลายแสนปีแล้ว แม้จะถูกอัญเชิญขึ้นมา มันก็เป็นเพียงร่างมายา จิตเทวะของมันพร่าเลือน ย่อมไม่สามารถรับใช้ท่านได้เต็มที่”

“บุตรศักดิ์สิทธิ์ ข้ายังอ่อนเยาว์และตายช้ากว่า! ยามนี้ข้าได้ยึดครองร่างเสวียนหลีเอาไว้ สามารถรับใช้บุตรศักดิ์สิทธิ์ได้! โปรดเลือกข้าเป็นข้ารับใช้ ข้าทำได้ทุกอย่าง!”

“อย่าไปเลือกบรรพชน หน้าตาของมันอัปลักษณ์ ส่วนหน้าตาของข้าหล่อเหลา!”

ปีศาจร้ายคลานเข่าเข้ามาหาแทบเท้าบุตรศักดิ์สิทธิ์ สายตาของมันเต็มไปด้วยความปรารถนา

คนที่อัญเชิญบรรพชนปีศาจออกมาได้ด้วยโลหิตเพียงไม่กี่หยด ย่อมนับว่าทรงพลังเกินกว่าจะพรรณนาออกมาได้!

คนผู้นี้ ย่อมต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ปกครองทั่วทั้งแผ่นดินในอนาคตเป็นแน่

ขอเพียงมันติดตามบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ เส้นทางภายภาคหน้าย่อมไร้ขีดจำกัด!

แม้เสียงของปีศาจร้ายจะไม่ดัง แต่ผู้ที่อยู่บนอัฒจันทร์กับแท่นสูงย่อมได้ยินชัดเจน

ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างพูดไม่ออก มันเงียบถึงขั้นได้ยินเสียงเข็มตกลงพื้น บางคนถึงขั้นอ้าปากตาค้าง

ปีศาจร้ายตนนี้มันพูดบ้าอะไร?!

มันบอกว่าไม่ยอมไม่ใช่หรือ?!

มันบอกว่าจะพรากชีวิตลู่หยวนไม่ใช่หรือ?!

บัดนี้มันกลับยอมคุกเข่าแต่โดยดี! สีหน้าท่าทางราวกับสุนัขเลียแข้งประจบประแจง ทำให้หลายคนรู้สึกกระอักกระอ่วน

เมื่อได้เห็นท่าทียอมจำนนของปีศาจร้าย สายตาของบางคนเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา

หากพวกเขามีพลังของปีศาจร้ายเช่นนั้น ย่อมสามารถคุกเข่าต่อหน้าบุตรศักดิ์สิทธิ์ และประจบสอพลอได้อย่างง่ายดาย เมื่อนั้นลู่หยวนจะต้องรับพวกเขาเป็นศิษย์น้องเป็นแน่!

ด้วยรากฐานการบ่มเพาะของพวกเขาในตอนนี้ ต่อให้เป็นสุนัขรับใช้ของบุตรศักดิ์สิทธิ์ อีกฝ่ายก็ย่อมมองพวกเขาไม่ต่างจากขยะ

“สมกับเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่!”

บนแท่นสูง ฮ่วนซิงไป๋ไม่อาจนั่งติดเก้าอี้ได้อีกต่อไป เขาขยับมาวางก้นตรงราวบันได ดวงตาเป็นประกายทั้งสองข้างจับจ้องไปยังพื้นที่ดังกล่าว “ในภายภาคหน้าข้าอยากกลายเป็นคนอย่างบุตรศักดิ์สิทธิ์! ข้าจะไต่เต้าจนเป็นใหญ่ในหมู่บริวาร และทำให้ปีศาจร้ายตนนี้คุกเข่าก้มกราบตรงหน้า และน้อมรับคำสั่งแต่โดยดี!”

ยามจักรพรรดินีได้ฟัง นางยังคงมีท่าทีเฉยชา

มู่พ่านซานผู้อยู่อีกด้านกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เป้าหมายการฝึกฝนของท่านฮ่วนเพียงเพื่อให้ได้รับการก้มหัวให้อย่างนั้นหรือ?”

“วิถีมีนับไม่ถ้วน ผู้บ่มเพาะฝึกฝนจิตใจ ไม่ว่าพวกเขาจะฝึกฝนแบบไหน ขอให้ท่านฮ่วนพึงระลึกเสมอเอาไว้ว่าพวกเขาทำเพื่อแดนมัชฌิม ทำเพื่อประชาชน ทำเพื่อแผ่นดินหยวนหง”

คลื่นพลังที่ก่อตัวด้านหลังองครักษ์คนสนิทของจักรพรรดินียิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ทำเอาฮ่วนซิงไป๋ลอบกล่าวในใจว่า ‘น่ารำคาญ’ พลางเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มคลี่ออกมา ก่อนจะพลิกตัวนั่งลงแล้วทำความเคารพ “ข้ารู้ว่าตนพลั้งปากพูดออกไป ท่านอามู่ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าจะทบทวนตัวเองให้ดีกว่านี้!”

ใบหน้าของฮ่วนซิงไป๋ประดับด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจของเขากลับก่นด่าสาปแช่งมู่พ่านซาน

รอให้ข้าเอาชนะเจ้าในภายภาคหน้าได้ก่อนเถอะ สิ่งแรกที่ข้าจะทำคือทำให้เจ้าหุบปากตลอดไป!

“ในเมื่อท่านฮ่วนรู้ตัวดีแล้ว เช่นนั้น…”

มู่พ่านซานอยากพูดอะไรบางอย่าง

ฮ่วนซิงไป๋กลอกตา พลางสะกดโทสะทั้งหมดเอาไว้ เขาก้มศีรษะ เพื่อเตรียมรับฟังคำพร่ำเพ้อของตาเฒ่าผู้นี้

“บัดนี้ซิงไป๋เติบใหญ่แล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดจาให้มากความ เขาย่อมมีแนวทางเป็นของตัวเอง”

จักรพรรดินีพลันเอ่ยคำ เพื่อขัดคำพูดของมู่พ่านซาน

องครักษ์คนสนิทสงบคำทันที ก่อนถอยไปอยู่ด้านข้าง และยืนตระหง่านไม่ขยับราวกับหินผา

ฮ่วนซิงไป๋บังเกิดความยินดีอยู่ในใจ ในที่สุดมู่พ่านซานก็โดนจักรพรรดินีตำหนิเสียที!

นางเงยหน้ามองว่าที่น้องเขยด้วยสายตาเรียบเฉย ประหนึ่งน้ำนิ่งที่ไม่อาจก่อเกิดระลอกคลื่นได้ “เรื่องเทียบเชิญลู่หยวน คืบหน้าอย่างไรบ้าง?”

เรื่องที่นางเอ่ยถึง คือเรื่องที่ฮ่วนซิงไป๋เชิญบุตรศักดิ์สิทธิ์ไปโบราณสถานของราชวังจักรพรรดิแดนมัชฌิมด้วยกัน

ฮ่วนซิงไป๋ตอบทันทีว่า “ฝ่าบาทไม่ต้องห่วง บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ตอบตกลงแล้ว!”

“อื้ม”

จักรพรรดินียกถ้วยชาขึ้น นางจิบหนึ่งคราแล้ววางถ้วยลง

“จำไว้ อย่าลืมแนะนำให้ลู่หยวนรู้จักกับดินแดนเก้าวิหคเพลิง!”

ฮ่วนซิงไป๋ที่เดิมยิ้มกว้างพลันแข็งทื่อ ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เขาก็ยกมือขึ้นทำความเคารพ น้ำเสียงอ่อนลง “ข้าจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง”