ตอนที่ 355 ข้ามาแล้ว (4) / ตอนที่ 356 ข้ามาแล้ว (5)
ตอนที่ 355 ข้ามาแล้ว (4)
เยี่ยซาที่เกิดใหม่ไม่มีความทรงจำใดๆ มีเพียงความภักดีต่อจวินอู๋เย่าเท่านั้น
จวินอู๋เย่ายังคงสั่งให้เยี่ยซาปกป้องความปลอดภัยของจวินอู๋เสียในเงามืดต่อไป
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่โจมตีข้านั้นมาจากที่ไหน” จวินอู๋เสียมองไปที่จวินอู๋เย่าแล้วถาม นางมักจะรู้สึกว่าเขารู้ทุกอย่างอยู่เสมอ
รอยยิ้มที่มุมปากของจวินอู๋เย่าเปลี่ยนเป็นเย็นชา “คนจากสามโลกชั้นกลาง สาวกของตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ”
“สามโลกชั้นกลาง?” จวินอู๋เสียเอียงศีรษะ นางเคยได้ยินคำว่า ‘สามโลกเบื้องล่าง’ มาหลายครั้งแล้ว แต่ตอนนี้จวินอู๋เย่าก็กำลังพูดถึง ‘สามโลกชั้นกลาง’ อย่างนั้นหรือ มันคืออะไรกัน
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยของเขาดูจะสับสนเล็กน้อย จวินอู๋เย่าจึงค่อยๆ อธิบายไปอย่างอดทนว่า “ภายใต้ฝืนฟ้านี้ มีโลกอยู่ทั้งสิ้นสามโลก ซึ่งจะแบ่งตามความแข็งแกร่งของแต่โลก โดยมีสามโลกชั้นสูง สามโลกชั้นกลาง และสามโลกชั้นล่าง หรือ สามโลกเบื้องล่าง ที่เจ้าเคยได้ยินบ่อยๆ เสี่ยวเสียเอ๋อร์ของข้า ตอนนี้เจ้าอยู่ในสามโลกเบื้องล่าง ส่วนคนที่โจมตีเจ้านั้นมาจากสามโลกชั้นกลาง เจ้ายังจำเรื่องที่ข้าเคยพูดก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการกลืนกินภูติวิญญาณ”
จวินอู๋เสียพยักหน้า
“ในสามโลกเบื้องล่างการกลืนกินภูติวิญญาณอาจไม่เป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป เนื่องจากสิ่งนี้แพร่กระจายมาจากสามโลกชั้นกลาง เพื่อหล่อเลี้ยงวงแหวนภูติวิญญาณของพวกเขาเอง พวกเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงพลังของวงแหวนภูติวิญญาณของคนอื่นมาเป็นของตนเอง ซึ่งในหมู่วงแหวนภูติวิญญาณทั้งหมด ภูติวิญญาณที่ให้ผลลัพธ์ในเชิงยกระดับพลังวิญญาณแก่ผู้ที่ดูดกลืนมากที่สุด ก็คือภูติวิญญาณประเภทพฤกษาที่เจ้าถือครองอยู่นั่นเอง” จวินอู๋เย่าหรี่ตาลง เจ้าพวกสวะที่มันกล้าเล่นงานเสี่ยวเสียเอ๋อร์ของเขา พวกมันมีกี่ชีวิตกัน
“ภูติวิญญาณประเภทพฤกษามีความสามารถในการรักษาตัวเองที่ทรงพลังมาก และอัตราการเติบโตของพลังวิญญาณหลังจากที่กลืนกินมันเข้าไป ก็ให้ค่าที่สูงมากเป็นหลายสิบเท่าหากเปรียบเทียบกับการกลืนกินภูติวิญญาณประเภทอื่น ภูติวิญญาณประเภทพฤกษาจึงเป็นที่จับตามองมากและเป็นเป้าหมายที่ถูกไล่ล่ามากที่สุด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเกิดของวงแหวนภูติวิญญาณประเภทพฤกษานั้นมีอยู่น้อยมาก และพวกมันก็แทบจะไม่ส่งสัญญาณใดๆ เพื่อบ่งบอกถึงการเกิดของพวกมันเลย ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่ที่ครอบครองวงแหวนภูติวิญญาณประเภทพฤกษาอยู่ จึงไม่รู้ตัวเลยว่าตนมีวงแหวนภูติวิญญาณประเภทนี้ และใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไปที่ไม่สามารถบ่มเพาะพลังวิญญาณได้ไปจนตาย”
เมื่อเผชิญหน้ากับการไล่ล่าอย่างหนักของคนจากสิบสองตำหนัก ผู้ที่ครอบครองวงแหวนภูติวิญญาณประเภทพฤกษาและสามารถมีชีวิตอยู่รอดไปจนถึงวัยชราได้ นี่นับว่าเป็นโชคดีของพวกเขาแล้ว
“ในเมื่อบัดนี้คนของตำหนักเปลวเพลิงปีศาจรู้แล้วว่าเจ้าถือครองวงแหวนภูติวิญญาณประเภทพฤกษาอยู่ การที่เจ้าหลบหนีออกมาได้ในครั้งนี้ อีกไม่นานคนพวกนั้นจะต้องไล่ล่าเจ้ามาอย่างแน่นอน และพวกเขาจะส่งคนจำนวนมากลงมายังสามโลกเบื้องล่างแห่งนี้เพื่อค้นหาร่องรอยของเจ้าและเอาตัวเจ้ากลับไป” รอยยิ้มอาฆาตประดับอยู่บนมุมปากของเขาจวินอู๋เย่า วงแหวนภูติวิญญาณประเภทพฤกษานั้นมันล่อตาล่อใจจนเกินไป พวกนั้นไม่มีทางยอมรามือง่ายๆ แน่ และดูจากสันดานของพวกมันแล้วพวกมันจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อค้นหาตัวจวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียมองไปที่จวินอู๋เย่า และรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นความจริง ในวันนั้นทั้งสองคนนั้นก็ตั้งใจจะฆ่านางจริงๆ ไม่ใช่หรือ
ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยซายอมระเบิดตัวเองถ่วงเวลาให้พวกนางหนีมา นางคงนอนตายเป็นศพอยู่บนเทือกเขาเมฆานั้นแล้ว
“ความแข็งแกร่งของพวกนั้น อยู่เหนือระดับพลังวิญญาณขั้นสีม่วง”
จวินอู๋เย่ากล่าวว่า “พลังวิญญาณขั้นสีม่วงเป็นเพียงจุดสูงสุดของผู้คนในสามโลกเบื้องล่างนี้”
ดวงตาของจวินอู๋เสียเปลี่ยนเป็นเย็นชา การตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มคนที่แข็งแกร่งเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
หากพวกเขาทุ่มพลังค้นหานางอย่างจริงจัง ยังไม่ต้องพูดถึงว่านางจะสามารถปกป้องตัวเองได้หรือไม่ ตอนนี้นางมีเวลาเหลืออยู่ไม่มากแล้ว นางต้องยกระดับพลังของตัวเองให้เพิ่มขึ้นโดยเร็วที่สุด
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้น จะต้องไม่เกิดขึ้นซ้ำสองอีก!
“ถ้าตำหนักเปลวเพลิงปีศาจหายไปจากโลกใบนี้แล้ว ก็จะไม่มีใครรู้ว่าในสามโลกเบื้องล่างแห่งนี้มีวงแหวนภูติวิญญาณประเภทพฤกษาหลบซ่อนอยู่อีก” จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้น นางสามารถทำลายสำนักชิงอวิ๋น นางก็สามารถลบล้างตำหนักเปลวเพลิงปีศาจให้หายไปจากโลกใบนี้ได้เช่นกัน!
เนื่องจากวงแหวนภูติวิญญาณประเภทพฤกษามีค่าและหายากมาก บุรุษทั้งสองคนจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจจะไม่มีวันยอมเปิดเผยเรื่องนี้แก่ขุมอำนาจอื่นๆ ดังนั้นตราบเท่าที่ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจถูกทำลายลง นางก็จะปลอดภัย
จวินอู๋เย่าหัวเราะเสียงดังทันที
ทำลายตำหนักเปลวเพลิงปีศาจหรือ เด็กน้อยที่น่ารักของเขาช่างมีความกระหายมากจริงๆ
“ถ้าเจ้าคิดจะทำลายตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ ก่อนอื่นเลยสิ่งที่เจ้าต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือทะลวงระดับไปให้ถึงขั้นพลังวิญญาณขั้นสีม่วงก่อน ผู้คนจากสามโลกเบื้องล่าง จะสามารถเข้าไปยังสามโลกชั้นกลางได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาอยู่ในระดับพลังวิญญาณขั้นสีม่วงแล้ว”
“พลังวิญญาณขั้นสีม่วงหรือ” จวินอู๋เสียหรี่ตาลง ไม่นานหรอกแค้นระหว่างนางกับตำหนักเปลวเพลิงปีศาจจะจะต้องถูกชำระ!
ตอนที่ 356 ข้ามาแล้ว (5)
“แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั้น เสี่ยวเสียเอ๋อร์ เจ้าไม่สามารถกลับไปได้” จวินอู๋เย่าจู่ๆ ก็พูดขึ้น
จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นมองจวินอู๋เย่าทันที สิ่งที่จวินอู๋เย่าเพิ่งพูดกับนางว่าไม่สามารถ ‘กลับไป’ เขาหมายถึงการกลับไปที่จวนหลินอ๋อง!
นางกลับไปไม่ได้หรือ
ทำไมกัน
“จิตวิญญาณของเจ้าในตอนนี้ยังไม่ฟื้นตัวสมบูรณ์ดี อีกอย่างก่อนหน้านี้เจ้าได้ใช้วิธีการพิเศษบางอย่างเพื่อโจมตีคนพวกนั้นใช่หรือไม่ พวกเขาสามารถอาศัยเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเจ้าที่หลงเหลืออยู่ในตัวของพวกเขาออกติดตามค้นหาตัวเจ้าได้ ดังนั้นเสี่ยวเสียเอ๋อร์เจ้าจะกลับไปไม่ได้” จวินอู๋เย่าอธิบายให้จวินอู๋เสียฟังอย่างจริงจัง เขาไม่ได้คาดหวังว่าจวินอู๋เสียจะถึงขั้นยอมเผาผลาญพลังชีวิตของตัวเองเพื่อโจมตีศัตรู การโจมตีดังกล่าวนั้นมันมีราคาที่สูงจนเกินไป
ดวงตาของจวินอู๋เสียเบิกกว้าง
ในตอนนั้นที่นางเผาผลาญจิตวิญญาณของตัวเองเพื่อตอบโต้อีกฝ่าย นางกับเสี่ยวเฮยก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะยอมตายไปพร้อมกับพวกเขา แต่สิ่งที่นางคิดไม่ถึงคือเยี่ยซาจะเข้ามาแทรกแซงการต่อสู้ และยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อให้พวกนางหนีมา และการกระทำของนางในครั้งนั้น จะเป็นการทิ้งร่องรอยของตัวเองไว้ในตัวของอีกฝ่าย ทำให้พวกเขาสามารถติดตามหานางเจอได้ โดยอาศัยเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของนางที่หลงเหลืออยู่ในตัวบุรุษชุดขาวผู้นั้น
ไม่ใช่ว่าเขาตายไปแล้วหรืออย่างไร…
จวินอู๋เสียไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่าการโจมตีของเยี่ยซาในครั้งนั้นก่อนที่เขาจะระเบิดตัวเอง จะสามารถฆ่าบุรุษชุดขาวให้ตายไปได้จริงๆ ดังนั้นก่อนที่จวินอู๋เสียจะทำความเข้าใจกับสามโลกชั้นกลางได้ลึกซึ้งยิ่งกว่านี้ จวินอู๋เสียก็ไม่กล้าที่จะดูถูกหรือประมาทพวกเขา
อันที่จริงจวินอู๋เย่าพูดให้นางฟังเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แต่จวินอู๋เสียก็สามารถทำความเข้าใจอีกครึ่งที่เหลือได้ด้วยตัวของนางเอง
ถ้าหากนางกลับไปที่จวนหลินอ๋องในเวลานี้ คนจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจจะยกขบวนไปที่นั่นและทำลายสถานที่นั้นจนสิ้นซาก! จวินเสี่ยนและจวินชิงจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องนาง แม้ต้องสละชีวิตและทั้งจวนหลินอ๋องก็ตาม!
ราวกับมีลูกธนูปักเข้าที่หัวใจของนางอย่างจัง ตอนนี้เส้นทางกลับบ้านของนางถูกตัดขาดแล้ว นางไม่มี ‘บ้าน’ ให้กลับอีกต่อไป…
จวินอู๋เสียรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ ใบหน้างามที่ซูบซีดอยู่แล้ว บัดนี้ไม่เหลือสีเลือดให้เห็นอีก
จวินอู๋เย่าลุกขึ้นคว้าร่างเล็กของจวินอู๋เสียเข้ามากอดทันที โยกตัวปลอบประโลมนางเบาๆ
“อย่ากลัวไปเลย วันหนึ่งเจ้าจะได้กลับไป เพียงแต่ยังไม่ใช่เวลานี้ก็เท่านั้น สิ่งที่เจ้าควรคิดถึงในเวลานี้ ก็คือทำอย่างไรให้จิตวิญญาณของเจ้ากลับมาหายดีสมบูรณ์พร้อมต่างหาก” จวินอู๋เย่าตบหลังจวินอู๋เสียเบาๆ กล่อมนางด้วยเสียงทุ้มราวกับกล่อมเด็กน้อยที่เพิ่งตื่นขึ้นจากฝันร้าย
ครั้งนี้เป็นความผิดพลาดของเขาเอง แม้เขาจะรู้แต่แรกแล้วว่าสำนักชิงอวิ๋นมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตำหนักใดตำหนักหนึ่งจากสิบสองตำหนัก แต่เขาก็ยังปล่อยให้คนพวกนั้นเจอตัวจวินอู๋เสียจนได้
“เอาเป็นว่าเจ้าอยู่รักษาตัวในสำนักศึกษาแห่งนี้ก่อน สถานที่ตั้งของที่นี่พิเศษมาก มันสามารถปิดกั้นกลิ่นอายจิตวิญญาณของเจ้าจากการถูกตรวจพบได้” จวินอู๋เย่าปลอบอย่างด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
สถานที่นี้เดิมถูกใช้โดยเยี่ยนปู้กุยเพื่อซ่อนตัวทุกคนจากสมาชิกของสิบสองตำหนัก ในเมื่อพวกเขาตัดสินใจที่จะทรยศและหลบหนีมาแล้ว ป้ายวิญญาณของพวกเขาที่ยังถูกเก็บอยู่ในตำหนักที่เคยเข้าร่วมย่อมเป็นใบบอกทางชั้นดีถึงตำแหน่งที่ซ่อนของพวกเขา การที่เยี่ยนปู้กุยสามารถหาสถานที่ที่พิเศษเช่นนี้พบ นับว่าเขาได้ทุ่มเทและลงแรงไปมากพอสมควร
“ที่นี่หรือ” จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้น
“ใช่ บัวหิมะซังอวี้ของเจ้ายังจำเป็นต้องอาศัยสระน้ำนั้นเพื่อช่วยฟื้นตัวไม่ใช่หรือ เจ้าก็อยู่ที่นี่ต่อเป็นเพื่อนมันเป็นอย่างไร” จวินอู๋เย่ารู้ดีว่าความรู้สึกของจวินอู๋เสียที่มีต่อสองพ่อลูกสกุลจวินนั้นลึกซึ้งเพียงใด สิ่งที่นางทำมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด ล้วนเป็นข้อพิสูจน์ถึงจุดนี้ ดังนั้นการที่นางไม่สามารถกลับไปบ้าน ไปเจอกับญาติทั้งสองคนได้อีกคงทำให้นางเสียใจไม่น้อย แน่นอนว่าความแค้นระหว่างนางกับตำหนักเปลวเพลิงปีศาจก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้นเพราะเหตุนี้เช่นกัน เป็นเพราะพวกมันที่ตัดความหวังของนางที่จะได้กลับบ้าน
จวินอู๋เสียไม่ได้พูดอะไรอีก ในเมื่อบ้านก็กลับไปไม่ได้แล้ว คงทําได้เพียงกดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและหดหู่นี้ลงไป ร่างเล็กสูดลมหายใจเข้าอย่างยากลำบาก ในเวลาเดียวกันก็ย้ำเตือนตัวเองอยู่ในใจลึกๆ ว่าจะให้เหตุการณ์อย่างเทือกเขาเมฆาในวันนั้นเกิดขึ้นซ้ำอีกไม่ได้เป็นอันขาด
นางจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับจวนหลินอ๋อง!
หลังจากพยักหน้าอย่างเงียบๆ ในที่สุดจวินอู๋เสียก็ตัดสินใจได้
“สักวันข้าจะทำลายตำหนักเปลวเพลิงปีศาจให้สิ้นซาก แล้วเดินทางกลับบ้านไปอย่างเปิดเผย” นางเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นที่ไม่อาจสั่นคลอน
จวินอู๋เย่าเปล่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขากอดจวินอู๋เสียไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้างของเขา
เขารู้อยู่แล้ว ว่าเด็กน้อยของเขาจะต้องไม่ล้มลงง่ายๆ เช่นนี้อย่างแน่นอน