ตอนที่ 359 ข้าตีไปแล้ว…แล้วจะทำไม (1) / ตอนที่ 360 ข้าตีไปแล้ว…แล้วจะทำไม (2)
ตอนที่ 359 ข้าตีไปแล้ว…แล้วจะทำไม (1)
พื้นที่ของสำนักศึกษาหงส์อมตะนั้นไม่ใหญ่โตนัก เมื่อสองสามทศวรรษก่อนเองก็เคยเป็นสำนักศึกษาที่เจริญรุ่งเรือง แต่หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนั้น ก็ทำให้บรรดาศิษย์และอาจารย์ของสำนักศึกษาเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก เพียงแค่ค่ำคืนเดียว สำนักศึกษาที่เคยดึงดูดเหล่าคนรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์มากมายจากทั้งแผ่นดิน ก็กลายมาเป็นสำนักศึกษาร้างที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง แม้ว่าจะมีผู้จัดหาทรัพยากรทางด้านการเงินเพื่อสนับสนุนการสร้างสำนักศึกษาขึ้นมาใหม่ แต่ความเจริญรุ่งเรืองเมื่อปีนั้นก็ไม่เคยหวนกลับคืนมาอีกเลย
ในสำนักศึกษาหงส์อมตะ ปัจจุบันมีจำนวนนักเรียนจากทั้งสี่ตึกรวมกันราวหนึ่งร้อยกว่าคนเท่านั้น เมื่อเทียบกับสำนักศึกษาอื่นๆ ที่อย่างต่ำก็มีเป็นพันคน จำนวนนักเรียนของที่นี่เรียกได้ว่าน้อยจนน่าสงสารมากจริงๆ
หลังจากปรับปรุงสำนักศึกษาหงส์อมตะขึ้นใหม่ สำนักศึกษาแห่งนี้ก็ใช้เวลาถึงสามปีเต็มในการรับสมัครศิษย์ แต่กลับไม่มีคนรุ่นเยาว์คนใดสนใจสมัครเข้ามายังสำนักศึกษาแห่งนี้เลย พวกเขาไม่มีศิษย์ใหม่เข้าสำนักศึกษาแม้แต่คนเดียว บรรดาอาจารย์ผู้สอนที่มีชื่อเสียงหลายท่านจึงเริ่มย้ายไปยังสำนักศึกษาอื่นๆ รวมไปถึงศิษย์เก่าหลายคนเช่นกัน สุดท้ายเพื่อความอยู่รอดของสำนักศึกษาหงส์อมตะ อาจารย์ใหญ่จึงจำใจต้องลดกฎเกณฑ์ในการคัดเลือกลูกศิษย์เข้าสำนักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จากที่ต้องมีพรสวรรค์โดดเด่นเหนือใครๆ ค่อยๆ ลงมาจนถึงกฎเกณฑ์ในปัจจุบันที่ว่าขอเพียงแค่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับสำนักศึกษาหงส์อมตะได้ ก็สามารถเข้าเรียนได้แล้ว
อาจารย์ของสำนักศึกษาหงส์อมตะในปัจจุบันเอง ก็มีอยู่เพียงแค่สี่ท่านเท่านั้น โดยแต่ละท่านดูแลรับผิดชอบคนละตึกเหนือใต้ออกตกทั้งสี่ทิศ ส่วนท่านอาจารย์ใหญ่ที่เป็นคนโลภมากและขี้กลัว ตราบเท่าที่ลูกศิษย์ยังสามารถจ่ายเงินได้ เขาก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
เด็กหลายคนจากตระกูลที่มั่งคั่ง มีภูมิหลังปานกลางหรือมีความสามารถต่ำเตี้ยเรี่ยดินไม่สามารถเข้าสำนักศึกษาอื่นได้ ล้วนถูกยัดเข้ามายังสำนักศึกษาหงส์อมตะแห่งนี้ อย่างไรขอเพียงแค่มีเงิน พวกเขาก็สามารถเข้าสำนักศึกษานี้ได้แล้ว
เยี่ยนปู้กุยเป็นอาจารย์พิเศษของสำนักศึกษาหงส์อมตะ และก็เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบตึกฝั่งทิศตะวันออกทั้งหมด จำนวนศิษย์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขานั้น มีเพียงเฉียวฉู่ ฮวาเหยา เฟยเยียน และหรงรั่วสี่คนนี้เท่านั้น นอกเหนือจากนี้ แม้ว่าคนอื่นๆ จะมีความประสงค์เข้ามายังตึกฝั่งทิศตะวันออก ก็ล้วนถูกเขาปฏิเสธไปทั้งหมดอย่างไม่ไยดี แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องยกความดีความชอบให้กับสำนักศึกษานี้เช่นกัน หากไม่ใช่เพราะสำนักศึกษานี้มีนักเรียนน้อยมากๆ มีหรือที่พวกเขาศิษย์อาจารย์ทั้งห้าคนจะสามารถครอบครองตึกทั้งตึกมาเป็นของตัวเองได้
แต่การยึดครองนี้ ก็ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่มากมายมหาศาล
ทว่า…
จวินอู๋เสียมองไปที่พวกเฉียวฉู่ทั้งสี่คน นางได้พบกับเฉียวฉู่สองครั้ง และทั้งสองครั้งที่พบหน้ากันเฉียวฉู่ล้วนสวมเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง มองไปที่ฮวาเหยาอีกคนหนึ่ง แม้เสื้อผ้าบนตัวของฮวาเหยาจะมีสภาพดีหน่อย ดูสะอาดสะอ้านและเรียบร้อย แต่ก็เต็มไปด้วยรอยปะชุนทั้งตัว เนื้อผ้าบางที่ผ่านการซักซ้ำแล้วซ้ำเล่า สามารถบ่งบอกถึงสถานการณ์ทางการเงินของพวกเขาได้ว่าไม่ได้อยู่ในแง่ดีนัก
จากเสียงตะโกนของศิษย์ที่ก้าวร้าวเหล่านี้ จวินอู๋เสียได้รับรู้ว่าฮวาเหยาและคนอื่นๆ ติดค้างค่าธรรมเนียมให้กับสำนักศึกษามาเป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้ว ในช่วงเวลานี้ท่านอาจารย์ใหญ่ได้ส่งคนมาที่นี่เพื่อกระตุ้นพวกเขาซ้ำๆ แต่ก็ถูกยับยั้งโดยเยี่ยนปู้กุยทุกทีไป
แต่ดูเหมือนวันนี้สถานการณ์จะไม่ได้ราบรื่นเหมือนในอดีตอีกต่อไป
“ท่านอาจารย์ใหญ่ได้ให้คำขาดไว้แล้ว! ถ้าพวกเจ้ายังไม่ยอมชำระเงินอีก พวกเจ้าก็เก็บของแล้วใส่หัวไปจากที่นี่เสีย! อย่าได้คิดว่าคราวนี้จะสามารถพึ่งพาเยี่ยนปู้กุยได้เหมือนครั้งก่อนๆ ท่านอาจารย์ใหญ่รู้สึกไม่พอใจเขามากนัก แม้แต่เขาเองก็อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้เช่นกัน!” ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่มออกปากสาปแช่งคนทั้งสี่อย่างต่อเนื่อง
จวินอู๋เสียเฝ้าดูฉากทั้งหมดนี้อย่างเงียบๆ ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มตรงหน้านี้เป็นเพียงพลังวิญญาณขั้นสีแดงเท่านั้น แต่เขากลับสามารถยืนดุด่าเฉียวฉู่และคนอื่นๆ เช่นนี้ได้
ระดับความแข็งแกร่งของเฟยเยียนและหรงรั่ว นางยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่ความแข็งแกร่งของเฉียวฉู่และฮวาเหยา จวินอู๋เเสียเคยเห็นมากับตา
ด้วยทักษะของทั้งสี่คน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่สามารถจัดการกับกลุ่มคนรุ่นเยาว์ตรงหน้าได้ แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมตอบโต้กลับ!
จวินอู๋เเสียไม่เข้าใจสิ่งนี้ ตามจิตสำนึกของนาง ผู้อื่นไม่ล่วงเกินนางนางก็จะไม่ล่วงเกินผู้อื่น แต่หากมีใครกล้าขึ้นมาเหยียบหัวของนาง นางก็จะเอาคืนมันผู้นั้นกลับไปเป็นร้อยเท่า
ความเย่อหยิ่งและความผยองของกลุ่มคนรุ่นเยาว์ตรงหน้านี้ ได้ละเมิดขีดจำกัดของนางโดยสมบูรณ์
“ให้ตายสิ ช่างเป็นกลุ่มสุนัขไร้ยางอายจริงๆ ตัวเองไม่มีเงินไม่ออกไปขอทานหาเงินมากินข้าว แต่กลับไปเก็บไอ้ตัวภาระมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ทำให้สำนักศึกษาต้องแบกหนีแทนพวหเจ้าไปอีก พวกเจ้าคิดว่าที่นี่เป็นถ้ำขอทานหรืออย่างไรกัน” ชายหนุ่มปรายตามองจวินอู๋เสีย ด้วยเห็นว่านางผอมบางดูจะรังแกง่าย จึงโพล่งออกมาทั้งหมดไม่คิดอะไรสักนิด
ตอนที่ 360 ข้าตีไปแล้ว…แล้วจะทำไม (2)
ใบหน้าของเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ซีดเผือด พวกเขากำหมัดแน่น ได้แต่ขบกรามและไม่พูดอะไร
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินคำสบประมาทเช่นนี้ แต่ทุกครั้งพวกเขาทำได้เพียงเลือกที่จะอดทน
“ขอเวลาให้พวกเราอีกสักสองสามวันเถิด” หรงรั่วอดไม่ได้เอ่ยปาก น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความประจบและเป็นมิตร
ผู้ใดจะคาดคิดว่าชายหนุ่มที่เป็นผู้นำกลุ่มนั้นกลับถุยน้ำลายใส่หน้าของหร่งรั่ว “ต่อให้ยืดเวลาให้พวกเจ้าอีกสองสามเดือน พวกเจ้าก็ไม่มีปัญญาหาเงินมาชำระได้หรอก ไสหัวออกไปจากสำนักศึกษาหงส์อมตะเสีย! ที่นี่ไม่ต้อนรับขอทานอย่างพวกเจ้า!”
พริบตานั้น การแสดงออกของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที ร่างกายของเฉียวฉู่เครียดเกร็ง ขณะที่เขากำลังจะก้าวขึ้นไปข้างหน้าและทำเรื่องหุนหันพลันแล่น หรงรั่วก็ยื่นมือออกมากดไหล่เขาไว้และส่ายหัวให้เขาเบาๆ
“หึ อะไรกัน พวกเจ้าคิดจะลงมือกับข้าอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มจ้องไปที่เฉียวฉู่ด้วยความไม่พอใจ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและเกลียดชัง
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเรื่องแบบนี้ แต่ทุกๆ ครั้งเจ้าพวกขอทานในตึกฝั่งทิศตะวันออกก็ไม่เคยจะตอบโต้กลับสักครั้งเดียว พวกเขาทำเพียงอดทน
เฉียวฉู่กำหมัดของเขาแน่น ถ้าไม่ใช่เพราะเฟยเยียนห้ามไว้ เข้าคงเข้าไปฉีกไอ้พวกโง่พวกนี้นานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้ใจมากไปกว่านี้ หมัดอันหนักหน่วงก็พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเขาโดยตรง ร่างที่ไม่ค่อยสูงมากกระเด็นออกไปไกลทันที!
ทุกคนจับจ้องไปที่ผู้ที่ลงมือต่อยหมัดเป็นตาเดียว
จวินอู๋เสียอุ้มเจ้าแมวดำตัวน้อยที่ง่วงงุนไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ทำท่ากำหมัดค้างอยู่ในอากาศ สีหน้าของนางไม่มีอารมณ์ใดเลยนอกจากความเย็นยะเยือก แววตาที่เรียวคมฉายเจตนาฆ่าออกมาข้าคลั่ก!
“น้องเสีย… ” ความโกรธทั้งหมดของเฉียวฉู่มลายหายไปทันที เขาจ้องไปที่จวินอู๋เสียอย่างว่างเปล่าไม่รู้จะพูดอะไร
ชายหนุ่มที่โดนต่อย ถูกลูกศิษย์คนอื่นๆ ช่วยประคองขึ้นมาจากพื้นด้วยสภาพสะบักสะบอม เขาส่งเสียงร้องครวญคราง ในขณะที่มือของเขาลูบแก้มที่บวมเป่ง และจ้องไปที่จวินอู๋เสียด้วยแววตาชั่วร้าย
“ไอ้ขอทานนี่ กล้าดีอย่างไรมาต่อยข้า! เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรืออย่างไร! พวกเจ้าจัดการมันซะ!” ชายหนุ่มตะโกนด้วยความโกรธ เขาหันไปสั่งการชายหนุ่มสองสามคนที่ล้อมรอบเขาอยู่ คนเหล่านั้นก็พุ่งเข้าไปหาจวินอู๋เสียทันที
ดวงตาของจวินอู๋เสียหรี่ลงเล็กน้อย นางผลักเจ้าแมวดำตัวน้อยที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของนางให้กับฮวาเหยาอุ้มไว้ชั่วคราว จากนั้นร่างที่คล่องแคล่วก็กลายเป็นแสงสีส้มและพุ่งเข้าไปหากลุ่มคนรุ่นเยาว์กลุ่มนั้น!
เดิมทีพวกเขาคิดว่าเจ้าหนูตัวเล็กที่ดูผอมบางนี้ จะสามารถจัดการได้ง่ายๆ แต่เมื่อกลุ่มคนรุ่นเยาว์เห็นแสงสีส้มที่แผ่ออกมาจากร่างเล็ก พวกเขาก็ตื่นตระหนก หยุดมือของตัวเองแทบไม่ทัน!
นี่มันเรื่องบ้าอะไร!
เจ้าหนูนี่มีพลังวิญญาณระดับสีส้ม!
มันสายเกินไปแล้วที่จะหยุด แสงสีส้มหมุนควงผ่านอากาศราวกับสายลมกระโชก และเพียงพริบตากลุ่มคนรุ่นเยาว์ทั้งหมดก็ถูกทุบตีเรียงตัว!
ในชั่วพริบตา กลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่ทั้งโอหังทั้งหยิ่งผยองก่อนหน้านี้ ก็นอนร้องไห้เรียกหาพ่อแม่ของพวกเขา แต่ละคนกุมหน้าครางโอดโอยอยู่บนพื้น
“เจ้า… เจ้าจะทำอะไร! ข้า…ข้าเป็นหัวหน้าลูกศิษย์ของตึกทิศใต้นะ…ถ้าเจ้ากล้าตีข้า…”
ผลัวะ!
ก่อนที่ชายหนุ่มคนนั้นจะพูดจบ จวินอู๋เสียก็ชกเข้าที่หน้าเขาอย่างแรงอีกครั้ง นางกระชากคอเสื้อของชายหนุ่มขึ้นมา แล้วใช้มืออีกข้างที่เหลือรัวหมัดเข้าที่หน้าของเขา!
ชายหนุ่มที่ถูกต่อยจนโง่งมไปแล้ว แทบจะไม่สามารถอ้าปากพูดได้เลย มองดูหมัดของจวินอู๋เสียที่กระหน่ำซัดเข้ามาราวกับสายฝน ใบหน้าที่ปูดบวมและมีเลือดไหลก็มองไม่เห็นเค้าเดิมอีก
ชายหนุ่มคนอื่นๆ ได้แต่มองภาพที่จวินอู๋เสียรัวหมัดใส่หน้าหัวหน้าศิษย์ด้วยอาการตาค้างพูดอะไรไม่ออก ยิ่งเห็นจวินอู๋เสียทุบตีเขาอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาก็ยิ่งอ้าปากกว้างจนแทบจะกลืนไข่ลงไปได้ทั้งฟอง
บ้าคลั่งเกินไปแล้ว! โหดเหี้ยมมากเกินไปแล้ว!
ขืนปล่อยให้นางลงมือต่อ มีหวังได้มีคนตายจริงๆ แน่!