บทที่ 206 มู่เซิ่งช่วยได้

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 206 มู่เซิ่งช่วยได้

มู่เซิ่งยิ้มอย่างเรียบเฉย“พวกคุณอยากเข้ามาทำงานในมู่ซื่อกรุ๊ปไม่ใช่หรอ?ผมสามารถช่วยได้นะ”

ถ้าไม่เป็นเพราะบรรยากาศที่น่าเบื่อ และสีหน้าที่ควบคุมไม่ได้ของเจียงหนาน มู่เซิ่งไม่อยากสนใจพวกเธอด้วยซ้ำ

แต่แล้ว พวกเธอที่ได้ยินดังนั้น

หลังจากที่ภายในห้องรับแขกเงียบไปครู่หนึ่ง หลินซ่วนหร่านกับหลินหลิ่วจือทั้งสองคน ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที

“แกเนี่ยนะจะช่วยได้?แกจะช่วยอะไรได้?”

หลินซ่วนหร่านหัวเราะกับมู่เซิ่ง แทบจะหัวเราะจนน้ำตาไหล ในสายตาของเธอ ตอนนี้มู่เซิ่งเหมือนตัวตลกคนหนึ่ง แล้วหัวเราะ“ไอ้สวะ แกรู้ไหมว่ามู่ซื่อกรุ๊ปอยู่ในตำแหน่งอะไร?อีกทั้งเรื่องแบบนี้ อย่างน้อยต้องเป็นคนมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการถึงจะสามารถติดต่อได้ แกรู้จักไหม?”

หลินหลิ่วจือกวาดตามองมู่เซิ่ง แล้วทำเสียงหึ

ต่างพูดกันว่ามู่เซิ่งเป็นสวะ ตอนนี้ดูท่า เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง เป็นไปตามคาดเขาสามารถพูดออกมาได้ทุกเรื่อง

“รีบไสหัวไปซะ อย่ามาขวางหูขวางตาอยู่ตรงนี้”หลินหลิ่วจือพูดอย่างเย้ยหยัน

มู่เซิ่งส่ายหัวไปมา ไม่อยากใส่ใจกับคำพูดไร้สาระของพวกเธอ แล้วเก็บกวาดจานชามที่อยู่บนโต๊ะ

เมื่อเห็นฉากนี้ หลินซ่วนหร่านสองแม่ลูก รู้สึกมีความสุขมาก

“พี่จ้าว ไม่ต้องสนใจไอ้สวะนี่หรอก เราพูดเรื่องจริงจังกันต่อไปเถอะ”

“เรื่องที่หางาน ต้องให้พวกพี่ช่วยจัดการหน่อยนะ เพราะในบรรดาคนที่ฉันรู้จัก พี่มีฐานะในสังคมที่สุดแล้ว พี่คงไม่ช่วยฉันหรอกใช่ไหม?”

“คือ……”จ้าวหลินหน้าเสีย

ตอนที่เธอคุยโวโอ้อวด จงใจพูดว่าให้เฝิงจงเหลียงออกหน้า ซื้อบริษัทของท่านเจียงสามไว้ แต่เธอไม่รู้จักพนักงานของมู่ซื่อกรุ๊ปเลย จะให้ช่วยยังไงล่ะ

เมื่อเห็นสีหน้าของจ้าวหลิน หลินซ่วนหร่านก็รู้สึกกังวลขึ้นมา จึงรีบกล่าวว่า“พี่จ้าวคะ หรือพี่จะทนเห็นหลินหลิ่วจือหางานทำไม่ได้แบบนี้ล่ะคะ?”

หลินหลิ่วจือที่นั่งอยู่บนโซฟา พูดถากถางขึ้นมา“จ้าวหลิน เมื่อกี้คุณยังพูดอยู่ในสายเลยว่าซื้อบริษัทมาแล้ว คงไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกนะ?”

ประโยคนี้พูดแทงใจดำจ้าวหลินมาก เธอถึงกับพูดอย่างกระวนกระวายว่า“นะ แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง”

“ในเมื่อเป็นเรื่องจริง ทำไมเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ถึงไม่ช่วยล่ะ?”

หลินซ่วนหร่านเอ่ยถาม

“นี่ นี่เป็นผลงานของลูกสาวฉัน”จ้าวหลินพูดขึ้นมา

“เจียงหว่าน?ก็จริง ฉันเกือบลืมไปเลย เธอเป็นถึงหนึ่งในพาร์ทเนอร์ของมู่ซื่อกรุ๊ปในโครงการซีไห่เชียวนะ”

หลินซ่วนหร่านทำท่าเคาะหัวตัวเองเบาๆ เดิมท่าทีที่ไม่สนใจเจียงหว่าน กลับเปลี่ยนเป็นใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“เจียงหว่าน เธอคงจะช่วยเราใช่ไหม?”

หลินหลิ่วจือเบะปาก แล้วพูดแทรกขึ้นมาว่า“พี่เจียงหว่าน ถ้าพี่ให้ฉันไปทำงานในบริษัทนั้นของพี่ ฉันว่าช่างมันเถอะค่ะ เป้าหมายของฉันคือมู่ซื่อกรุ๊ป ถึงจะแย่ยังไงก็ต้องเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง ไม่อย่างนั้น อนาคตคงไม่ก้าวไกลหรอกนะคะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น เจียงหว่านก็พูดอธิบายอย่างเหนื่อยใจว่า“หลินหลิ่วจือ ฉันคงช่วยเธอไม่ได้หรอกนะ”

“ถึงแม้ว่าฉันจะได้ทำโครงการซีไห่ แต่ฉันกับมู่ซื่อกรุ๊ป ก็อยู่ในฐานะแค่พาร์ทเนอร์กัน แม้แต่หน้าของเฝิงจงเหลียงฉันยังเคยพบเจอแค่ไม่กี่ครั้งเอง ยิ่งไม่ต้องพูดว่าสนิทกัน”

“อีกทั้ง มู่ซื่อกรุ๊ปในฐานะที่เป็นธุรกิจอันดับหนึ่ง มีแต่คนมีความสามารถทั้งนั้น มีแต่คนที่เรียนจบปริญญาเอกยังต้องผ่านการสัมภาษณ์งานตามปกติถึงจะผ่านเข้ามาทำงานได้ ฉันจะไปเอาเส้นสายที่ไหนให้เธอเดินเข้ามาทำงานล่ะ?”

เจียงหว่านไม่รู้จะทำอย่างไร

ให้เธอไปทำงานที่บริษัทตัวเอง เธอก็ดูถูกไม่อยากไปทำ จะไปทำงานที่มู่ซื่อกรุ๊ปให้ได้ แต่ว่า มู่ซื่อกรุ๊ปมันเข้าง่ายๆที่ไหนกันล่ะ?

เมื่อได้ยินคำผลักไส หลินซ่วนหร่านก็รู้สึกโกรธทันที

เธอได้ยินคำคุยโวโอ้อวดของจ้าวหลิน ถึงได้บากหน้ามาขอให้ช่วยเหลือ แต่สุดท้ายตอนนี้ ไม่ช่วยแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้?

“จ้าวหลิน ในสายเธอคุยโวโอ้อวดโม้เป็นตุเป็นตะ แต่สุดท้ายตอนนี้ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังช่วยไม่งั้นหรอ?”

หลินซ่วนหร่านพูดจาถากถาง“พี่ไม่อยากจะช่วยจริงๆ หรือช่วยไม่ได้กันแน่?”

หลินหลิ่วจือที่อยู่ข้างๆพูดสำทับขึ้นมาว่า“แม่คะ ช่างมันเถอะค่ะ หนูว่าครอบครัวนี้คงไม่เห็นเราอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ รังเกียจที่เราจน!”

“ใครว่าเราไม่ยอมช่วยพวกคุณ?ฉันก็บอกแล้วไงว่า ช่วยไม่ได้จริงๆ”จ้าวหลินขมวดคิ้วเป็นปม เห็นได้ชัดว่าเริ่มมีน้ำโห

“เหอะๆ ช่วยไม่ได้จริงๆ?เธอโทรศัพท์ไปถามมาแล้วจริงๆหรอ หรือเตรียมจะส่งของขวัญไปให้?ถึงได้ไม่แม้แต่ขยับปาก ยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็บอกว่าช่วยไม่ได้แล้ว?”

หลินซ่วนหร่านชี้หน้าเจียงหว่านแล้วพูดว่า“ฉันว่าเธอตั้งใจไม่ช่วยพวกเรามากกว่า!”

“ทะ เธอ——”

จ้าวหลินที่เป็นแม่ค้าปากตลาดในเวลาปกติ เมื่อเห็นท่าทีของหลินซ่วนหร่านเช่นนี้ จึงรู้สึกโมโหไม่ใช่น้อย

เธอเคยเห็นคนหน้าไม่อาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนหน้าไม่อายขนาดนี้อย่างหลินซ่วนหร่าน

“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว……”

เมื่อเห็นท่าทางคนสองคนกำลังจะลงไม้ลงมือกัน เจียงหว่านจึงรีบกล่าวว่า“เรื่องนี้ มู่เซิ่งน่าจะพอช่วยได้ค่ะ”

เธอไม่อยากให้มู่เซิ่งช่วย แต่เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ นอกจากมู่เซิ่งแล้ว เธอก็ไม่รู้ว่ามีใครสามารถจัดการปัญหานี้ได้อีก

“มู่เซิ่ง?”

เมื่อได้ยินสองคำนี้ หลินซ่วนหร่านก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้น

“เจียงหว่าน เธอไม่อยากช่วยก็พูดตรงๆสิ เราไม่ใช่คนหน้าไม่อายอะไรแบบนั้นนะ”

“แต่เธอที่บอกว่ามู่เซิ่งช่วยเรื่องนี้ได้มันหมายความว่ายังไง?ถึงเอาคนอื่นมาเป็นเกราะกำบัง ก็ควรหาคนที่มีความสามารถหน่อยสิ ไม่ใช่เอามู่เซิ่งขึ้นมาพูด นี่มันเป็นการดูถูกเหยียดหยามเราชัดๆ!”

หลังจากที่พูดจบ หลินซ่วนหร่านก็ตบโต๊ะ แล้วลุกขึ้นยืน

ในมุมมองของเธอ การยกมู่เซิ่งขึ้นมากล่าวถึง ถือเป็นการที่เจียงหว่านจงใจเบี่ยงประเด็น

ตอนนี้ จ้าวหลินเข้าใจความหมายของพวกเขาแล้ว จึงรีบกล่าวว่า“เจียงหว่านไม่ได้หายความแบบนั้น……”

“ไม่ได้หมายความแบบนั้น แล้วหมายความว่าไง?”

หลินซ่วนหร่านด่ากราด“ถ้ารู้อย่างงี้ ฉันไม่น่ามาบ้านเธอเลย จ้าวหลิน คนแบบเธอน่ะ ฉันจะไปบอกพวกเพื่อนในวงไพ่แน่นอนว่า ให้พวกเขาเล่นไพ่กับเธอให้น้อยลง”

“ช่างเถอะค่ะแม่ ถือซะว่าเราไม่รู้จักคนแบบนี้แล้วกัน วันนี้ ถือซะว่าถูกหมามันกัดแล้วกัน”หลินหลิ่วจือพูดแขวะ แทบจะทำให้จ้าวหลินโกรธจนลมจับ

สองคนนี้ทำเกินไปหน่อยแล้ว

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ มีแค่เจียงหว่านที่นิสัยดี ยังคงพูดอธิบายว่า“หลินซ่วนหร่าน ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ ฉันไม่ได้มีเจตนาหลอกคุณแบบนั้นนะคะ เพราะว่ามู่เซิ่งเขารู้จักผู้บริหารระดับสูงของมู่ซื่อกรุ๊ปจริงๆ”

“แม้แต่การซื้อบริษัทในครั้งนี้ มู่เซิ่งยังเป็นคนออกแรงเลย ถึงซื้อมาได้”

“ดังนั้นฉันคิดว่า ขอแค่มู่เซิ่งยื่นมือช่วย เรื่องนี้จะต้องจัดการได้แน่ค่ะ”

จ้าวหลินพยักหน้าอยู่ข้างๆ แล้วกล่าวว่า“ใช่แล้ว มู่เซิ่งเป็นคนซื้อบริษัทนั้นจริงๆนะ”

จนถึงป่านนี้แล้ว เธอไม่มีเวลามีปิดบังอีกแล้ว หากขืนยังปิดบังต่อไป คงจะถูกหลินซ่วนหร่านทำให้โมโหอกแตกตายอย่างแน่นอน

“พอได้แล้ว หยุดขี้โม้ได้แล้ว”

แต่แล้ว หลินซ่วนหร่านไม่เชื่อคำพูดของเจียงหว่านด้วยซ้ำ

มู่เซิ่งเนี่ยนะรู้จักผู้บริหารระดับสูงของมู่ซื่อ กรุ๊ป?

แถมยังพูดว่า มู่เซิ่งเป็นคนซื้อบริษัทนี้มาด้วย?

เหอะๆ!

มู่เซิ่งมีความสามารถนี้จริง แม่หมูคงปีนขึ้นต้นไม้ไปได้แล้ว!

หลินซ่วนหร่านสาดน้ำชาบนโต๊ะ จนเปียกไปหมด แล้วพูดขึ้นมาว่า“ลูกจ๊ะ เราไปกันเถอะ”

“คนแบบนี้ อย่าบอกคนอื่นเชียวนะว่าเรารู้จัก ขายหน้าเปล่าๆ!”

หลินหลิ่วจือเก็บของแล้วลุกขึ้น จากนั้นหยิบตะกร้าผลไม้ถูกๆบนโต๊ะขึ้นมาด้วย ในสายตาของเธอ ถึงจะต้องเอาไปให้สุนัขกิน ก็ไม่มีทางให้ครอบครัวของเจียงหว่านกินเป็นอันขาด

จ้าวหลินโกรธจนตับแทบระเบิด

ในขณะที่เจียงหว่านกำลังจะปลอบแม่ของเธอนั้น จ้าวหลินก็ดึงมือของมู่เซิ่งมา แล้วรีบพูดขึ้นมาว่า“ลูกเขยจ๋า รีบโทรศัพท์ให้พวกเธอดูเร็วเข้า ทำให้พวกเธอรู้ว่านายรู้จักผู้บริหารระดับสูงของมู่ซื่อกรุ๊ป!”

ความโกรธนี้ ไม่ว่ายังไง จ้าวหลินจะต้องระบายมันออกมาให้ได้!