แต่เรื่องของบุตรสาวมิใช่เรื่องที่ทำให้โหวฮูหยินเหนื่อยใจที่สุด เรื่องที่ทำให้เหนื่อยใจที่สุดก็คือของขวัญที่ส่งมาให้ของปีนี้
กูไหน่ไนใหญ่ที่จินหลิงรู้ว่าหวังซีอยู่จิงเฉิง ตอนที่ให้ป้ารับใช้มาส่งของขวัญของปีนี้ที่จวนหย่งเฉิงโหวนั้น นางมอบหนึ่งส่วนให้หวังซีต่างหากเป็นพิเศษ พวกโสมคนรังนกกับสินค้าชั้นดีจากภูเขาและทะเลเหล่านี้ล้วนมิใช่ปัญหา แต่ยังส่งทองคำหนึ่งกล่องมาให้เป็นการส่วนตัวด้วย
กูไหน่ไนใหญ่คงกลัวว่าจะเกิดสิ่งไม่คาดคิดกับทองคำกล่องนี้ หรือไม่ก็คงอยากปิดเรื่องนี้จากคนบ้านอื่น เพราะนอกจากจะเขียนใบรายการแยกมาต่างหากแล้ว ยังมอบให้นางต่างหากเพียงคนเดียวด้วย
ตอนนั้นนางเองก็เลอะเลือนไปชั่วขณะ เอาใบรายการของขวัญกลับเข้าไปในห้องชั้นในด้วย ทำให้ท่านโหวไปเจอเข้า
ปีนี้บุตรชายคนที่สามและสี่ของนางได้แต่งตั้งไปอยู่กองพลม้าทะยาน ส่วนบุตรชายคนที่ห้าได้แต่งตั้งไปอยู่หน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้า คนที่เพิ่งเข้าไปทำงานใหม่ มิใช่ว่ามีเรื่องต้องติดสินบนรอบด้านหรอกหรือ
ปีก่อนๆ ท่านโหวยังพอได้รับสินน้ำใจต่างๆ บ้าง แต่ปีนี้ฮ่องเต้กับชิ่งอวิ๋นโหวทะเลาะกันรุนแรง ขุนนางข้าราชการต่างถูกโยกย้ายกันถี่ยิบ จู่ๆ ก็มีเรื่องให้ต้องติดสินบนเพิ่มขึ้นมามากมายทันตา สินน้ำใจเหล่านั้นจึงไม่เพียงพอ เงินก็เลยขาดมือไปด้วย
ท่านโหวจึงปรึกษาว่าให้นำทองคำกล่องนี้มาใช้ก่อน รอผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่แล้ว เมื่อได้รับของขวัญมาแล้วค่อยชดเชยให้หวังซีก็แล้วกัน
นางเองก็ไม่รู้ว่าสมองถูกดึงออกไปแล้วหรืออย่างไร ถึงกับเห็นดีเห็นงามด้วย
ผู้ใดจะรู้ว่าแม้นของขวัญของปีนี้มาเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีของครอบครัวว่าที่สามีของคุณหนูทั้งสามท่านเพิ่มเข้ามา แต่ที่ได้รับมากลับน้อยกว่าที่จ่ายออกไป ล้วนไม่เพียงพอสำหรับชดเชยทองคำกล่องนั้น ตอนนี้ถึงวันที่ยี่สิบเก้าของวันมหาปีใหม่แล้ว หากยังไม่ชดเชยทองคำกล่องนี้อีก ด้วยความฉลาดของหวังซี จะต้องรู้แน่ว่านางยักยอกเอาไปใช้
ไม่ ต่อให้นางชดเชยให้ในเวลานี้ เกรงว่านางก็คาดเดาได้อยู่ดีว่าตนยักยอกเอาไปใช้
แต่ชดเชยให้ตอนนี้ก็ยังมีเกียรติมากกว่าชดเชยให้หลังปีใหม่เล็กน้อยกระมัง
โหวฮูหยินคร่ำครวญออกมาอย่างช่วยไม่ได้
พานหมัวมัวอับอายจนหน้าแดงก่ำ เสนอความเห็นให้โหวฮูหยินว่า “เอาเครื่องประดับไปจำนำสักสองสามชิ้นดีหรือไม่เจ้าคะ ถึงเวลาค่อยไปไถ่คืนกลับมา”
โหวฮูหยินส่ายศีรษะรัว กล่าวว่า “เอาเครื่องประดับไปจำนำแล้ว ตอนคุณหนูรองออกเรือนจะทำอย่างไร”
นางตั้งใจจะแอบมอบเครื่องประดับให้บุตรสาวสักสองสามชิ้นเป็นเงินก้นถุงอีกด้วย
พานหมัวมัวไม่มีทางเลือก กล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ไปบอกคุณหนูหวังตามตรง ถือเสียว่าพวกเราขอยืมเงินดังกล่าวก่อนดีหรือไม่ ให้นางผัดผ่อนเวลาให้ระยะหนึ่ง สิ้นปีพวกเราจะต้องคืนให้อย่างแน่นอน”
โหวฮูหยินยิ้มขื่น กล่าวว่า “กลัวแต่ว่าหลังปีใหม่กูไหน่ไนใหญ่อาจกลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองหลวง”
พานหมัวมัวตกใจหน้าเผือดสี กล่าวว่า “คงไม่กระมัง”
ได้ยินว่ากูไหนไนใหญ่มีรอยบาดหมางที่ค่อนข้างลึกกับที่บ้าน นับตั้งแต่ออกเรือนไปก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย แม้แต่ของขวัญตามเทศกาลต่างๆ พอนางได้เป็นคนดูแลบ้านแล้วก็ไม่มีเพิ่มหรือลดลง ยังคงไม่ต่างจากเมื่อก่อน รวมถึงสิ่งดีๆ ก็ไม่มีให้บ้านเดิมแม้แต่ครึ่งเดียวด้วย ทว่าท่านโหวกับฮูหยินผู้เฒ่าต่างนิ่งเงียบ ไม่ได้ยินแม้แต่คำบ่นสักคำ โหวฮูหยินขบคิดอยู่ในใจมานานแล้ว เกรงว่ากูไหน่ไนใหญ่กับที่บ้านคงมีความบาดหมางอะไรที่นางยังไม่รู้
“เจ้าดูความอบอุ่นใจดีที่นางมีต่อคุณหนูหวัง” โหวฮูหยินกล่าวอย่างเป็นกังวล “ตอนคุณหนูหวังมาถึงนางก็พูดแล้วว่าหากมีเวลาจะมาเยี่ยมคุณหนูหวัง หากบอกว่านี่เป็นเพียงคำกล่าวตามมารยาท เจ้าดูเมื่อก่อนนางเคยพูดเช่นนี้หรือไม่ นอกจากนี้ปีหน้าพอเข้าวสันตฤดู คุณหนูรอง คุณหนูสาม และคุณหนูสี่ต่างทยอยกันออกเรือนแล้ว แม้นนางจะไม่ค่อยอะไรกับพวกคุณชายในจวน แต่กับพวกคุณหนูสองสามท่านนั้นกลับเอ็นดูยิ่ง แค่ตอนที่คุณหนูใหญ่ออกเรือน หากมิใช่นางให้คนนำทองคำมาให้หนึ่งกล่องล่ะก็ งานแต่งของคุณหนูใหญ่ไหนเลยจะจัดอย่างมีเกียรติขนาดนั้นได้ แต่เจ้าลองดูเวลาพวกคุณชายในบ้านแต่งงาน กูไหน่ไนใหญ่เคยส่งผ้าไหมมาสักพับหรือไม่…
…หากข้าเป็นนาง จะต้องกลับมาดูสักหน่อยอย่างแน่นอน”
เช่นนั้นเรื่องที่พวกเขายักยอกเอาเงินของหวังซีมาใช้ ก็คงต้องขายหน้าไปถึงเมืองจินหลิงแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้นอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโหวฮูหยินกับกูไหน่ไนใหญ่ย่ำแย่ลงด้วย อาจถึงขั้นคิดว่าโหวฮูหยินเป็นคนต้นคิดเรื่องยักยอกเอาทองคำนี้ไปใช้ เนื่องจากทองคำเหล่านี้ล้วนเอาไปให้คุณชายสองสามคนใช้สำหรับติดสินบนเจ้านายและเอาใจเพื่อนร่วมงานทั้งสิ้น
“น่าปวดหัวจริงๆ!” โหวฮูหยินนวดขมับ
พานหมัวมัวเองก็ไม่สบายใจเช่นกัน กล่าวว่า “หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่เอาเงินส่วนตัวไปให้ซือจูก็คงดี อย่างไรก็โยกย้ายเงินจากมือของฮูหยินผู้เฒ่ามาได้บ้าง”
“จริงที่สุด!” โหวฮูหยินกล่าวอย่างไร้ทางเลือกว่า “แต่กล่าวเรื่องพวกนี้ตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร”
หัวใจของพานหมัวมัวเสมือนกับมีหินก้อนใหญ่ทับเอาไว้ก็ไม่ปาน
โหวฮูหยินกล่าว “อุปสรรคเพียงเล็กน้อยทำให้วีรบุรุษล้มลงได้! บัดนี้คงทำได้แค่ยื้อเวลาไปวันต่อวันเท่านั้นแล้ว”
พานหมัวมัวยิ้มขื่น กล่าว่า “แต่หวังว่าปีนี้กูไหน่ไนใหญ่จะไม่กลับมา”
เรื่องนี้ก็จะได้ยื้อไปอีกสักหน่อย กล่าวคือของขวัญของกูไหน่ไนใหญ่มาถึงแล้ว อย่างช้าที่สุดเดือนห้าของปีหน้า เมื่อได้รับผลกำไรจากร้านค้าที่เจียงหนาน โหวฮูหยินก็มีเวลาหายใจหายคอเอาเงินก้อนดังกล่าวมาชดเชยให้ได้แล้ว ถึงเวลาก็บอกว่ากูไหนไนใหญ่ส่งมาให้ ไม่แน่หวังซีอาจเข้าใจว่ากูไหน่ไนใหญ่ส่งของขวัญเทศกาลแข่งเรือมังกรมาให้ก็เป็นได้
พานหมัวมัวจึงเตือนสติโหวฮูหยินว่า “ควรเขียนจดหมายไปขอบคุณกูไหน่ไนใหญ่สักฉบับหรือไม่เจ้าคะ”
“สมควรๆ!” โหวฮูหยินกล่าวซ้ำๆ พลางคิดว่าตนหลงลืมเรื่องนี้ไปจนได้ รีบกล่าวว่า “คุณหนูสกุลหวังเขียนอักษรแบบใด หาคนที่เขียนได้เหมือนมาสักคน”
พานหมัวมัวขานรับ หมุนกายไปจัดการเรื่องดังกล่าว
โหวฮูหยินนั่งเอนกายกับหัวเตียงเงียบๆ ไม่รู้จะพูดอะไรดี นางถึงกับครุ่นคิดว่า ชีวิตตัวเองกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
แน่นอนว่าหวังซีย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เรือนโหวฮูหยินบ้าง หลังกลับออกมาจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่า สมควรกินก็กิน สมควรพักก็พัก คืนวันที่ยี่สิบเก้าอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณ ทาน้ำปรุงดอกกุหลาบทั่วทั้งตัว ใช้ผ้าไหมหังโจวห่อตัวแล้วนอนหลับอย่างเป็นสุขไปหนึ่งคืน รุ่งเช้าตอนตื่นขึ้นมาผิวขาวผ่องอมชมพู สะอาดสะอ้านดุจหยก หอมหวานประหนึ่งคนงามแกะสลักจากหยก นางพลันรู้สึกเบิกบานมีความสุขกว่าปกติขึ้นมาหลายส่วน รับประทานอาหารเช้าอย่างไม่รีบแต่ก็ไม่ช้า จากนั้นเกล้าผมและเปลี่ยนไปสวมอาภรณ์ตัวใหม่สำหรับฉลองปีใหม่ เสร็จแล้วถึงได้นัดแนะฉังเคอเดินไปที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังกินเกี๊ยวปลาแกงแช่น้ำส้มสายชูเก่าแก่ของซานซีอยู่
พอเห็นทั้งสองคนเข้ามา ก็ถามว่าพวกนางกินอะไรมาหรือยัง ยังให้ซือหมัวมัวไปยกเกี๊ยวมาให้ทั้งสองคนด้วย กล่าวว่า “พี่สาวใหญ่ของเจ้าให้คนเอาปลาแกงตัวใหญ่มาให้หลายตัว พวกเจ้าเองก็รับอานิสงส์ตามไปด้วยสักหน่อย”
หวังซีไม่สนใจนัก
นางไม่เข้าใจคนจิงเฉิงเลยจริงๆ มีเทศกาลอะไรหรือไม่ก็เรื่องน่ายินดีอะไรหากมิใช่กินเกี๊ยวก็กินบะหมี่ ทำเนื้อปูปั้นลูกโตๆ กับหมูตุ๋นผักกาดดองแห้งไม่ดีกว่าหรือ
แต่นางยังคงเคารพธรรมเนียมปฏิบัติของจวนหย่งเฉิงโหว นางกับฉังเคอกินเกี๊ยวไปสี่ลูก เสร็จแล้วถึงได้นั่งลงมาสนทนาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นพวกนางไม่นึกถึงซือจู ก็กล่าวด้วยดวงตาที่มีความคาดหวังหลายส่วนว่า “ไม่รู้ว่าซือจูดีขึ้นบ้างหรือยัง ปีใหม่ทั้งทีเหตุใดถึงป่วยไข้ไปได้ ไม่สบายเช่นนี้ คงไปร่วมงานเลี้ยงของวังหลวงไม่ได้แล้ว นางแต่งเข้าบ้านเป็นปีแรก แต่เรื่องสำคัญขนาดนี้กลับไม่อาจเข้าร่วม ต้องมีคนเอาไปติฉินนินทาเป็นแน่”
โหวฮูหยินกำลังเดินเข้าประตูมาพอดี ได้ยินแล้วรู้สึกหดหู่ พลางคิดว่าช่วงนี้ตนยุ่งเรื่องนั้นเรื่องนี้จนไม่มีแม้แต่เวลาจะพักผ่อนด้วยซ้ำ นางเลิกผ้าม่านขึ้นเดินเข้าไป อดกล่าวไม่ได้ว่า “ดูท่านพูดสิเจ้าคะ นางหาใช่คนอื่นไกล ต่อให้นางไม่อาจเข้าร่วมงานรวมญาติครานี้ ก็ยังมีเทศกาลโคมไฟอยู่มิใช่หรือ หลังเทศกาลโคมไฟแล้ว ปกติวังหลวงยังจัดงานเดินชมวสันต์อีก นางยังมีโอกาสเข้าวังอีกมาก แทนที่ท่านจะเป็นห่วงนาง มิสู้เป็นห่วงข้าดีกว่า ข้าไปเข้าวังนี้ ทั้งหิวทั้งหนาว ยังไม่รู้เลยว่าจะได้เจอเรื่องอะไรอีกบ้าง!”
ปีก่อนนางหนาวจนเกือบแข็ง กลับมาต้องดื่มยาติดๆ กันหลายเทียบกว่าจะหายดี
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พูดอะไรอีก
โหวฮูหยินถือโอกาสกล่าวลาฮูหยินผู้เฒ่า นางต้องเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงหลวง เรื่องในบ้านจำต้องฝากฝังไว้กับฮูหยินผู้เฒ่าชั่วคราว
ฮูหยินผู้เฒ่าพูดพล่ามอยู่ตรงนั้นว่า “แต่ละคน ไม่รู้ว่าป่วยจริงหรือว่าแสร้งป่วยกันแน่ ข้าอายุเจ็ดสิบย่างแปดสิบแล้ว ยังต้องมาดูแลงานในบ้านอีก มีใครชีวิตลำบากลำบนเช่นข้าบ้าง”
ปีก่อนเวลาโหวฮูหยินเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงหลวงนั้น นายหญิงรองจะเป็นคนดูแลงานในบ้านแทน ทว่าปีนี้นายหญิงรองฟังคำหว่านล้อมของหันซื่อ แสร้งป่วยผลักภาระนี้ออกไป โหวฮูหยินจึงให้นายหญิงสามช่วยดูแลแทน ทว่านายหญิงสามนั้นเรี่ยวแรงมีจำกัด นางมีใจแต่ไร้พละกำลัง ดูได้ไม่กี่วันก็รู้สึกเหนื่อยจนแทบทนไม่ไหว ถึงขั้นจงใจทำบัญชีผิดเล็กน้อย ถึงสลัดตัวหนีออกมาได้
ด้วยเหตุนี้จำต้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยดูแลอีกครั้ง
ฉังเคอกับหวังซีต่างไม่เอ่ยคำใด
ฉังหนิงกับฉังเหยียนที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านนอกกลับรีบเดินเข้ามา ฉังหนิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากท่านย่ารู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยเกินไป เช่นนั้นข้ามาช่วยวิ่งงานให้ท่านก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
ฉังเหยียนยิ้มร่าพร้อมกับปรบมือเห็นดีเห็นงามด้วย
โหวฮูหยินอยากจะเฆี่ยนให้คนโง่ที่นางคลอดออกมาผู้นี้เป็นลมไปเหลือเกิน โกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไรแล้วแต่ก็ทำได้แค่ระงับความเดือดดาลเอาไว้ รอออกมาจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่าแล้วต่อว่านางเสียงเบาว่า “ผู้อื่นสู้เจ้าไม่ได้หรืออย่างไร! คนอื่นล้วนไม่เสนอหน้า มีแค่เจ้าที่อวดเก่ง! คนโง่อย่างเจ้าจะรับอำนาจไปดูแลบ้านได้อย่างไร”
ขอทานยังมีสามอายุขัย
บ่าวไพร่ที่ยังอยู่เฝ้าเวรยามไม่กลับบ้านช่วงปีใหม่ใหญ่อย่างวันที่สามสิบนี้ หากไม่แอบไปดื่มเหล้าอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ตั้งโต๊ะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเล่นพนัน คนที่ดูแลบ้านกลัวเกิดเรื่องขึ้นในช่วงเวลานี้ จึงต้องไปตรวจลาดตระเวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ดูแลก็กลัวเกิดเรื่อง แต่ถ้ากวดขันมากไป เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนอย่างฉังหนิงคงทำให้คนรู้สึกว่าร้ายกาจเกินไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงได้
ยิ่งไปกว่านั้นอากาศหนาวเย็นขนาดนี้ กลางดึกค่อนคืนยังต้องออกไปเดินรอบๆ นี่หากหนาวจนแข็งไปจะทำอย่างไร
ฉังหนิงไม่ยี่หระ กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าพวกนางกำลังคิดอะไรอยู่ ข้าไม่กลัว!”
นี่ใช่เรื่องกลัวไม่กลัวหรืออย่างไร
เวลาไม่คอยท่าคน ต่อให้โหวฮูหยินอยากคุยกับนางเพิ่มอีกสองสามประโยคก็ไม่ได้แล้ว จำต้องทิ้งพานหมัวมัวไว้ช่วยเหลือฉังหนิง นางยังลอบกำชับพานหมัวมัวว่า “คุ้มครองคุณหนูรองให้ดี อย่างอื่นล้วนเป็นของนอกกายทั้งสิ้น”
ต่อให้ท่อทำความร้อนทำให้เกิดเพลิงไหม้ นั่นก็เป็นเรื่องที่ใช้เงินจัดการได้
พานหมัวมัวพยักหน้า
หลังจากท่านโหวพาคนตระกูลฉังไปกราบไหว้บรรพชนเสร็จแล้ว ท่านโหวกับโหวฮูหยินก็เข้าวัง ส่วนคนที่เหลือไปรวมตัวที่เรือนหยกวสันต์
เนื่องจากหวังซีไม่ใช่บุตรหลานตระกูลฉัง จึงไม่ต้องไปหอบรรพชน นั่งรออยู่ในเรือนฮูหยินผู้เฒ่า
พวกนางเดินผ่านเสียงหวีดหวิวของสายลมหนาวกลับมาถึงห้องอันอบอุ่นดั่งวสันตฤดู หวังซีที่สวมเสื้อบุฝ้ายเพียงตัวเดียววุ่นอยู่กับการให้คนยกชาขิงต้มน้ำตาลทรายแดงเข้ามา แต่ละคนดื่มชาขิงไปหนึ่งถ้วยใหญ่ เมื่อเหงื่อซึมร่างแล้วถึงได้นั่งลงมาจัดการเรื่องอาหารสำหรับคืนข้ามปี
ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุขเป็นอย่างมาก ดึงพวกเด็กๆ มานั่งข้างกาย นายท่านรองกับนายท่านสามพาพวกบุตรชายและหลานชายไปนั่งด้านนอก ทุกคนรับประทานอาหารคืนข้ามปีอย่างมีความสุขไปหนึ่งมื้อ กระทั่งหย่งเฉิงโหวกับโหวฮูหยินกลับมาถึงก็เป็นยามจื่อ[1]พอดี ช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ปีใหม่นั้น ทุกคนจุดปะทัด บอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โหวฮูหยินและคนอื่นๆ เล่นไพ่นกกระจอกในคืนข้ามปี ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเอนตัวนอนดูอยู่บนแหย่งหลัวฮั่นกับพวกหลานๆ กระทั่งท้องฟ้าเริ่มมีแสงรำไร เสียงปะทัดดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนต่างกล่าวอำนวยพรกันและกัน มอบอั่งเปาเสร็จแล้วถึงได้แยกย้ายกันกลับเรือนพักของตัวเอง คนที่กลับไปหลับชดเชยก็กลับไปหลับ คนที่ออกไปไหว้ปีใหม่ก็ออกไปไหว้ปีใหม่ ต่างยุ่งวุ่นวายขึ้นมา
………………………………………………………..