หวังซีกินข้าวรวมญาติคืนข้ามปีที่จวนหย่งเฉิงโหวแล้วหวังเฉินถึงมารับตัวนางไปที่ร้าน
เนื่องจากหย่งเฉิงโหวกับโหวฮูหยินต้องเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยง มื้อค่ำคืนข้ามปีของจวนหย่งเฉิงโหวจึงจัดค่อนข้างเร็ว ส่วนร้านสกุลหวังจัดดึกกว่า หวังซีจึงได้กินมื้อค่ำคืนข้ามปีสองครั้ง
มื้อค่ำในคืนข้ามปีของร้านสกุลหวังไม่เหมือนกับของจวนหย่งเฉิงโหว
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว หวังเฉินก็เริ่มแจกอั่งเปาให้เสมียนและหลงจู๊ที่ยังอยู่ ทุกคนหัวเราะครื้นเครงกันอย่างสนุกสนาน กล่าวอวยพรปีใหม่หวังเฉินและหวังซีล่วงหน้าจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
หวังซี หวังเฉินและหลงจู๊ใหญ่อยู่ข้ามปีด้วยกัน กระทั่งตอนได้ยินเสียงระฆังของวัดต้าเจวี๋ยดังขึ้น ทุกคนก็กล่าวอำนวยพรกันและกันอีกครั้ง เสร็จแล้วหวังเฉินกับหลงจู๊ใหญ่ถึงมอบเงินแต๊ะเอียให้หวังซี จากนั้นหลงจู๊ใหญ่กลับไปใช้เวลากับครอบครัว ส่วนหวังซีกับหวังเฉินเองก็แยกย้ายกลับไปนอนพักผ่อน
นอกจากนี้พอได้นอนหวังซีก็หลับไปจนพระอาทิตย์ขึ้นสูงสามปล้องไม้ไผ่แล้วถึงตื่น
นางกล่าวด้วยเสียงร้อนรนว่า “แย่แล้วๆ ผู้อื่นว่ากันว่าหากแอบขี้เกียจในวันที่หนึ่ง ปีนี้ก็จะขี้เกียจมากไปตลอดทั้งปี ปีนี้ข้าคงไม่ตื่นสายไปตลอดทั้งปีหรอกกระมัง!”
หวังหมัวมัวหัวเราะงอหงาย กำลังจะกล่าวเย้านาง ก็ได้ยินเสียงของหวังเฉินดังเข้ามาจากนอกห้องเสียก่อน “ขี้เกียจหน่อยก็ไม่เป็นไร คนมีวาสนาดีถึงจะขี้เกียจได้”
“พี่ใหญ่!” หวังซีตะโกนเรียกเสียงดัง รีบสวมเสื้อล้างหน้าล้างตา ออกมาจากห้องชั้นใน
ดอกดารารัตน์ในห้องโถงกำลังบานเต็มที่ ทั้งห้องอวลไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่น
หวังเฉินสวมชุดจื๋อตัวสีม่วงแดงทอลายค้างคาวสีทอง สีหน้าสดชื่นมีชีวิตชีวา ดูออกว่าเขาตื่นนานแล้ว
หวังซีเรียก “พี่ใหญ่” อีกเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ท่านกินข้าวเช้าหรือยังเจ้าคะ จะกินกับข้าอีกสักหน่อยหรือไม่”
หวังเฉินกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ากินข้าวเช้าแล้ว เจ้ากินของเจ้าไปเถอะ ข้าจะกินเพิ่มอีกสักหน่อย กินโจ๊กข้าวฟ่างให้รู้สึกอุ่นสักครึ่งถ้วยก็พอ”
หวังซีถาม “นี่พี่ใหญ่กลับจากออกไปข้างนอกมาแล้วหรือเจ้าคะ”
หวังเฉินพยักหน้ายิ้มๆ กล่าวว่า “ไปไหว้ปีใหม่จวนเจียงชวนป๋อมา”
วันที่หนึ่งของมหาปีใหม่ ทุกบ้านต่างต้องแสดงน้ำใจกันตามธรรมเนียม การไปไหว้ปีใหม่ในเวลานี้ ให้คนส่งบัตรอวยพรไปก็ได้แล้ว ส่วนที่ไปด้วยตัวเอง นั่นถือเป็นการให้เกียรติอย่างที่สุด
หวังเฉินกล่าว “ผู้อื่นมาเป็นเถ้าแก่ให้พวกเราเพราะเห็นแก่หน้าของจ่างกงจู่ เกียรตินี้อย่างไรก็ต้องตอบแทน”
หวังซีพยักหน้า ยิ้มกล่าวว่า “ช่วงบ่ายท่านยังมีธุระอะไรอีกหรือไม่ หากไม่มีธุระอะไร ตอนบ่ายพวกเรากินมื้อเย็นกันเร็วสักหน่อย กินหม้อไฟกันเจ้าค่ะ”
ฉลองปีใหม่ที่ร้านก็ดีอย่างนี้ ไม่ต้องสนใจกฎระเบียบมากมาย อยากกินอะไรก็กิน
หวังเฉินกล่าวยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อรับเจ้าออกมาฉลองปีใหม่ด้วยกัน ย่อมต้องอยู่เป็นเพื่อนเจ้าอยู่แล้ว นอกจากจวนเจียงชวนป๋อแล้ว คนอื่นๆ ให้หลงจู๊ใหญ่นำบัตรอวยพรไปให้ก็พอ รอเจ้ากลับจวนหย่งเฉิงโหวแล้วข้าค่อยไปทำธุระข้างนอก”
เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน พวกเขาสองพี่น้องไม่ได้ฉลองปีใหม่ด้วยกันมาสองปีแล้ว
ทั้งสองรับประทานมื้อเช้าเสร็จแล้วก็ขดตัวอยู่บนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่างคุยสัพเพเหระกัน
พูดถึงเรื่องที่ปีก่อนหวังเฉินไม่ได้กลับไปฉลองปีใหม่ที่สู่จงเพราะเรื่องการค้า แล้วก็พูดถึงเรื่องควรกำหนดวันแต่งของหวังซีให้อยู่เดือนที่เท่าไรดี ตอนที่สองพี่น้องกำลังถือปฏิทินพลิกเปิดดูไปมาอยู่นั้น หวังหมัวมัวก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว บอกว่าเจียงชวนป๋อมาไหว้ปีใหม่หวังเฉิน
หวังเฉินกับหวังซีตกใจจนนั่งตัวตรงขึ้นมา หวังเฉินยิ่งแล้วใหญ่กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าได้ยินชัดแล้วหรือว่าเป็นเจียงชวนป๋อ”
ตระกูลชั้นสูงในจิงเฉิงมีพิธีรีตองในการไปไหว้ปีใหม่อยู่ กล่าวคือโดยปกติแล้วช่วงเช้าจะเป็นผู้น้อยไปไหว้ผู้ใหญ่ ช่วงบ่ายจะเป็นมิตรสหายที่สนิทสนมกันไปไหว้ปีใหม่กันและกัน ผู้ที่ไม่อยู่ในวงโคจรนี้ แค่ส่งบัตรอวยพรไปให้ยามเฝ้าประตูบ้านก็พอ รอเจ้าของบ้านกลับมาแล้ว ยามเฝ้าประตูจะนำไปให้เอง เจ้าของบ้านก็จะเลือกส่งบัตรอวยพรกลับมาให้ แต่การมาไหว้ปีใหม่ด้วยตัวเองเช่นนี้ ย่อมต้องเป็นมิตรสหายที่สนิทสนมกันเป็นอย่างมาก
เจียงชวนป๋อให้เกียรติตระกูลหวังมากเกินไปแล้ว
หวังเฉินรีบเปลี่ยนอาภรณ์ ไปพบแขกที่ห้องโถงชั้นนอก
หวังซีตามออกไปเมียงมองบิดาของลู่หลิงด้วยความอยากรู้ครั้งหนึ่ง
เจียงชวนป๋อน่าจะเกือบสี่สิบปีแล้ว แต่ดูท่าทางแล้วเหมือนคนอายุสามสิบต้นๆ ตัวสูง ร่างกำยำแข็งแรง หน้าตาหล่อเหลา ผิวดูมีสุขภาพดี เป็นบุรุษรูปงามที่หาได้ยากยิ่งท่านหนึ่ง
กิริยาท่าทางการพูดจาก็เป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่ง อบอุ่นสุภาพและสง่างาม แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีความสามารถและการศึกษาดีผู้หนึ่ง
ไม่แปลกที่จวนเจียงชวนป๋อจะมีสถานะค่อนข้างสูงในแวดวงคนชั้นสูงของจิงเฉิง
หวังซีแอบกลับไปที่ลานด้านหลังอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง
เจียงชวนป๋อนั่งอยู่ครู่หนึ่งก็กลับออกไป
ตอนที่หวังเฉินกลับเข้ามาดูอารมณ์เบิกบาน กล่าวขึ้นว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่างานแต่งของเจ้าทำให้ข้าได้รู้จักคนยอดเยี่ยมอย่างเจียงชวนป๋อ”
ท่าทางยกย่องชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก
หวังซีจึงถามว่าเขากับเจียงชวนป๋อคุยอะไรกันบ้าง
หวังเฉินถอนใจกล่าวว่า “คุยเรื่องขนส่งพันธุ์พืชทางน้ำ”
หวังซีรู้สึกทึ่งในตัวเจียงชวนป๋อ
ที่ผ่านมาพี่ชายใหญ่ของนางรู้สึกว่าสำนักตรวจตราริมฝั่งแม่น้ำสายจิงหังกระทำการไร้ระเบียบแบบแผนมาโดยตลอด การขนส่งพันธุ์พืชทางน้ำมีโอกาสขาดทุนค่อนข้างมาก ไม่ทำกำไรเท่าขนส่งเสบียงให้เก้าเหล่าทัพ รู้สึกว่าควรให้ราชสำนักออกหน้า จัดตั้งที่ทำการของรัฐที่เหมือนสำนักขนส่งเกลือหลวงเหลี่ยงไหวแบบนั้นมากำกับดูแลการขนส่งพันธุ์พืชทางน้ำถึงจะถูก
เจียงชวนป๋อคุยเรื่องขนส่งพันธุ์พืชทางน้ำกับเขา เกาได้ตรงจุดคันของพี่ชายใหญ่นางจริงๆ
แต่เจียงชวนป๋อกับพี่ชายใหญ่ของนางเพิ่งจะเจอกันได้เพียงสองสามครั้งเท่านั้น
ไม่ว่าเจียงชวนป๋อจะพูดเช่นนี้เพื่อกระชับความความสัมพันธ์กับหวังเฉิน หรือว่าจะเป็นเพียงวิธีการรับมือกับผู้คนของเขาก็ตาม การที่เขาทำให้หวังเฉินยอมรับเขาได้รวดเร็วขนาดนี้ ก็นับว่าเป็นความสามารถของเขาแล้ว
หวังเฉินเองก็สัมผัสได้เช่นกัน กระทั่งตอนที่จวนหย่งเฉิงโหวมารับหวังซีกลับไปในวันที่สอง หวังเฉินบอกนางคร่าวๆ สองสามประโยคว่าเขาตัดสินใจจะไปเยี่ยมเซียวเหยาจื่อที่วัดเจินอู่ ยังกระซิบบอกนางด้วยว่า “ข้าต้องสืบเรื่องของเจียงชวนป๋อท่านนี้อย่างละเอียดสักหน่อย หลังเทศกาลโคมไฟเป็นต้นไปเจ้าก็เริ่มเก็บข้าวของได้เลย พวกเราเตรียมย้ายบ้านกัน”
หวังซีพยักหน้าหงึกๆ ให้เขาระมัดระวังตัวด้วย “น้ำในจิงเฉิงลึกนัก หากมีอะไรไม่สะดวกให้ท่านรอก่อน ถึงเวลาข้าจะให้เฉินลั่วช่วยไปตรวจสอบให้”
แม้แต่เรื่องหนิงผินเฉินลั่วยังสืบออกมาได้ ย่อมต้องสืบเรื่องอื่นๆ ได้เช่นกัน
หวังเฉินยิ้มพลางไปส่งนางที่ปากซอย เสร็จแล้วถึงได้ย้อนกลับไป
ที่จวนหย่งเฉิงโหวมารับหวังซีกลับไปเป็นเพราะฉังลู่ คุณหนูใหญ่สกุลฉังกลับมาไหว้ปีใหม่บิดามารดาและฮูหยินผู้เฒ่า
ตั้งแต่มาจิงเฉิงหวังซียังไม่เคยเจอคุณหนูใหญ่สกุลฉังท่านนี้มาก่อน
นางกลับมาพร้อมกับสามีของนาง ยังพาลูกกลับมาสองคนด้วย คนโตสี่ขวบ คนเล็กหนึ่งขวบ ล้วนเป็นเด็กผู้ชายทั้งคู่
นางจับมือหวังซีเอาไว้กล่าวชมนางไม่หยุดว่า “ได้ยินท่านแม่พูดมานานแล้วว่าเจ้าไม่เพียงหน้าตางดงาม นิสัยก็ดีอ่อนหวาน ข้าสมควรมาเยี่ยมเจ้าสักหน่อยถึงจะถูก แต่เนื่องจากเด็กๆ ในบ้านยังเล็กนัก แม่สามีข้าก็ป่วยติดเตียง เสร็จจากเรื่องนี้ก็มีเรื่องนั้น ทำให้หาเวลามาไม่ได้จริงๆ ข้าจึงกลับบ้านเดิมล่วงหน้าหนึ่งวัน ค้างที่บ้านหนึ่งคืน จะได้มีเวลาอยู่กับพวกเจ้านานหน่อย”
คุณหนูใหญ่สกุลฉังแต่งกับตระกูลที่ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองพลยศขั้นสี่บนตระกูลหนึ่ง เดิมบุตรเขยอยู่กองพลขนนกซ้าย ภายหลังโยกย้ายไปเป็นหัวหน้ากองร้อยที่กองทัพเป่าติ้ง ก่อนหน้านี้นางติดตามไปอยู่เป่าติ้งด้วย ไม่รู้ว่ากลับมาหรือยัง ปีนี้เพิ่งจะยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปีเท่านั้น นางกับฉังหนิงเหมือนกันราวกับออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ทว่าดูเฉลียวฉลาดกว่าฉังหนิง เพียงแต่ว่าสีหน้าดูเศร้า ท่าทางดูไม่ค่อยมีความสุขนัก
หวังซีคิดว่าไม่ต้องพูดถึงเป่าติ้งเลย แม้อยู่ไกลถึงหนานชัง คุณหนูรองอู๋ยังส่งของขวัญปีใหม่มาให้นาง เห็นได้ชัดว่าคุณหนูใหญ่สกุลฉังท่านนี้หากมิใช่เพราะมีความไม่สะดวกบางอย่างทำให้ไม่อาจไปมาหาสู่กับจวนหย่งเฉิงโหวอย่างสนิทชิดเชื้อเกินไปล่ะก็ ก็ต้องเป็นเพราะไม่เห็นญาติอย่างนางอยู่ในสายตา นางไม่อยากต้องรำคาญใจแล้ว จึงทักทายนางตามมารยาทไปสองสามประโยค จากนั้นไปนั่งกับฉังเคอที่ถูกเรียกตัวมาอยู่เป็นเพื่อน ทุกคนพากันทักทายกันและกันว่า “สวัสดีปีใหม่” ขึ้นมา
ฉังลู่ไม่เห็นหวังซีอยู่ในสายตาจริงๆ
ดีร้ายหย่งเฉิงโหวก็เป็นหนึ่งในผู้บังคับบัญชากองบัญชาการทหารทั้งห้า มีญาติมาอาศัยเป็นกาฝากไม่น้อย ต่อให้โหวฮูหยินเคยอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างหวังซีกับจวนหย่งเฉิงโหวให้นางฟังแล้ว นางก็ไม่ค่อยเก็บมาใส่ใจนัก หลังจากรับมื้อเย็นที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จแล้ว นางกับโหวฮูหยินก็รีบกลับไปที่เรือน สองแม่ลูกจะได้พูดคุยเรื่องส่วนตัวกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจเป็นอย่างดี กล่าวว่า “เนื่องจากเป็นเลือดเนื้อของตัวเอง ปีหนึ่งถึงจะได้เจอกันครั้งสองครั้ง จะไม่คิดถึงได้อย่างไร ปล่อยให้พวกนางไปคุยเรื่องของพวกนางเถอะ พวกเรามาเล่นไพ่นกกระจอกกัน”
ยังชี้ให้หวังซีมาร่วมด้วย กล่าวว่า “วันมหาปีใหม่อย่างวันที่สามสิบเจ้าไม่ได้อยู่ฉลองปีใหม่ที่จวน วันนี้ก็มาอยู่เป็นเพื่อนป้าสะใภ้และพวกพี่สาวของเจ้าเถอะ ปีหน้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ายังจะได้มารวมตัวกันอีกหรือไม่”
กล่าวจบก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
พรุ่งนี้หันซื่อกลับบ้านเดิม วันนี้ตั้งใจอยู่ต้อนรับฉังลู่เป็นพิเศษ ได้ยินเช่นนั้นแล้วรีบกล่าวหยอกเย้าให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุข
ไม่นานฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ้มเบิกบานอีกครั้ง
ฉังเคอกระซิบบอกนางว่าหันซื่อได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างมาก ฮูหยินผู้เฒ่ายกกำไลหยกมันแพะที่ตัวเองสวมใส่เป็นประจำให้หันซื่อหนึ่งคู่
หวังซีประทับใจในตัวหันซื่อไม่น้อย ในตระกูลใหญ่เช่นนี้ ต้องเป็นอย่างนางถึงจะมีชีวิตที่ราบรื่น
ฉังลู่มอบแต๊ะเอียให้หวังซี หวังซีจึงให้ลูกทั้งสองนางคนละหนึ่งส่วนแบบเดียวกัน ฉังลู่อดไม่ได้มองหวังซีอย่างชื่นชมขึ้นหลายส่วน หวังซีแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
นางพักอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหวสองวันก็เดินทางกลับ บอกว่าแม่สามีไม่สบายอยู่ที่บ้าน นางกลับจิงเฉิงครานี้ไม่กลับไปที่เป่าติ้งอีกแล้ว ยังซื้อสาวใช้อุ่นเตียงมาให้สามีสองคนอีกด้วย ถึงเวลาจะให้กลับเป่าติ้งไปพร้อมกับสามีของนาง
ตามคำบอกเล่าของโหวฮูหยินที่บอกว่า “มีบุตรชายสองคนแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวเขาจะมีอนุหรือบุตรอนุเพิ่มแล้ว”
หวังซีลอบเบ้ปาก
บุรุษนั้นไม่อาจตามใจได้ เจ้าจัดการให้เขาเสียดิบดี เขาอาจคิดว่าเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว
ในจวนหย่งเฉิงโหวล้วนพูดกันว่าคุณหนูใหญ่ท่านนี้คือคนที่มีความสามารถที่สุดในบรรดาพี่น้องสกุลฉัง แต่นางรู้สึกว่าอาจไม่ใช่เสมอไป ยังแอบกระซิบวิจารณ์กับฉังเคอเป็นการส่วนตัวว่า “ยอมให้เขาเอ่ยปากขอ แต่ไม่ควรจัดการให้เขาก่อนเสร็จสรรพ หาไม่แล้วผู้อื่นอาจคิดว่าเจ้าอยากผลักเขาออกไปได้!”
ฉังเคอเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน กล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้”
หวังซียังเบ้ปากกล่าวอีกด้วย “นอกเสียจากว่าข้าไม่ต้องการแล้ว ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าข้าจะปล่อยให้ออกไป”
ฉังเคอหัวเราะฮ่า
น่าเสียดายที่เฉินลั่วงานยุ่งมากอยู่ตลอด หย่งเฉิงโหวเป็นคนที่ที่ไหนครึกครื้นไม่ให้ไปที่นั่น มิใช่แค่วันที่เก้า แม้แต่เทศกาลโคมไฟก็กักขังพวกนางไว้ไม่ให้พวกนางออกไปข้างนอก
หวังซีจึงอยู่แต่ในบ้านอย่างสบายใจ จัดเก็บข้าวของที่ต้องการขนย้ายออกไปจนเสร็จอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง พร้อมย้ายออกได้ทุกเมื่อ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวก็ยังไม่รู้เรื่อง กระซิบกล่าวกับซือหมัวมัวว่า “ข้าได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวบอกว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงจะพระราชทานสมรสพระราชทานให้หวังซีกับเฉินลั่ว ก็เท่ากับพวกเราได้รับพระราชโองการสองครั้งแล้ว”
นี่เป็นเรื่องมีเกียรติมีหน้ามีตายิ่งนัก
ซือหมัวมัวเองก็ลอบดีใจตามไปด้วย
ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อเก็บโคมไฟในวันที่สิบเจ็ดเสร็จแล้ว หวังเฉินก็เข้ามารับตัวหวังซี บอกว่าซื้อบ้านข้างนอกเอาไว้หนึ่งหลัง จึงมารับหวังซีออกไป “นางเองก็โตแล้ว ไม่อาจเอาแต่อยู่ในจวนของท่าน อีกอย่าง คุณหนูทั้งสามท่านของจวนท่านต่างก็กำลังจะออกเรือนกันแล้ว ข้ารับนางออกไป ภาระของพวกท่านก็จะได้น้อยลงไปหลายอย่าง”
ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนเกือบจะเป็นลมล้มลงไปตรงนั้นเลย ด่าตระกูลหวังต่อหน้าบ่าวไพร่เต็มห้องว่าไร้สำนึก “หากมิใช่ข้า ผู้ใดจะรู้ว่านางเป็นใคร บัดนี้จะได้แต่งเข้าจวนจ่างกงจู่แล้ว ก็เลยรังเกียจว่าในจวนไม่ดี? นี่คงกลัวพวกข้าจะได้อานิสงส์จากนางกระมัง ให้นางวางใจได้เลย คนแก่อย่างข้าต่อให้เดินหลงทางก็ไม่มีทางเดินหลงไปหานางอย่างแน่นอน ไม่มีนาง ข้าก็ยังมีอาจูอยู่”
ได้ยินแล้วคนทั้งห้องต่างกลอกตามองบน
ท่านเอาแต่นึกถึงคุณหนูซือ แต่คุณหนูซือนั้นนับตั้งแต่วันที่มาหาคุณหนูหวังเมื่อคราวก่อนเป็นต้นมา ก็ไม่เคยเหยียบเข้าประตูจวนหย่งเฉิงโหวอีก แม้แต่วันปีใหม่ก็ไม่มา
……………………………………………………….