ตอนที่ 227 ใครกันแน่ที่มีชีวิตสุขสบาย
ตอนที่ 227 ใครกันแน่ที่มีชีวิตสุขสบาย
บ้านครอบครัวซู
“นายเอาสตรอว์เบอร์รีไปให้แล้วเหรอ” เจียงจิ่นเวยผู้แต่งกายอย่างประณีต ถามขณะที่อุ้มถังโต้ว
ซูเจิ้งหลันตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
“แต่ว่าผมไม่เจอซูเถา ชายร่างใหญ่ที่ประตูยังไงก็ไม่ยอมให้ผมเข้าไป”
ซูเจี้ยนหมิงตะคอก “ไม่ควรเอาไปให้เธอเลย เสียดายสตรอว์เบอร์รีกล่องนั้น”
เจียงจิ่นเวยเสียหน้าเล็กน้อย เพราะเธอนำมาจากซินตูไม่เท่าไหร่ ประการแรกเป็นเพราะมันก็ขนส่งไม่สะดวก และเสียง่าย อย่างที่สองมันมีราคาแพงมาก
อีกอย่างผู้ชายของเธอก็ได้มาไม่มากนัก ดังนั้นเขาจึงให้เธอมาได้ทั้งหมดสองกล่องเท่านั้น
เพื่อรักษาหน้า เธอมอบหนึ่งกล่องให้ซูเถาอย่างไม่เต็มใจ เพียงเพื่อให้เห็นว่าใครกันแน่ที่มีชีวิตที่สุขสบายกว่ากัน ใครหาผู้ชายได้ดีกว่ากัน
แต่เธอยังคงแสร้งทำเป็นเฉยเมยและยิ้ม “นำไปให้แล้วก็แล้วไป ถ้าพวกคุณอยากกิน ฉันจะให้เอ่อร์เฉิงซื้อให้อีก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่หรงเหลียนก็จับมือเธอแล้วพูดว่า
“อย่ารบกวนเขาอีกเลย แค่นี้ก็รบกวนจะแย่แล้ว แม่รู้ว่าจิ่นเวยของเราเป็นคนกตัญญู และเอ่อร์เฉิงก็เป็นคนดี ดีกว่าไอ้คนที่มันเกาะผู้หญิงกินคนนั้นตั้งเยอะ
เมื่อลูกสาวคนโตกลับมา เขาก็ให้เงินเพื่อให้ไปจับจ่ายใช้สอย
เธอมีความสุขมากจากก้นบึ้งของหัวใจ โดยคิดว่าลูกสาวคนโตของเธอนั้นพึ่งพาได้และกตัญญู
เจียงจิ่นเวยไม่พอใจ “แม่ ฉันบอกแม่แล้วใช่ไหมว่าอย่าพูดถึงการที่ฉันเคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว และต่อไปนี้แม่ก็ห้ามพูดอีกว่าถังโต้วเป็นลูกของฉันถ้าคนของเอ่อร์เฉิงถามก็ให้แม่ตอบไปว่าถังโต้วเป็นลูกของซูเถาที่เธอทิ้งขว้าง และโยนภาระมาให้ครอบครัวเลี้ยง อย่าบอกว่าฉันเคยแต่งงานมีลูกมาแล้ว”
ถังโต้วอายุสี่ขวบ สามารถเข้าใจคำพูดของผู้ใหญ่ได้ เมื่อคิดว่าแม่ของเธอไม่ต้องการเธออีกต่อไป เธอจึงกอดคอของเจียงจิ่นเวยทันทีและร้องไห้ “แม่ แม่ ฮือ..!
เจียงจิ่นเวยปลอบลูกสาวอยู่นานแต่ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเธอได้ ตอนแรกเธอพยายามอดทน แต่สุดท้ายมีน้ำตาและน้ำมูกไหลเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าของเธอไปหมด จิ่นเวยหมดความอดทนและโยนถังโต้วให้หลี่หรงเหลียนแล้วพูดว่า
“อารมณ์ของเด็กแย่ลงเรื่อย ๆ”
หลี่หรงเหลียนรีบรับหลานไว้ อยากจะบอกว่าถังโต้วรู้สึกไม่ปลอดภัยก็เป็นเรื่องปกติที่เด็กน้อยจะพึ่งพาแม่ของเธอ แต่เมื่อเห็นว่าลูกสาวคนโตแต่งหน้าสวยและท่าทางไม่แยแส เธอก็กลืนคำพูดนั้นลงคอไป
ซูเจิ้งหลันถามอย่างประจบสอพลอ
“พี่…พี่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดพันธมิตรนั่นได้หรือเปล่า”
เจียงจินเว่ยยกเปลือกตาขึ้นและจ้องมองไปที่เขา “นั่นคือสิ่งที่คนของฉันทำ แน่นอนว่าฉันไปได้สิ”
“…งั้นผมไปด้วยได้ไหม” ซูเจิ้งหลันมองเธออย่างมีความหวัง
ถ้าเขาสามารถไปประชุมและพบเพื่อนที่มีความสามารถในที่ประชุม บางทีเขาอาจจะสร้างอาชีพได้
เจียงจิ่นเวยปฏิเสธทันที “นายคิดว่าทุกคนสามารถไปได้หรือไง คนที่ไปที่นั่นล้วนเป็นคนที่มีความสามารถสูง หรือไม่ก็เป็นคู่ครองของพวกเขา นายจะไปในฐานะอะไร”
ซูเจิ้งหลันสะอึกและพึมพำอย่างเงียบ ๆ
……
หลังจากแจกจ่ายสตรอว์เบอร์รีได้ไม่นาน ซูเถาก็ได้รับแบบร่างการออกแบบสำหรับการขยายโรงแรมผานหลิวซาน ที่วาดโดยผู้อาวุโสเหม่ยและลูกศิษย์ของเขา
เดิมทีมันสูงเพียงห้าชั้น และแต่ละชั้นมีห้องพักเพียงสิบห้อง
ตามการออกแบบใหม่ จำนวนชั้นทั้งหมดมีถึงสิบสองชั้น และจำนวนผู้พักอาศัยเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า
มีการเพิ่มห้องเก็บของในห้องน้ำแต่ละชั้น ซึ่งสะดวกต่อการทำความสะอาด
มีการเพิ่มลิฟต์อีก 2 ตัวเพื่อลดแรงกดดันในการเคลื่อนย้ายผู้คนเวลาขึ้นลงอาคาร
มีการเพิ่มห้องคู่สี่ห้องในอาคารหอพักพนักงานที่ด้านหลัง และสุดท้าย เธอก็กัดฟันและใช้ผลึกนิวเคลียสอันสุดท้ายเพื่อขยายพื้นที่ใต้ภูเขาผานหลิว 100 ตารางเมตร ทำให้พื้นที่เติมน้ำมันและที่จอดรถกว้างขวางขึ้น
ซูเถาทำการก่อสร้างทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาร่วมสองวัน ทำให้เธอได้นอนเพียงสี่ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น
เมื่อมองไปที่โรงแรม 12 ชั้น หม่าต้าเพ่ารู้สึกตื่นเต้นมาก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะได้เห็นโรงแรมผานหลิวซานขนาดใหญ่แบบนี้ที่เขาเฝ้าฝันมานาน
“ตอนนี้ภูเขาผานหลิวของเราสามารถรองรับคนได้มากกว่า 120 คนในเวลาเดียวกัน?”
ซูเถาพยักหน้า
เธอคิดในใจ ผู้เช่าในเถาหยาง บวกผู้เช่าผานหลิวซาน รวมแล้วมีผู้เช่าเกือบ 480 ราย
การอัปเกรดเป็นเลเวล 6 ต้องการจำนวนผู้เช่าถึง 500 คน และในขณะเดียวกันก็ต้องใช้เงินถึง 6 ล้านเหลียนปัง
ตอนนี้สินทรัพย์ทั้งหมดของเธอมีถึง 8.12 ล้านเหลียนปัง เธอสามารใช้มันสำหรับการอัปเกรดเลเวล 6 ได้แล้ว
แต่ทว่า ไม่ว่าเธอจะทำงานหนักแค่ไหน เธอก็ยังไม่สามารถอัปเกรดได้ เพราะต้องรับผู้เช่าเพิ่มอีก 20 คน!
หัวใจของซูเถาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนรุ่ม ท้ายที่สุด หลังจากการอัปเกรด ไม่เพียงแต่สามารถปลดล็อคอาคารที่พัก ประเภทห้องโหมดเช่าแบบกลุ่ม แต่ยังปลดล็อกร้านค้าปศุสัตว์อีกด้วย
ฟาร์มในตงหยางประสบปัญหาการผลิตลดลงอย่างมาก และการซื้อเนื้อสัตว์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็ยากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้แต่กับพ่อครัวฉิน ราคาของอาหารจานเนื้อก็เพิ่มขึ้นหลายรอบแล้ว
คงจะดีมากถ้าเถาหยางสามารถเลี้ยงสัตว์ได้ด้วยตัวเอง
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ซูเถาซึ่งเหนื่อยเล็กน้อยในตอนแรกก็กลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง และวางแผนที่จะกลับไปทานอาหารและงีบหลับก่อนจะลุกขึ้นไปสร้างห้องพักใหม่ที่จะปล่อยเช่าในเดือนเก้า
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะจากไป หม่าต้าเพ่าก็รีบหยุดเธอ
“เดี๋ยว เถ้าแก่ อย่าเพิ่งรีบออกไป ผมอยากจะบอกคุณเรื่องของชวีจิ้งอวิ๋น วันนี้พี่ใหญ่มี๋อู่และคุณเมิ่งได้ไปพบชวีจิ้งอวิ๋น พวกเขาได้เกลี้ยกล่อมเธอเป็นเวลานาน แต่ว่า…”
“แต่อะไร?”
“เธอต้องการดูศพถานหย่ง” หม่าต้าเพ่าถอนหายใจ
ซูเถาตกใจ “ฉันให้หั่วเสอเผาเขาเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว”
แดดร้อนขนาดนี้จะเก็บศพไว้ได้ยังไง?
หม่าต้าเพ่าปวดหัว “ไว้ผมจะไปบอกเธออีกครั้ง เธอยังคงคิดว่าถานหย่งถูกอาคมของเหลียนซา เธอรักเขาจริง ๆ ผมอยากจะบ้า”
ซูเถากล่าวว่า “ฉันฆ่าถานหย่ง เธอก็คงเกลียดฉันมาก”
หม่าต้าเพ่าหยุดพูด
ซูเถายิ้ม “เธอดุด่าฉันไม่น้อยเลยใช่ไหม แต่ฉันไม่สนใจหรอกนะ ปล่อยให้เธอพูดไป อย่าเพิ่งไปกวนใจเธอ ให้เวลาเธอสามวัน ถ้าเธอยังทำแบบนี้ก็ให้มี๋อู้จัดการเธอซะ”
หม่าต้าเพ่าตอบรับและกล่าวว่า “ผมจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดี ผมขอโทษ”
ซูเถาส่ายหัว “คุณอย่าคิดมากเลย คุณเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของเถาหยางนะคะ ไปทำงานเถอะค่ะ จากการขยายตัวของธุรกิจ หลังจากนี้คงจะหัวหมุนทีเดียว เตรียมตัวให้พร้อมแต่เนิ่น ๆ”
หม่าต้าเพ่าตอบรับซ้ำ ๆ
กลับมาที่เมืองเถาหยาง ซูเถาเพิ่งทานอาหารเสร็จและเดินออกไปสักพัก ผู้อำนวยการกัวของศูนย์ส่งเสริมแม่และเด็กก็โทรมา
เธอดูมีความสุขมาก แต่น้ำเสียงของเธอจริงจังเหมือนเคย
“เถ้าแก่ซู เราอาจต้องจำกัดจำนวนคนที่สามารถเข้ารับการใช้บริการศูนย์สุขภาพแม่และเด็ก เนื่องจากข่าวการเข้าครอบครองกิจการแพร่สะพัดไปเมื่อวานนี้ ฉันได้รับใบสมัครจากสตรีมีครรภ์เกือบพันคนภายในเวลาไม่ถึงวัน”
“แต่เรามีเตียงเพียง 600 เตียง และเรามีหญิงตั้งครรภ์แล้ว 400 คน ดังนั้นปัจจุบันเรายังขาดอีก 200 ที่ คุณคิดว่าเราจะทำยังไงดีกับ 200 คนที่เหลือ”
บางทีผอ.กัวอาจไม่ได้สังเกตตัวเอง แต่เธอเริ่มเคารพซูเถามากขึ้น และเริ่มเห็นด้วยกับเจ้านายตัวน้อย
ซูเถาไม่ได้คิดมาก หญิงสาวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ให้สิทธิ์กับคนจากเถาหยางก่อน ส่วนที่เหลือก็แล้วแต่คุณ”
ผอ.กัวเห็นด้วยและเธอไม่คัดค้านเรื่องนี้ ในเถาหยางมีคนไม่มาก หญิงตั้งครรภ์ก็น้อย มีไม่ถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำ