ตอนที่ 250 เรื่องเล็กน้อย
ตอนที่ 250 เรื่องเล็กน้อย
“นายแบกไปคนเดียวไหวไหม?” เขาถามหลินจินซาน
หลินจินซานพยักหน้า “ได้ครับ”
“งั้นก็แบกไปแล้วกัน”
หลินจินซานยกทีวีสีขนาดใหญ่ขึ้นไปวางไว้บนบ่า น้ำหนักที่กดลงมาทำให้เขาถึงกับไหล่ทรุด
เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนั้น หู่จือก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ลุง หนักมากไหมฮะ?”
“ไม่หนักหรอก” หลินจินซานยืนกราน
เฉินเจียเหอก้าวไปข้างหน้า เหลือบมองไปทางเซี่ยไห่ที่เอาแต่เดินตัวปลิวไปข้างหน้าโดยไม่รู้จักแสดงน้ำใจช่วยเหลือ จากนั้นพูดกับหลินจินซานว่า “มาเถอะ พวกเราช่วยกันยกคนละฝั่ง”
เพื่อไม่ให้เจ้านายคิดว่าเขากินแรงคนอื่น หลินจินซานกัดฟันตอบด้วยความยากลำบาก “ไม่เป็นไร ผมแบกเองได้”
เฉินเจียเหอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นายแบกได้ แต่ทีวีแบกรับความเสียหายไม่ได้ ขืนร่วงขึ้นมาก็เงินทั้งนั้น”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หลินจินชานก็รีบวางมันลงทันทีแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเราช่วยกันยกเถอะ”
เซี่ยไห่เพิ่งเคยเข้ามาในตรอกนี้เป็นครั้งแรก แน่นอนว่าเขาไม่พอใจกับสภาพแวดล้อมอันยุ่งเหยิงของละแวกนี้ “เจียเหอ นายคิดจะให้แม่ยายตัวเองอยู่ในสถานที่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?”
ในฐานะลูกเขย เฉินเจียเหออธิบายอย่างเชื่องช้า “ฉันวางแผนว่าจะหาบ้านใหม่ให้พวกเขาในอีกไม่นานนี้”
“ดูสภาพแวดล้อมที่สกปรกและวุ่นวายนี่สิ น่ารันทดเกินไปแล้ว”
หลินเซี่ยบอกว่า “เถ้าแก่เซี่ย อย่ารังเกียจสถานที่แบบนี้เลยค่ะ แม่กับน้องสาวของฉันมาจากชนบททั้งคู่ เพิ่งจะได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองไม่นานมานี้ ที่อยู่ปัจจุบันถือว่าสะดวกสบายกว่าเมื่อก่อนมากโข รอให้เราหาเงินเพิ่มมากขึ้น ในอนาคตสภาพความแป็นอยู่ก็จะดีขึ้นตามลำดับ”
“แม่เธอต้องมาตกระกำลำบากในชนบทตั้งหลายปี นึกถึงสภาพบ้านนอก… เฮ้อ”บราวนี่ออนไลน์
หลินจินซานได้ยินเซี่ยไห่ถอนหายใจ เขาก็พูดถึงผู้เป็นพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วว่า “ตอนที่พ่อของผมยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยปล่อยให้แม่ต้องทนทุกข์ทรมานสักครั้งเลยครับ”
หลินเซี่ยพูดเสริม “ใช่แล้ว ฉันได้ยินแม่เล่าให้ฟังว่าพ่อหลินดีกับแม่มาก ๆ เขาเป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบสูงส่ง ถ้าไม่มีเขา ฉันคงไม่มีโอกาสได้เกิดมาในโลกนี้แล้วก็ได้”
ถ้าเวลานั้นหลิวกุ้ยอิงไม่ได้เจอกับหลินต้าฝูผู้แสนดี หล่อนอาจจะเสียชีวิตท่ามกลางยุคสมัยที่สังคมยังไม่พัฒนา และหลินเซี่ยคงไม่มีโอกาสได้เกิดมาลืมตาดูโลก
คิดได้ดังนี้แล้ว เซี่ยไห่จึงพูดกับหลินจินซานว่า “จินซาน ครั้งหน้าถ้านายได้กลับไปที่บ้านเกิด ฉันจะกลับไปกับนายด้วย ฉันอยากจุดธูปไหว้พ่อของนายสักหน่อย”
หลินจินซานรู้สึกปลื้มปีติอย่างยิ่ง “ขอบคุณครับเถ้าแก่เซี่ย”
ทันทีที่มาถึงประตูบ้าน ทุกคนก็ได้กลิ่นหอมของอาหารลอยกรุ่นออกมา
เซี่ยไห่สูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอดแล้วพูดว่า “โอ้โฮ กลิ่นหอมจังเลย”
หลินเยี่ยนเห็นหลินจินซานและเฉินเจียเหอช่วยกันยกกล่องกระดาษแข็งขนาดใหญ่เข้ามาในลานบ้าน ก็ถามด้วยความประหลาดใจ “พี่เขย พี่ชาย พวกคุณยกอะไรกันมาน่ะ?”
หู่จือเป็นคนแรกที่ตอบว่า “น้าเล็ก ลุงเซี่ยของผมบอกให้พ่อกับลุงเอาทีวีสีเครื่องใหญ่มาให้คุณยายฮะ”
“หา?” หลินเยี่ยนมองไปที่กล่องกระดาษใบใหญ่ พบว่ามีสัญลักษณ์ทีวีอยู่บนนั้นจริง ๆ
หล่อนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยอาการหัวสมองว่างเปล่า ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนมอบของราคาแพงหูฉี่อย่างทีวีสีให้พวกหล่อน
เซี่ยไห่เดินตามพวกเขาเข้ามา จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเยี่ยน ฉันเพิ่งมาที่บ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าควรจะซื้ออะไรมาฝากดี ก็เลยยกทีวีสีมาให้แม่เธอซะเลย”
หลินเยี่ยน “!!!”
เมื่อเข้าไปในลานบ้าน เซี่ยไห่คว้ากล่องใบใหญ่แล้วพูดว่า “วางลงเร็วเข้า”
หลินเยี่ยนยังตกใจไม่หาย วิ่งไปที่ห้องครัวเพื่อเรียกหาหลิวกุ้ยอิง
หลิวกุ้ยอิงกำลังทำกับข้าว เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหลินเยี่ยน ก็บอกให้หลินเยี่ยนมารับช่วงทำกับข้าวต่อ ส่วนหล่อนเดินออกมาทั้งที่ยังสวมผ้ากันเปื้อน
“พวกคุณมากันแล้วเหรอ? เข้ามานั่งข้างในกันก่อนค่ะ”
สายตาหลิวกุ้ยอิงเบนไปที่ทีวีสีขนาดใหญ่กลางลานบ้าน แล้วถามว่า “นี่คือ…”
หลินจินซานรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าใคร “แม่ นี่คือของขวัญจากเถ้าแก่เซี่ยครับ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หลิวกุ้ยอิงก็รีบปฏิเสธพัลวัน “เถ้าแก่เซี่ย คุณทำแบบนี้ไม่ได้ พวกเราไม่สามารถรับของมูลค่าสูงไว้ได้จริง ๆ ขากลับคุณกรุณายกกลับไปด้วยเถอะค่ะ”
“พี่อิงจื่อ นี่เป็นแค่ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ จากผม คุณรับเอาไว้เถอะ มันอาจจะดูเป็นของมูลค่าสูงสำหรับคุณ แต่สำหรับผมมันก็เหมือนกับการซื้อเนื้อสองสามกิโลกลับมาฝากคุณนั่นแหละ ของฝากแค่นี้เรื่องเล็กน้อยครับ”
เซี่ยไห่พูดพลางผายมือออก ทำตัวเป็นคนร่ำรวยที่ไม่เห็นเงินอยู่ในสายตา
เฉินเจียเหอพูดว่า “คุณแม่ รับไว้เถอะครับ เป็นความตั้งใจของเซี่ยไห่เขา”
“แต่ว่า…”
ถึงแม้เฉินเจียเหอจะออกหน้าเกลี้ยกล่อมแล้ว แต่หลิวกุ้ยอิงก็ยังคงระมัดระวัง ไม่กล้ายอมรับสิ่งของมีค่าชิ้นนี้
“พี่อิงจื่อ ไม่ว่าผมจะมีความสัมพันธ์ที่ยังไม่ได้รับการยืนยันกับเซี่ยเซี่ยยังไง แต่อย่างน้อยผมก็ยังมีฐานะเป็นเจ้านายของจินซาน เขาทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถภายใต้สายตาผม ทักษะอื่น ๆ ก็โอเค เห็นแก่ความสัมพันธ์ทั้งสองนี้ ผมก็เลยมอบทีวีสีให้เป็นสินน้ำใจ หลังจากนี้แค่จินซานทำงานอย่างหนักชดเชยให้ผมในอนาคตก็พอแล้ว”
หลินจินซานยืนตัวตรงทันที แสดงท่าทางจริงจัง
“หัวหน้า ผมจะทำงานให้หนัก ตั้งใจทำงานหนักไปจนตายเลยครับ”
เซี่ยไห่กลอกตาไปที่เขาอย่างหมดคำพูด “พอเลย นายนี่เจ้าสำบัดสำนวนจริง ๆ!”
“ไปจัดสำรับเร็วเข้า ฉันหิวแล้ว”
“มา เรามาติดตั้งทีวีกันเถอะ”
เซี่ยไห่ยกกล่องทีวีสีเข้าไปในห้อง จากนั้นมองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า
“ถึงแม้บ้านเล็ก ๆ หลังนี้จะดูเรียบง่าย แต่ก็ตกแต่งได้อย่างอบอุ่นทีเดียวครับ”
หลินจินซานรีบวิ่งไปชงชามารับแขก
เซี่ยไห่และเฉินเจียเหอยุ่งอยู่กับการตั้งค่าทีวีสี หมุนเสาอากาศและปรับช่อง จากนั้นก็เปิดรายการทีวีแล้วนั่งดูระหว่างรอ
จากนั้นเซี่ยไห่ก็กระซิบกับหลินเซี่ย
“ไว้ฉันค่อยพูดเรื่องพี่ใหญ่กับแม่ของเธอทีหลัง เธอว่าดีไหม?”
หลินเซี่ยตอบว่า “ไม่มีปัญหาค่ะ ดีแล้วที่ยังไม่รีบร้อนคุยในทันที ให้พวกเราได้กินข้าวกันจนอิ่มซะก่อน ไม่อย่างนั้นเวลาแม่ร้องไห้หล่อนจะยกตะเกียบลำบากมาก ฉันเองก็กินข้าวได้น้อยมาสองวันแล้ว”
“ได้ ไม่ต้องห่วง ฉันพอจะรู้เวล่ำเวลาอยู่หรอก”
หลินเซี่ยเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อช่วยหลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนเตรียมอาหาร พร้อมกับเตรียมแป้งสำหรับตั้งแผงพรุ่งนี้ไว้ล่วงหน้า
หลิวกุ้ยอิงได้ยินมาว่าหลินเซี่ยกินข้าวไม่ค่อยลงในช่วงที่ผ่านมา จึงเตรียมอาหารจานใหญ่ไว้เป็นพิเศษ
พวกหล่อนยังทำเมนูจากปลาและไก่ด้วย ค่าวัตถุดิบสำหรับทำอาหารมื้อนี้เทียบเท่ารายได้ที่ได้รับต่อวัน
เมื่ออาหารถูกยกออกมาเสิร์ฟ เซี่ยไห่ก็ถึงกับอุทาน “ว้าว มีของอร่อยมากมายขนาดนี้เชียวเหรอ?”
หลินเยี่ยนไม่อาจละสายตาไปจากทีวีได้ ยามเห็นตัวละครโลดแล่นอยู่บนจอภาพ
หลิวกุ้ยอิงยกอาหารจานสุดท้ายออกมา จากนั้นเชิญให้ทุกคนนั่งลง “มาเร็วทุกคน กินข้าวด้วยกันเถอะ กับข้าวพวกนี่ฉันตั้งใจปรุงเองกับมือเลยนะ”
“ลองชิมดูสิ ยินดีต้อนรับสู่บ้านเรานะเถ้าแก่เซี่ย”
“พี่อิงจื่อ ผมยินดีมาก ๆ เลยครับ”
เซี่ยไห่กัดน่องไก่คำโต จากนั้นก็เอ่ยปากชมเปาะ “อร่อย อร่อยมากเลยครับ”
กับข้าวจานอื่น ๆ ก็รสชาติดีมากไม่แพ้กัน ให้สัมผัสของรสชาติที่แตกต่างออกไปจากภัตตาคารที่เขามักจะไปกินบ่อยครั้งอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกอบอุ่นเหมือนได้กลับบ้าน
ขณะที่เขากิน น้ำตาก็เริ่มไหลรินอย่างอดไม่ได้และเริ่มเช็ดน้ำตา
เฉินเจียเหอมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า “เป็นอะไรไปอีกล่ะ?”
แค่หยิบตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก น้ำตาก็ไหลเลย ไม่เคยกินอาหารบ้าน ๆ มาก่อนหรือไงกัน?
“ฉันรู้สึกอ้างว้างนิดหน่อย” เซี่ยไห่ปาดน้ำตา พูดอย่างซาบซึ้งใจมาก “ฉันไม่ได้กินกับข้าวทำเองที่บ้านอร่อย ๆ แบบนี้มานานหลายปีแล้ว ฉันเดินสายทำการค้าไปทุกที่ มีอะไรก็กินอันนั้น ตอนคล่องตัวก็กินของดี แต่ตอนลำบากต้องอาศัยแค่ซาลาเปากับผักดองประทังความหิว นานทีปีหนจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัวใหญ่และนั่งกินข้าวด้วยกันพร้อมหน้า นึกแล้วอดคิดถึงบ้านไม่ได้จริง ๆ”
“นายนี่เป็นผู้ใหญ่มาครึ่งชีวิตแล้ว แต่อารมณ์อ่อนไหวง่ายดีแท้”
เมื่อหลิวกุ้ยอิงได้ยินว่าเซี่ยไห่ชื่นชอบอาหารที่ตนทำมาก ก็รู้สึกปลาบปลื้มใจเช่นกัน รีบขยับจานไปวางตรงหน้าเขา “ถ้าชอบก็กินให้เยอะ ๆ เลยนะ”
เซี่ยไห่ไม่รักษาภาพลักษณ์อีก จับน่องไก่ด้วยมือเปล่าแล้วเริ่มแทะมัน
หลินเซี่ยฉีกขาไก่อีกข้างให้หู่จือ
ทุกคนดูทีวีและพูดคุยกันขณะรับประทานอาหาร บรรยากาศกลมเกลียวอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม หลังจากอาหารมื้ออร่อยผ่านพ้นไป ก็ถึงเวลาที่ต้องพูดคุยเกี่ยวกับธุระสำคัญ
บรรยากาศกลับมาอึมครึมละเอียดอ่อนอีกครั้ง
เซี่ยไห่มองไปที่หลิวกุ้ยอิงและพูดอย่างระมัดระวัง “พี่อิงจื่อ เซี่ยเซี่ยบอกผมว่าคุณเคยรู้จักกับพี่ใหญ่ของผมจริง ๆ”
“ผมได้ฟังเจียเหอและเซี่ยเซี่ยเล่าเรื่องราวในอดีตของคุณแล้ว แถมยังได้ยินเรื่องราวที่ถูกต้องตรงกันจากใครหลาย ๆ คนในเทศมณฑลซีเหอ ผมรู้สึกเสียใจมาก และรู้สึกผิดต่อคุณมากจริง ๆ ตอนนั้นคุณถูกกระทำมาไม่น้อยเลย”
หลิวกุ้ยอิงก้มหน้าลง คำพูดของเซี่ยไห่ทำให้ความทรงจำอันน่าเศร้าผุดขึ้นอีกครั้ง จนหล่อนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้
เซี่ยไห่อธิบายให้หล่อนฟัง “ตอนนั้นพี่ใหญ่ไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณตกอยู่ในความสิ้นหวังเลย เพียงแต่สหายร่วมรบสามารถช่วยชีวิตเขากลับมาได้แค่ครึ่งหนึ่ง ตอนแรกทุกคนคิดว่าเขาสละชีวิต แต่แล้วเขากับนายทหารอีกสองคนที่ฟื้นขึ้นได้ปีนขึ้นมาจากศพกองพะเนินแล้วเดินหลงทางในป่าอยู่นาน ในที่สุดก็ได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้านที่อยู่แถวแถบชายแดน แต่กว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากกองทัพก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บสมองกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนจำอะไรไม่ได้เลย ขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน ช่วงสองสามปีแรกเขาลุกจากเตียงไม่ได้เลย”
“ถ้าเขาไม่สูญเสียความทรงจำ ผมเชื่อว่าเขาต้องทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ด้วยการไปที่เทศมณฑลซีเหอเพื่อตามหาคุณแน่ โชคชะตาช่างเล่นตลกกับคนอย่างเราจริง ๆ”
ด้วยความที่คุยเรื่องนี้กันมาหลายวันแล้ว หลิวกุ้ยอิงจึงไม่สะเทือนใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป หล่อนปาดน้ำตา มองเซี่ยไห่แล้วถามว่า “ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง?”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จังหวะนรกมากเลย คลาดกันนิดเดียวคล้ายกับจากกันชั่วนิรันดร์ ไม่งั้นครอบครัวเซี่ยเซี่ยคงมีความสุขมากกว่านี้แล้ว
ไหหม่า(海馬)