ประมุขนิกาย สื่ออวิ๋น

แน่นอนว่าที่ต้วนหลิงเทียนสามารถบอกได้ว่าทั้ง 5 เป็น ครึ่งก้าวเซียน ทั้งๆที่ยังไม่เห็นตัวนั้น เพราะกลิ่นอายพลังที่เขาแลเห็นมันเหมือนกันกับรองเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง…

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนทะลวงมาถึงสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ การรับรู้ของเขายิ่งมาก็ยิ่งเฉียบคมมากขึ้น!

ต้วนหลิงเทียนมั่นใจมาก ว่าทั้ง 5 คนนี้ลอบติดตามพวกเขามาตั้งแต่ออกจากตระกูลซือถู!

‘หรือพวกมันทั้ง 5 จะเป็นคนของ 18 เงาผู้พิทักษ์ของตระกูลซือถู?’

พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็นึกถึงเรื่องราวที่เขารู้มาก่อนหน้านี้

ตอนที่เขาอยู่ในตระกูลซือถูนั้น เขาก็คอยเงี่ยหูฟังเรื่องราวต่างๆอยู่บ่อยครั้ง หลายเรื่องที่เป็นความลับก็ผ่านหูเขาไปไม่น้อย รวมถึง 18 เงาผู้พิทักษ์ด้วย

เห็นว่า 18 เงาผู้พิทักษ์นั้น ส่วนมากพลังฝีมือล้วนอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวเซียนทั้งสิ้น!

ถึงแม้แต่ละคนอาจมีพลังฝีมือเทียบไม่ได้กับผู้ที่อยู่ในรายนามนภา อย่างไรก็ตามด้วยความสามารถในการเร้นกายแบบนี้ กระทั่งคนในรายนามนภาก็ไม่แน่ว่าจะล่วงรู้ถึงตัวตนพวกมัน!

หากคนในรายนามนภาไม่อาจสัมผัสถึงการลอบติดตามของพวกมัน เผลอเปิดช่องว่างสักเล็กน้อย ก็อาจถูกพวกมันลอบสังหารเอาได้ง่ายๆ!

นี่นับเป็นความน่ากลัวของ 18 เงาผู้พิทักษ์!

18 เงาผู้พิทักษ์ของตระกูลซือถู จะขึ้นตรงกับประมุขตระกูลซือถูแต่ผู้เดียว

ดังนั้นผู้ที่ส่งเงาผู้พิทักษ์ทั้ง 5 มา สมควรเป็นซือถูฮ่าว

‘ผู้นำตระกูลซือถูนับว่าหวังดีจริงๆ…ด้วย เงาทั้ง 5 แม้ระหว่างทางจะเกิดเรื่องอะไร พวกมันก็สามารถคลายความกังวลให้ได้’

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว

‘ว่าไปแล้วขุมพลังของตระกูลซือถูก็นับว่าน่ากลัวนัก…ขุมพลังชั้น 7 อย่างสำนักจันทร์จรัสแสงไม่อาจเทียบได้เลย’

บางทีในด้านจำนวนของยอดฝีมือขอบเขตเซียน สำนักจันทร์จรัสแสงอาจไม่ด้อยไปกว่าตระกูลซือถู

อย่างไรก็ตามคุณภาพของกำลังรบไม่อาจเทียบตระกูลซือถูได้เลย

นอกจากนี้จำนวนของครึ่งก้าวเซียนของสำนักจันทร์จรัสแสง ก็น้อยกว่าตระกูลซือถูมาก!

สำนักจันทร์จรัสแสง มีชนชั้นรองเจ้าสำนักแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ทว่าด้านตระกูลซือถู ไม่ต้องนับเหล่าอาวุโสที่อยู่ในระดับครึ่งก้าวเซียนด้วยซ้ำ ลำพังแค่ 18 เงาผู้พิทักษ์ แทบทุกคนล้วนอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวเซียนกันหมดแล้ว

จุดนี้สำนักจันทร์จรัสแสงไม่อาจเทียบได้เลย

ด้วยมี 5 เงาผู้พิทักษ์ลอบคุ้มครอง คณะเดินทางของต้วนหลิงเทียนจึงไม่ประสบอุบัติเหตุใดๆระหว่างการเดินทางเลย

นิกายอัคคีล่องลอย มีส่วนคล้ายกับสำนักจันทร์จรัสแสงเรื่องหนึ่ง ในด้านของพื้นที่ตั้งอันเป็นพื้นที่ภูเขา

อย่างไรก็ตามสถานที่ตั้งของนิกายอัคคีล่องลอยนั้น กอปรไปด้วยภูเขาไฟที่ดับแล้วทั้งคุกรุ่นอยู่ จุดนี้สำนักจันทร์จรัสแสงไม่อาจเทียบได้

ระหว่างการเดินทางต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบข้อมูลของนิกายอัคคีล่องลอยจากซือถูหังมาคร่าวๆ เขายังพบว่านิกายอัคคีล่องลอยจัดเป็นขุมพลังชั้น 7 ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตระกูลซือถู

ทั้งหมดเป็นเพราะประมุขนิกาย!

ประมุขนิกายอัคคีล่องลอย เป็นยอดฝีมือหญิงที่เรียกว่าสื่ออวิ๋น นางนับเป็นชนชั้นสุดยอดฝีมือคนหนึ่ง มีเพียงยอดฝีมือในตระกูลราชวงศ์แค่ไม่กี่คนที่สามารถเอาชนะนางได้

ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยังได้รับการยอมรับจากยอดฝีมือของขุมพลังต่างๆ

เรื่องนี้จะให้คิดอย่างไร?

สื่ออวิ๋น ประมุขนิกายอัคคีล่องลอย เป็นสตรีที่นับว่าร้ายกาจอย่างยิ่ง! หากไม่นับขุมพลังหลักของตระกูลราชวงศ์ นางยังถูกกล่าวขานกันว่าร้ายกาจที่สุดในบรรดายอดฝีมือทั้งหลายของขุมพลังชั้น 7!!

ด้วยมีตัวตนอย่างสื่ออวิ๋นอยู่ กระทั่งตระกูลราชวงศ์ยังไม่กล้ามีเรื่องหมางใจกับนิกายอัคคีล่องลอย!

บางคนถึงกับบอกว่า..

กระทั่งในตระกูลราชวงศ์เอง ก็มีเพียงน้อยคนที่ทัดเทียมกับสื่ออวิ๋น!

หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องของประมุขนิกายอัคคีล่องลอยอย่างสื่ออวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ประหลาดใจอยู่นาน เขาเองก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสตรีนางหนึ่งกลับมีพลังฝีมือร้ายกาจ จนเป็นตัวตนที่ใครในประเทศฝูเฟิงอันกว้างใหญ่ก็ไม่กล้าล่วงเกินนางได้แบบนี้

นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนยังรับทราบมาอีกว่า แม่นางเฟิ่ง ที่อยู่ในอันดับที่ 23 ของรายนามนภา เป็นศิษย์ปิดสำนักของสื่ออวิ๋น

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจอย่างลับๆ ‘นับว่าอาจารย์เป็นอย่างไรศิษย์เป็นอย่างนั้นจริงๆ’

แน่นอนต้วนหลิงเทียนยังตระหนักได้ชัด ว่าในภายภาคหน้าความสำเร็จของแม่นางเฟิ่งผู้นี้ ต้องก้าวล้ำเหนืออาจารย์อย่างสื่ออวิ๋นไปไกลอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

หลังจากได้รับทราบถึงตัวตนของสื่ออวิ๋นจากปากของซือถูหัง ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความสนใจในยอดหญิงผู้นี้ไม่น้อย เขาอยากรู้นักว่าประมุขหญิงแห่งนิกายอัคคีล่องลอยเป็นสตรีอย่างไรกันแน่ ถึงได้นำพาขุมพลังชั้น 7 ของตัวให้ผงาดเป็นขุมพลังชั้น 7 อันดับ 1 ในประเทศฝูเฟิงได้ ทั้งยังเป็นที่ยอมรับของตระกูลราชวงศ์แบบนี้

ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านั้นนับถือผู้มีพลังฝีมือเป็นที่สุด

บางทีศิษย์ในสำนักกระทั่งอาวุโสในนิกายอัคคีล่องลอย อาจเทียบกับขุมพลังชั้น 7 อื่นๆไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะการดำรงอยู่ของสื่ออวิ๋นคนเดียว ถึงได้ทำให้นิกายอัคคีล่องลอยสามารถเบียดผู้อื่นขึ้นมาเป็นอันดับ 1!

ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ขอเพียงมีสุดยอดฝีมือนำพาสักคน ก็ไม่มีปัญหาที่จะยกระดับขุมพลังของตัว

หลังจากมาถึงนิกายอัคคีล่องลอย ศิษย์นิกายก็ต้อนรับขับสู้อย่างดี

อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนพบว่า ศิษย์นิกายอัคคีล่องลอยหลายคนที่พอรู้ว่าเขาคือ ท่านต้วน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูผู้ส่งสารท้าประลอง ทั้งหลายต่างก็พากันมองมาที่เขาด้วยแววตาสงสาร

‘ดูทำเข้า…ท่าทางคนพวกนี้จะมั่นใจในตัว แม่นางเฟิ่ง มาก’

เรื่องนี้ก็ไม่ยากที่ต้วนหลิงเทียนจะเดาออก มาตอนนี้เขายิ่งอยากรู้นัก ว่าแม่นางเฟิ่งผู้นี้เป็นคนเช่นไรกันแน่ ถึงได้ประสบความสำเร็จขนาดนี้

ตอนนี้เขาแทบรอเจอแม่นางเฟิ่งไม่ไหวแล้ว

อย่างไรก็ตามเขารู้จากซือถูหังมาว่า หากอยากพบแม่นางเฟิ่ง ก็จำต้องรอจนกว่าจะถึงวันมะรืนอันเป็นวันประลอง!

ก่อนหน้านั้นคิดพบนางแทบเป็นไปไม่ได้เลย

ไม่ใช่เพราะแม่นางเฟิ่งผู้นี้กำลังเตรียมการประลองอะไร แต่เพราะว่านางมักจะบ่มเพาะพลังอยู่ในเขตหวงห้ามของนิกาย กระทั่งศิษย์ฝ่ายในของนิกายยังไม่ค่อยได้พบเห็นตัวนางด้วยซ้ำ

ยังกล่าวกันว่าตลอดปีที่ผ่านมา กระทั่งผู้ที่พบเจอแม่นางเฟิ่งบ่อยครั้งที่สุด ก็เป็นจำนวนที่นับได้ด้วยมือข้างเดียว

ทั้งหมดนี้ยังผลให้ตัวตนของแม่นางเฟิ่งยิ่งทวีความลึกลับเข้าไปใหญ่ และนั่นยิ่งทำให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย

ถึงแม้ศิษย์นิกายอัคคีล่องลอยจะไม่ได้มองต้วนหลิงเทียนในแง่ดีสักเท่าไหร่ แต่ทั้งหมดก็ตระเตรียมที่พักให้เขาอย่างดี เป็นคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาไฟที่ดับแล้วในเขตนอก ที่ทางสะอาดสะอ้านข้าวของครบครัน

“แขกทั้ง 3 สถานที่แห่งนี้จะเป็นที่พักอาศัยของพวกท่าน โปรดพักผ่อนให้สบาย…พรุ่งนี้เช้าอาวุโสของพวกเราจะมาพบพวกท่าน”

ศิษย์นิกายอัคคีล่องลอยกล่าวกับพวกต้วนหลิงเทียนจบก็จากไปทันที คล้ายไม่ค่อยอยากอยู่สุงสิงกับพวกเขาเท่าไหร่

พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ได้แต่ส่ายหัวไปมา ก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าห้องพัก

ในขณะเดียวกันนั้น ทางด้านเผ่าพันธุ์มังกร ต้วนหรูเฟิงก็รอคอยจนแทบจะหมดความอดทนอยู่รอมร่อ

ตั้งแต่กู่มี่เปิดเผยความจริงออกมา เหล่าผู้อาวุโสของเผ่าพันธุ์มังกรนำโดยเฉวี่ยฉาน ก็บังเกิดความไม่พอใจในตัวตี้จิ่วนัก

และเป็นตี้ชาน ผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรบอกกล่าวกับต้วนหรูเฟิงว่า ขอเวลาหารือหนทางแก้ปัญหากับอาวุโสคนอื่นๆสักพัก เพื่อให้ต้วนหรูเฟิงพึงพอใจ…

และนั่นทำให้ต้วนหรูเฟิงได้แต่รอคอยมาจนบ่าย!

หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ตี้ชานอยู่บ้าง คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จ้าวตำหนักเมฆาครามอย่างต้วนหรูเฟิง จะอดทนรอคอยได้เนิ่นนานขนาดนี้

อย่างไรก็ตามหลังจากที่รอจนถึงบ่ายแล้วยังไม่ได้เรื่องราว ในที่สุดต้วนหรูเฟิงก็ทนรอไม่ไหว “พวกเจ้าคุยกันมาทั้งบ่ายแล้ว ป่านนี้ยังหาข้อสรุปกันไม่ได้รึยังไง!?”

น้ำเสียงของต้วนหรูเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ทำให้ตี้ชานและอาวุโสคนอื่นๆชะงัก หยุดหารือกันทันที

ทันใดนั้นนอกเสียจากตี้จิ่วตัวต้นเหตุที่ทำได้แค่นอนหมดสภาพอย่างไม่มีใครสนใจแล้ว อาวุโสทั้งหมดก็ได้เห็นพ้องต้องกัน ส่งเสียงผ่านปราณแรกกำเนิดไปบอกกับตี้ชาน ให้แก้ปัญหาตามที่คุยกันไว้

สุดท้ายแล้วปัญหาครั้งนี้ก็เริ่มมาจากเผ่าพันธุ์มังกรของพวกมัน

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่บุตรชายของจ้าวตำหนักเมฆาครามอาจไม่ใช่คนสังหารตี้ยงบุตรชายตี้จิ่วเลยด้วยซ้ำ ต่อให้อีกฝ่ายสังหารไปจริงๆ ก็นับว่าสร้างบุญคุณอันใหญ่หลวงให้แก่เผ่าพันธุ์มังกร เพราะได้ขจัดตัวก่อเภทภัยให้เผ่าพันธุ์มังกร!

อันตรายและหายนะที่จะเกิดจากมังกรมาร 5 กรงเล็บนั้น สุดที่ทั้งหมดจะจินตนาการออกได้จริงๆ!

พวกมันยังเชื่อว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายไปยังคนในเผ่าพันธุ์มังกรล่ะก็ ตี้จิ่วย่อมตกเป็นเป้าของผู้คนทั้งเผ่าแน่นอน สำหรับตำหนักเมฆาครามนั้น แม้จะบุกรุกเข้ามาอย่างอุกอาจ แต่คงไม่มีใครในเผ่ามังกรคิดตำหนิในเรื่องนี้อีกต่อไป เพราะในสายตาของทุกคน นี่จะกลายเป็นการกระทำอันชอบธรรมของตำหนักเมฆาครามทันที เพราะสุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นการกระทำของบิดาที่มาเพื่อบุตร!

ถึงแม้คนในเผ่าพันธุ์มังกรจะมีความภาคภูมิใจในเผ่าพันธุ์สูงล้ำ แต่พวกมันก็เป็นพวกที่สามารถแยกแยะบุญคุณความแค้นได้ชัดเจน

ใครก็ตามที่ช่วยเหลือพวกมันไว้ พวกมันจะจดจำไปจนวันตาย!

ในฐานะผู้นำเผ่าพันธุ์มังกร ปกติแล้วตี้ชานย่อมมีสิทธิ์มีเสียงสูงสุดในเผ่าพันธุ์ กระทั่งยังสามารถตัดสินเรื่องราวโดยไม่ฟังความเห็นของใคร! อย่างไรก็ตามคราวนี้มันไม่อาจใช้อำนาจนี้ได้..

เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องช่วยปกปิดให้ตี้จิ่ว มันก็ผิดเต็มประตู

เพราะมันรู้มานานแล้วว่าตี้ยงลูกตี้จิ่วยังมีชีวิตอยู่ ก่อนที่จะถูกฆ่า!

ต่อมามันยังช่วยตี้จิ่วออกตามหาผู้ต้องสงสัยอย่างต้วนหลิงเทียน กระทั่งยังใช้กำลังคนของเผ่าพันธุ์มังกรเท่าที่ใช้ได้ให้แยกย้ายกันไปตามหาต้วนหลิงเทียนทั่วทั้งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!

เช่นนั้นแล้วตี้ชานจึงรู้ตัวดี ว่าคราวนี้มันไม่อาจตัดสินใจได้เองโดยไม่ฟังคำของอาวุโสคนอื่น

แต่นแน่นอนว่าในระหว่างปรึกษาหารือ มันยังยืนกรานความคิดของมันเรื่องหนึ่ง!

นั้นคือตี้จิ่วต้องไม่ตาย!

ตี้จิ่วเป็นมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ! และยังเป็นมังกรทองตัวเดียวนอกเหนือจากมัน! ตี้จิ่วจะเป็นผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรคนต่อไป!!

หากตี้จิ่วตกตาย นั่นหมายความว่าเผ่าพันธุ์มังกรจะสิ้นไร้ผู้นำเผ่าพันธุ์ในวันหน้า!

ในเผ่าพันธุ์มังกรนั้น มีเพียงมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บเท่านั้นที่สามารถเป็นผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรได้ นี่เป็นกฏของเผ่าพันธุ์ที่ยึดถือกันมาแต่โบราณ

คนในเผ่าพันธุ์มังกร แม้จะร้ายกาจเลิศล้ำปานใดหากไม่ใช่มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ ก็ไม่มีอำนาจบารมีมากพอจะเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์มังกร!

มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บนั้น เป็นดั่ง ‘ความเชื่อมั่น’ และศูนย์รวมความศรัทธาของทั้งเผ่าพันธุ์มังกร! เป็นความเชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตาอย่างที่ไม่อาจมีใครมาแทนที่ได้!!

“ท่านจ้าวตำหนักต้วน”

ตี้ชานมองต้วนหรูเฟิงพร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เผ่าพันธุ์มังกรของพวกเราจะชดใช้ให้ท่าน”

“แค่ว่ามา…ตกลงพวกเจ้าจะให้ข้าพาตัวมันไปฆ่าลับหูลับตาของพวกเจ้า หรือจะให้ข้าฆ่ามันต่อหน้าต่อตาพวกเจ้า!”

ต้วนหรูเฟิงมองตี้ชาน ค่อยกล่าวออกอย่างไม่แยแส

ได้ยินวาจานี้ของต้วนหรูเฟิง หน้าตี้จิ้วพลันเผยความหวดาผวาออกมาทันที มันรีบหันไปมองตี้ชานอย่างวิงวอน มันกลัวใจเหลือเกินว่าตี้ชานจะละทิ้งมันจริงๆ!

คำกล่าวที่ว่า ‘ใจกังวลหูตามืดมัว’ นั้นนับว่าเป็นจริงไม่น้อย

เพราะตอนนี้ดูเหมือนตี้จิ่วจะลืมเลือนไปหมดสิ้น ว่ามันคือมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บเพียงหนึ่งเดียวนอกจากตี้ชานอันเป็นผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรคนปัจจุบัน เช่นนั้นแม้มันจะทำผิดพลาดอะไรไปมากมายเท่าไหร่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เผ่าพันธุ์มังกรจะทอดทิ้งให้มันตายโดยไม่สนใจการสืบทอดมรดก…