บทที่ 194 ความคิดที่ไม่สามารถแพร่งพรายออกไปได้

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 194 ความคิดที่ไม่สามารถแพร่งพรายออกไปได้

cw // เนื้อหาในตอนนี้มีพฤติกรรมของตัวละครที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากมีความคิดและพฤติกรรมที่ผิดปกติทางจิต ซึ่งตัวละครนี้เป็นโรคใคร่เด็ก (Pedophilia) โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

บทที่ 194 ความคิดที่ไม่สามารถแพร่งพรายออกไปได้

สายตาของหลี่จื่อกั๋วจับจ้องไปที่เสี่ยวเถียน สาวน้อยคนนี้น่ากินเหลือเกิน

ไม่มีใครรู้ว่าที่จริงแล้วหลี่จื่อกั๋วมีความสนใจที่ไม่สามารถแพร่งพรายออกไปได้ นั่นก็คือชอบเด็กผู้หญิง โดยเฉพาะเด็กหญิงอายุราวแปดถึงเก้าขวบ

ยิ่งสวยก็ยิ่งชอบ

มาชนบทรอบนี้ตนเองก็ลอบสังเกตอยู่บ่อย ๆ แต่อย่างไรก็เป็นพื้นที่ทุรกันดาน ไม่มีเด็กหญิงเป็นอาหารสายตาอยู่แล้ว

เพราะงั้นความโกรธจึงทวีคูณขึ้นทุกวัน ๆ จนทนไม่ได้ต้องสบถด่าออกมา

แต่ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ ก็มีเด็กสาวตากลมโตที่สวยกว่าเด็กในภาพวาดปีใหม่ปรากฏกายออกมาเช่นนี้

“ลูกบ้านใครน่ะ หน้าตาสวยเชียว” หลี่จื่อกั๋วกลืนน้ำลายเอื๊อก พยายามอดกลั้นแล้วเอ่ยชมเสี่ยวเถียน

ซูเสี่ยวเถียนมองดวงตาอีกฝ่าย ภายในใจเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้นมา เธอขยับกายซ่อนอยู่ข้างหลังซูฉางจิ่วโดยไม่รู้ตัว

พอยืนอยู่ด้านหลังลุงหัวหน้าแล้ว สายตาที่ทำคนหวาดผวาของหลี่จื่อกั๋วพลันหายไป

เสียงก่นด่าของชายคนนั้นหยุดลงแล้ว อีกทั้งยังพูดเสริมอีกไม่กี่ประโยค ถึงจะทำตัวสูงส่ง แต่น้ำเสียงของเขาดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มาก

ทว่าซูฉางจิ่วรู้สึกอย่างชัดเจนว่าในคำพูดนั้นของอีกฝ่ายทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจเอ่ยถึงเสี่ยวเถียน

แม้เขาจะเป็นชายชนบทผู้ซื่อสัตย์ อันที่จริงไม่คิดเลยว่าในใจหลี่จื่อกั๋วมีความคิดดำมืดอยู่ เขารู้สึกแค่ว่าอีกฝ่ายคงชอบเสี่ยวเถียนเหมือนกัน เพราะอย่างไรทุกคนก็ชอบเธออยู่แล้ว

คนที่มาจากอำเภอคนนี้คงชอบเสี่ยวเถียนด้วย แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าภายในในนั้นมีความคิดอันดำมืดอยู่

หลังจากกลับบ้านมาในตอนเย็น เสี่ยวเถียนก็ใช้ปากกาวาดภาพอย่างระมัดระวัง รวมถึงจดบันทึกประเด็นสำคัญบางอย่างโดยละเอียด

หลังจากนั้นก็เอาภาพร่างที่วาดเสร็จแล้วไปหาเสิ่นจื่อเจิน

เสิ่นจื่อเจินไม่ได้ทำอาหารเอง แต่กินข้าวร่วมกับคนคอกวัว

ทั้งสามครอบครัวผลัดกันทำอาหาร

และมื้อเย็นของวันนี้นั้นง่ายมาก นั่นก็คือมันเทศต้ม

หลายวันมานี้เพราะมีคณะทำงานมาที่หงซิน คนคอกวัวจึงไม่กล้ากินสิ่งของดี ๆ

แต่ละวันนั้นวน ๆ อยู่กับแค่กินโจ๊กมันเทศ มันเทศต้ม หรือไม่ก็หมั่นโถวแป้งธัญพืช แข็งจนฟันแทบหลุด

แต่หลังจากที่ขบคิดเผื่อระยะยาวแล้ว นี่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

ซูเสี่ยวเถียนเห็นหน้าตาซีดเซียวขาดสารอาหารของแต่ละคนแล้วก็อดทุกข์ใจไม่ได้

เพราะคนพวกนั้นมันไม่เข้าใจอะไรเลย ถ้าไม่มาที่หงซิน คนที่นี่ก็จะได้อยู่อย่างสุขสบาย

“เสี่ยวเถียน ทำไมมาตอนนี้ล่ะ?” ฉืออี้หย่วนเห็นเสี่ยวเถียนก็รีบวางมันเทศในมือลงแล้วผุดลุกขึ้น

“พี่อี้หย่วน คุณปู่ฉือ คุณปู่ คุณย่า ลุงเสิ่น กินข้าวกันอยู่หรือคะ?”

ทุกคนรู้สึกมีความสุขเมื่อได้เห็นเด็กน้อยตรงหน้า

“อยากกินมันเทศไหม?”

ซูเสี่ยวเถียนส่ายหน้า “ที่บ้านทำอาหารอยู่ค่ะ เดี๋ยวหนูค่อยกลับไปกิน”

“แล้วทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?” ฉืออี้หย่วนรู้ว่าเสี่ยวเถียนมีนิสัยไม่มีธุระเธอจะไม่ที่นี่อย่างแน่นอน โดยเฉพาะเวลาที่คนอื่นกำลังกินข้าว ดังนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น

“หนูมาหาลุงเสิ่นค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนรีบหยิบกระดาษในมือออกมา

เสิ่นจื่อเจินมองม้วนกระดาษ อดถามไม่ได้ “เธอมาหาฉันหรือ? นี่คืออะไรน่ะ?”

“ลุงเสิ่น นี่คือเส้นทางน้ำที่หนูวางไว้สำหรับชุมชนหงซินค่ะ ช่วยหนูดูหน่อยค่ะว่าเหมาะไหม!”

“เรื่องสร้างทำนบ ก็มีคณะทำงานมาดูแลไม่ใช่หรือไง? เธอเป็นเด็กอย่ายื่นมือเข้าไปยุ่งเลย”

เสิ่นจื่อเจินไม่อยากให้เสี่ยวเถียนกังวลเรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะคนจากคณะทำงานที่ไม่ฟังคำแนะนำผู้ใดเลย

แล้วถ้าเสี่ยวเถียนเสนอออกไป คาดว่าจะโมโหร้ายขึ้นมา

“ทางน้ำของชุมชนเรามีปัญหาแน่ค่ะ โดนเฉพาะทางน้ำที่ไม่ได้ผ่านบางครอบครัว ถ้าฝนตกห่าใหญ่จำทำให้เกิดอันตรายนะคะ” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม

ก็มันช่วยไม่ได้นี่ ถ้าสหายหลี่มีความสามารถจริง ๆ เธอคงไม่ยุ่งหรอก แต่มันไม่มีทางนี่!

“แต่ว่าเสี่ยวเถียน…” ฉือเก๋อไม่ค่อยเห็นด้วยนัก

เขาอยู่มาเกือบค่อนชีวิต เจอคนทุกประเภท ถึงจะมองจากที่ไกล ๆ แต่ก็รู้ว่าหลี่จื่อกั๋วไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน

คนแบบนี้ต้องอยู่ให้ห่าง ยิ่งห่างยิ่งดี

“วันนี้หนูไปดูมาแล้วค่ะ หลี่จื่อกั๋วคนนั้นก็แค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง หนูว่าพวกเราควรวางแผ่นสร้างด้วยตัวเองนะ พอถึงตอนนั้นก็แค่ทำทีเป็นทำตามแผนเขา แต่จริง ๆ แล้วทำตามแผนของเราต่างหาก”

ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่าถ้าทำแบบนี้อาจเป็นไปได้

เสิ่นจื่อเจินหยุดพูด

หลังจากนั้นไม่นานก็เอ่ยขึ้นอีก “เธอเป็นเด็กดี แต่เรื่องแบบนี้ไม่ควรเป็นเธอทำนะ”

ไม้เรียวระหงกลางป่า ย่อมถูกลมโค่น*[1]

เสี่ยวเถียนโดดเด่นจริง ๆ ถ้าคนนอกรับรู้เรื่องนี้เข้าคงจะไม่ดีอย่างแน่นอน

“แต่หนูมาหาลุงไม่ใช่หรือคะ? ยืมมือลุงทำไง ให้เอากระดาษแผ่นนี้ไปให้หัวหน้าซู” ซูเสี่ยวเถียน กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ตู้ถงเหอมองใบหน้ายิ้มแย้มแล้วอดส่ายหัวไม่ได้ เด็กคนนี้ไม่รู้เลยว่าหัวหน้าซูมองทะลุปรุโปร่งตั้งนานแล้ว

แม้แต่หัวหน้าก็ยังช่วยปกปิดโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจด้วย

“แบบนี้ไม่ดีกระมัง?” เสิ่นจื่อเจินรู้สึกว่านี่มันจะกลายเป็นความดีความชอบไป เขาไม่าสมารถรับไว้แบบนี้ได้

แต่ถ้ามันหลุดออกไป เขาจะทำอย่างไร?

“ไม่เป็นไรหรอกจื่อเจิน รับไว้เถอะ”

“ลุงเสิ่น หนูจะให้พี่สามตามลุงไปทำเรื่องนี้ด้วย ตกลงไหมคะ” ซูเสี่ยวเถียนยังบอกจุดประสงค์อื่นให้ด้วย

เสิ่นจื่อเจินคิดถึงซูซานกง เด็กชายผู้สายตาเฉียบคม เขาเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ เล็กน้อยแค่ไหนก็มองทะลุหมด!

“ตกลง ให้พี่สามตามมาด้วยแล้วกัน แต่ว่าต้องตั้งใจเรียนดี ๆ นะ เพราะลุงชอบทดสอบ!” เสิ่นจื่อเจินคลี่ยิ้ม

เขาเองก็ไม่คาดคิดว่านเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่เดือน ความคิดเขาได้เปลี่ยนไปครั้งใหญ่ แล้วหัวใจที่ตายด้านไปแล้วก็ฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง

“งั้นหนูจะให้พี่สามมาหลังจากกินข้าวเสร็จนะคะ ลุงดูก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูกลับไปก่อน”

เสี่ยวเถียนกล่าว ก่อนจะโบกมือลา

ฉืออี้หย่วนรีบพูดทันที “เสี่ยวเถียน เดี๋ยวพี่ไปส่ง!”

“ถนนเส้นนี้หนูคุ้นเคยแล้วค่ะ ไม่ต้องให้พี่ไปส่งแล้ว พี่รีบกินข้าวเถอะ!” ซูเสี่ยวเถียนโบกมือลาด้วยรอยยิ้ม

ฉือเก๋อพูดกับหลานชาย “หลานไม่ต้องไปส่งหรอก ช่วงนี้หงซินเรามีคนนอก อย่าไปยุ่งกับคนในชุมชนดีกว่า จะได้ไม่พาคนอื่นเกี่ยวข้องไปด้วย”

ถึงคณะทำงานจะมีหน้าที่ในเรื่องสร้างทำนบ แต่ใครจะไปรู้เล่าบ้างว่าเบื้องหลังของพวกเขาจะมีใครคอยดูแลอยู่

“ใช่แล้ว เสี่ยวหย่วนยังอายุน้อยไป มีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เข้าใจหรอก!” ตู้ถงเหอก็เห็นด้วยอย่างมากเช่นกัน

หลังจากฉืออี้หย่วนโดยเตือน เขาก็คิดขึ้นได้

ช่วงสองปีมานี้สมาชิกหงซินยอมรับพวกคนคอกวัวแล้ว อันที่จริงมันเป็นภาพลวงตาที่ว่าได้รับการยอมรับจากคนทั้งโลกแล้ว เขาลืมไปด้วยซ้ำว่าต่อหน้าคนนอก การไม่สนิทสนมกับใครเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด

เด็กหนุ่มหยุดพูดแล้วก้มศีรษะขบคิดบางอย่าง

ฝั่งซูเสี่ยวเถียนกระโดดโลดเต้นไปตามถนนเส้นนี้ที่เธอเดินผ่านมานับครั้งไม่ถ้วน พูดคุยกับดอกไม้ใบหญ้า รวมถึงทักทายต้นไม้เล็กใหญ่

แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินต้นไม้ใหญ่บอกว่ามีคนเดินตามเธอมา!

*[1] อุปมาถึงผู้มีความสามารถโดดเด่น แต่ถ้ามากเกินหน้าเกินตามักจะมีผู้คิดอิจฉาริษยา หรือปองร้ายเล่นงาน