บทที่ 210 หรือว่าจะให้ไปขโมยล่ะ

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 210 หรือว่าจะให้ไปขโมยล่ะ

หานแสหัวเราะออกมาเบาๆ หลังจากนั้นก็หัวเราะอย่างหดหู่มากขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็เงียบลง: “มีคนให้น้ำปรโลกแก่ข้า แลกด้วยชีวิตของชาวเผ่าครึ่งเผ่า”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น!

หลานเยาเยาก็ตกตะลึงอีกครั้งไปโดยปริยาย และหวนนึกถึงหมู่บ้านที่ถูกทิ้งร้างนั่นขึ้นมาได้ในชั่วพริบตา…

ซากกำแพงพุพังที่ถูกปกคลุมไปด้วยตระไคร่……

เป็นกำแพงที่ครั้งหนึ่งเคยโชกไปด้วยเลือด ซึ่งดูเหมือนเป็นที่ที่เคยมีการสังหารหมู่เกิดขึ้น……

ผ่านไปเนิ่นนานหลานเยาเยาก็ส่งเสียงเหมือนตกอยู่ในภวังค์: “เจ้าเป็นคนของชาวเผ่าหยินไห่รึ?”

หานแสหรี่ตาลงเล็กน้อย เหมือนว่ากำลังอดกลั้นบางสิ่ง หลังจากที่ลูกกระเดือกขยับอยู่สองสามครั้ง ก็พูดคำสี่คำออกมาอย่างแผ่วเบา

“นั่นก็……ครั้งหนึ่ง”

ใช้ชีวิตของคนกว่าครึ่งชนเผ่าเพื่อแลกชีวิตของคนหนึ่งคน อีกทั้งยังแลกมาด้วยความเกลียดชังไปชั่วชีวิตของคนคนหนึ่งอีก แต่เขาก็ยังจะกลับมาเพราะอีแค่ยาถอนพิษอย่างนั้นรึ?

เป็นไปไม่ได้!

มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

จากน้ำเสียงของหานแสที่ฟังขึ้น ในใจของเขาก็เกลียดชังที่แห่งนี้อย่างมาก

แต่อย่างไรก็ตาม

เรื่องที่หานแสใส่ใจมากที่สุดในตอนนี้ก็น่าจะเป็นยาถอนพิษ และเรื่องที่นางใส่ใจมากที่สุดในตอนนี้ก็คือยาถอนพิษเหมือนกัน ส่วนเรื่องอื่นๆ แค่นางคนเดียวคงไม่สามารถทำอะไรได้

“คนคนนั้นเป็นผู้ใดกัน?”

หานแสรู้ว่านางหมายถึงคนที่ให้น้ำปรโลกแก่เขา

แต่ว่า…

เขากลับส่ายหน้า

แม้ว่าจะได้เห็นรูปลักษณ์ภายนอกของเขา แต่กลับไม่รู้เลยว่าเขาเป็นคนประเภทไหน

เขาเคยเห็นคนคนนั้นเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ไม่ว่าเขาจะอำพรางตัวไปเป็นเช่นไร เขาก็จำได้แม้ว่ามันจะกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้วก็ตาม ช่วงเวลาหลายปีมานี้ นอกจากเขาจะตามหาหมอผู้วิเศษแล้ว เขาก็ยังแอบตามหาผู้ที่ให้น้ำปรโลกแก่เขาที่สังหารคนในชนเผ่าไปกว่าครึ่งอีกด้วย

“การที่เขาเคยมาที่นี่ และได้สังหารชนเผ่าไปกว่าครึ่ง เช่นนั้นในหนังสือทำเนียบบรรพชนก็ต้องมีจารึกอยู่เป็นแน่”

เมื่อได้ยินหลานเยาเยาพูดเช่นนี้ แววตาของหานแสก็เป็นประกาย พลางยิ้มอย่างร้ายกาจออกมาในทันที

“หนังสือทำเนียบบรรพชนงั้นรึ? ฮึฮึฮึ……เนิ่นนานถึงเพียงนี้ ข้าก็ลืมไปแล้วว่ายังมีหนังสือทำเนียบบรรพชนอยู่ ข้าจะไปเอามันมา”

ขณะที่พูดอยู่หานแสก็ลุกขึ้น ทั้งร่างแพร่รังสีพยาบาทอย่างรุนแรง หลานเยาเยาจึงรีบหยุดเขาไว้

“เห้ยเห้ยเห้ย เจ้าจะทำการใด? จะไปเอามาดื้อๆเลยงั้นรึ?”

ใครจะไปรู้……

ว่าเขาจะหันหน้ากลับมามองนางด้วยความงุนงง ด้วยสายตาที่มองว่านางโง่หรืออย่างไร

“หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าไปขโมยมาล่ะ?”

ในโลกของเขา สิ่งที่เขาต้องการไม่ว่าจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างเขาก็ต้องได้มา ในตอนนี้คงไม่ต้องพูดถึงหนังสือทำเนียบบรรพชนอันน้อยนิดนั่น

หากมีผู้ใดกล้าขัดขวาง เขาก็จะสังหารหมู่ชนเผ่านี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง

“เจ้าแน่ใจรึว่าเจ้าคนเดียวจะเอามาได้? ไม่ต้องพูดไปถึงพละกำลังภายในของเจ้าที่ยังไม่ฟื้นตัวดี หรือหากฟื้นตัวดีแล้ว ผู้อาวุโสทั้งสามก็ต้องผลัดกันมาต่อกรกับเจ้า นั่นก็จะทำให้เจ้าเหนื่อยล้าจนเกินไป

ไหนจะชายกำยำอีกสองคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูนั่นอีก และยังมีคนไม่น้อยในชนเผ่าที่มีฝีไม้ลายมืออันเก่งกาจ หาได้เป็นผลดีกับเจ้าไม่

เมื่อถึงตอนนั้น ดีไม่ดีพวกเราอาจจะโดนขับไล่ออกจากชนเผ่า แต่สิ่งหนึ่งที่รับประกันได้เลยก็คือ หนังสือทำเนียบบรรพชนจะถูกซ่อนให้ลึกลับมากกว่าเดิมแน่ๆ มันได้ไม่คุ้มเสีย!”

หลานเยาเยาพูดเตือนสติเพื่อช่วยเขา

เมื่อได้ยินเช่นนั้น!

หานแสก็หยุดชะงัก พร้อมพูดเหยียดหยามด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น:

“พวกเขามีปัญญาทำได้แค่นั้น เจ้าก็กลัวพวกเขาแล้วงั้นรึ?”

เขาพูดเช่นนั้น แต่เขาก็หันมา และกลับไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมด้วยสีหน้าดูหมิ่นดูแคลน

เอ่อ……

ไอ้ผีจอมผยองนี่!

เดี๋ยวค่อยออกไปขโมยพร้อมนางตอนกลางคืนไม่ได้รึไง?

แต่ก่อนอื่น พวกเขาต้องรู้ก่อนว่าหนังสือทำเนียบบรรพชนถูกเก็บเอาไว้ที่ใด? ตอนกลางคืนพวกเขาจะได้เคลื่อนไหวได้คล่องตัว

ในตอนแรก หานแสไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในการที่จะบอกเรื่องนี้กับฮัวหยู่อัน แต่หลานเยาเยาก็ได้ชักแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบาย และสุดท้ายเขาก็ยอมจำนน

ซึ่งจะบอกเรื่องราวแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตามแค่ทำให้ฮัวหยู่อันเข้าใจว่าจะเอาหนังสือทำเนียบบรรพชนไปพัฒนายาถอนพิษ เรื่องอื่นๆนอกเหนือจากนั้นก็ห้ามพูดแม้แต่คำเดียว

หลานเยาเยาเองก็จนปัญญา ทำได้เพียงแค่ตามน้ำไป

ดีที่พวกเขาปรึกษากันเสร็จก่อน ฮัวหยู่อันนั้นได้เอาเสบียงมาส่งถึงหน้าประตูนี่แล้ว

ฮัวหยู่อันถือขนมอบเข้ามาในห้อง ก็รู้สึกได้ถึงดวงตาทั้งสองคู่ที่จ้องมองนางด้วยแววตาที่มุ่งร้าย ทำให้นางขนหัวลุกภายในพริบตา เหงื่อบางๆได้ก่อตัวขึ้นตามแผ่นหลัง

แย่ละ!

เผ่นดีกว่า

นางหันหลังกำลังจะก้าวเท้าแต่ยังไม่ทันจะพ้นประตู ก็ได้ยินเสียงคิกคักของหลานเยาเยาขึ้นมา

“วิ่งหนีสิ่งใดกัน? มานี่มานี่”

ฮัวหยู่อันที่คุ้นชินกับการเรียกของหลานเยาเยา ถึงแม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็หันหลังมาอย่างเงียบๆ จากนั้นก็เดินไปทางนางด้วยความยากลำบาก

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ท่าทีของฮัวหยู่อันก็แปรเปลี่ยนไป เมื่อการร่ายบาลาบาลาที่เล่นใหญ่ของหลานเยาเยาจบลง

ก็ได้เห็นฮัวอยู่อันมึนๆงงๆไปเรียบร้อยแล้ว

“นี่ เสี่ยวฮัว ที่ข้าพูดไปคงไม่ได้น่ากลัวหรอกกระมัง”

นางจะเป็นอะไรถึงปานนั้นอ่ะ?

หลอนไปแล้วรึ?

“ไม่ใช่เจ้าค่ะคุณหนู ปัญหาใหญ่ที่สุดเลยก็คือ ข้าไม่รู้ว่าหนังสือทำเนียบบรรพชนอยู่ที่ใด”

นี่ทำเอาหลานเยาเยาตกตะลึง

และแล้วที่นางปากเปียกปากแฉะไปก็ไร้ประโยชน์ ฮัวอยู่อันผู้มีสถานะเป็นถึงหัวหน้าชนเผ่าในอนาคต ดันเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดหัวหน้าเผ่าเท่านั้น! แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนังสือทำเนียบบรรพชนอยู่ที่ใด นี่มันเกินไปแล้ว……

ไอ่ย๊า ซวยแล้วสิ

“ข้าวที่เจ้ากินมาสิบกว่าปีมันไร้ประโยชน์งั้นรึ? ไหนจะการที่จะได้เป็นหัวหน้าเผ่าในอนาคตอีก ไม่ต้องใส่ใจเรื่องในเผ่าแม้แต่น้อยเลยงั้นสิ?”

“คุณหนู เรื่องต่างๆในชนเผ่าท่านพ่อทั้งสามของข้าเป็นคนดูแลจัดการ ข้าได้ถูกขีดเส้นไว้แล้ว ทั้งยังมีเพื่อนเที่ยวเล่นอีกมากมาย พี่จะเอาอะไรกับข้าเล่า?”

หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างรุนแรง

หลังจากที่นางหายใจเข้าหายใจออกเพื่อสงบสติอารมณ์ ก็กำลังจะอ้าปากแต่ยังไม่ทันได้พูดสิ่งใดออกไป

ก็ได้ยินเสียง “ปัง”

หานแสที่ลุกขึ้นยืน ยกมือขึ้นใช้กำลังภายด้วยสีหน้าอาฆาตมาดร้าย

“เจ้าทำสิ่งใด?” หลานเยาเยาตกใจและรีบถามออกมา

“เก็บนาง”

รู้มากไปก็ไร้ค่า แน่นอนว่าต้องฆ่าให้ตาย

และในเพลานี้เองหลานเยาเยาก็กระตุกปาก มองเหมือนไม่มีอะไรจะเสียไปยังหานแสผู้ที่กำลังขู่ขวัญจะฆ่าคน และมองไปยังฮัวหยู่อันที่ตกใจกับการขู่ไปเป็นที่เรียบร้อย

จึงถอนหายใจอีกครั้งในทันที!

“น่าจะมีสักคนที่รู้สิ”

ทันทีที่พูดคำนี้ออกมา กำลังภายในของหานแสก็หยุดลงในทันที และมองอย่างอาฆาตใส่ฮัวหยู่อัน ท่าทางเช่นนั้นเหมือนจะบอกว่า: ดวงแข็งนักนะแก

เมื่อฮัวหยู่อันได้สติ ก็รีบไปหลบอยู่หลังหลานเยาเยา จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะโผล่หน้าออกมาถามว่า:

“เป็นผู้ใดกัน? ข้าช่วยได้หรือไม่?

และในช่วงเพลานี้ ด้านนอกก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา

“ท่านชายหลาน ข้าหาวัตถุดิบยาที่เจ้าต้องการมาให้แล้ว”

เจี่ยนหมิงเดินเข้ามากับตะกร้าไม้ไผ่สะพายหลังที่มีวัตถุดิบยาใส่ไว้ หลังจากได้ยินหลานเยาเยาพูดออกมาสามคำว่า “เขานี่แหล่ะ” ดวงตาทั้งสามคู่ภายในห้องก็พากันจับจ้องไปที่ร่างของเขา

ทำเอาเขาหวาดกลัวจนแข็งทื่อ

สีท่าจะซวยละ!

ไม่ทันได้ถามเรื่องราวใดๆ หลานเยาเยาก็สั่งการด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย

“ปิดประตู ลุยเลยเสี่ยวฮัว”

ท่าทางการโยกย้ายส่ายสะโพกที่ไม่เข้ากันอย่างยิ่งกับเรือนร่างของนาง พูดตรงๆเลยว่า พื้นฐานหน้าตาที่สวยสด กับร่างบางอันงดงามของฮัวหยู่อัน แค่ขยับก็ติดกับแน่นอน

แต่นางกลับก้มหน้าก้มตาย่างก้าวไปอย่างเก้ๆกังๆ

หลานเยาเยาถึงกับกุมหน้าผากด้วยความเจ็บหัวในทันที

หานแสอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก

แต่อย่างไรก็ตาม

ไม่ว่าคนอื่นจะคิดยังไง แต่ละคนก็มีความชอบของตน ไม่คิดไม่ฝันว่าเจี่ยนหมิงจะถูกครอบงำด้วยท่าทางพวกนั้นของฮัวหยู่อัน……เข้าอย่างจัง

เมื่อเห็นนางเข้ามาใกล้ ทั้งยังสัมผัสลงบนบ่าของเขา เพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้เขาหน้าแดงระเรื่อ จนไม่รู้ว่าจะมือเอาเท้าไปวางไว้ตรงไหน ถึงกับพูดติดอ่างออกมา…