บทที่ 245 วางยา

เซียวเย่เจ๋อกับไป๋จิ่นสบตากันเล็กน้อย สิ่งแรกที่คิดก็คือ จบกัน ถูกจับได้แล้วหรือ มื้อเย็นวันนี้ต้องอดกินแน่เลย!

แต่ไป๋จิ่นกลับกังวลว่าเขาจะยังสามารถรักษาสำมะโนครัวในหมู่บ้านตระกูลเฉินเอาไว้ได้อีกหรือไม่

ขณะที่กำลังจะโยนความผิดทั้งหมดให้กับเซียวเย่เจ๋อนั้น

จี้จือฮวนที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นมา “ไม่มีก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าปรุงให้ข้าเดี๋ยวนี้เลยหนึ่งชุด ทางที่ดีหลังกินไปแล้วสามารถทำให้คนเกิดภาพหลอน ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จะสำเร็จหรือไม่ เป็นยาแรงหรือไม่ ล้วนไม่สำคัญ”

สิ่งที่นางต้องการก็คือสร้างสถานการณ์ ทำให้คนสามารถเข้าใจได้ทันทีที่เห็นก็พอแล้ว

หลังจากที่นางพูดจบก็พบว่าร่างกายของทั้งสองคนแข็งทื่อและขยับแนบชิดกัน ราวกับกำลังหาพันธมิตร นางจึงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าทำตัวผิดปกติจริง ๆ”

ไป๋จิ่นรีบกระโดดโหยงขึ้นมาทันที “จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้ากับเขามีอะไรไม่ปกติกัน”

เซียวเย่เจ๋อกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างร้อนตัว “ท่านแม่ทัพเผยไม่ได้เรื่องจริง ๆ หรือ? เช่นนั้นต้องใช้ยาบำรุงธาตุหยางนะ”

จี้จือฮวนกระดิกนิ้วเล็กน้อย “เจ้ามานี่สิ”

เซียวเย่เจ๋อส่ายหน้า “ข้าไม่ไป”

“ข้าจะพูดเรื่องสำคัญด้วย”

ทั้งสองจึงยื่นหน้าไปอย่างช้า ๆ

พริบตาต่อมา เสียงร้องโหยหวนก็ดังออกมาจากภายในห้อง

เจิ้งต้าเฉียงที่กำลังงีบอยู่ถึงกับตกใจจนกลิ้งตกลงมาจากเก้าอี้ไม้ไผ่ “ใคร ใคร? บ้านใครฆ่าหมูกัน?

คงเป็นบ้านเสี่ยวไป๋จับงูหรือตัวอะไรอยู่จนถูกกัดอีกแล้วกระมัง”

ภายในกระท่อม

ไป๋จิ่นและเซียวเย่เจ๋อนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น ใบหน้าแต่ละคนมีรอยหมัดประทับอยู่หนึ่งรอย หูข้างหนึ่งก็ถูกบิดจนแทบจะหลุดอยู่แล้ว

ในมือของจี้จือฮวนถือขวดลายครามใบเล็กไว้ในมือ “สิ่งนี้หรือ? มีฤทธิ์เช่นไรบ้าง?”

“ยาเหอฮวน กินไปแล้วก็จะห้ามใจตัวเองไม่ได้ ต่อจากนั้นท่านรู้ใช่หรือไม่ ข้ายังไม่เคยแต่งงาน คำพูดพวกนั้นจะพูดออกไปได้อย่างไรกัน!”

ไป๋จิ่นกระบิดกระบวนไปมา

จี้จือฮวนเก็บขวดลายครามใบเล็กไว้ที่สายรัดเอว “หนึ่งครั้งต้องกินเท่าใด?”

“แค่นิดเดียวก็พอแล้ว ลูกพี่ฮวนฮวน ท่านจะเอาไปให้ใครใช้หรือขอรับ?”

จี้จือฮวนยกยิ้มขึ้นมา ให้ใครใช้อย่างนั้นหรือ ก็ต้องให้ตัวปลอมขององค์ชายรอง กับแม่บุญธรรมของเขาอย่างไรเล่า

เซี่ยหยางหดหัวเป็นเต่าอยู่ในกระโจมไม่ยอมออกมา มีหานฉีคอยปกป้องอยู่ข้างกาย ดังนั้นนางต้องทำให้เจ้าสารเลวนั่นโผล่หัวออกมาให้ได้ และทำได้เพียงบีบเขาออกมาเท่านั้น

เรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างการที่องค์ชายรองและแม่บุญธรรมมั่วโลกีย์กัน บรรดาคนที่ตระกูลหานเคยล่วงเกินจะไม่รีบซ้ำเติมอย่างนั้นหรือ?

ดังนั้นเซี่ยหยางมีแค่สองทางเลือก ไม่มองดูตัวปลอมลากตัวเองลงน้ำไปด้วย และกลายเป็นสามัญชนที่ไม่มีใครรู้จักอีก

หรือไม่ก็ต้องออกมายอมรับว่าตนเองคือเซี่ยหยางตัวจริง และเพื่อไม่ให้ตนเองต้องอับอายจึงได้หาตัวปลอมมา

ขอเพียงหานเหม่ยเหรินล้มลง นับแต่นี้ไปเมื่อฮ่องเต้เซี่ยเจินเห็นเขาก็จะย้ำเตือนว่า บนศีรษะของตัวเองมีหมวกใบใหญ่สีเขียว*แวววาวอยู่

* หมวกสีเขียว (绿帽子) แปลว่า โดนสวมเขา

อัครมหาเสนาบดีหานทำให้เขาถูกไท่ซ่างหวงไม่พอใจ ถูกองค์หญิงใหญ่ตำหนิต่อหน้าผู้คน ตระกูลหานยังคิดจะผงาดขึ้นมาอีกอย่างนั้นหรือ? เกรงว่าหลังจากที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินยกตระกูลอื่นที่รอเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาแทน คนแรกที่จะถูกกำจัดก็คงหนีไม่พ้นตระกูลหานเป็นแน่

สำหรับเซี่ยหยางแล้ว นี่ถือเป็นการเล่นงานแบบถอนรากถอนโคน

“รอยยิ้มของนางจู่ ๆ ก็แปลกไป” เซียวเย่เจ๋อเอ่ยออกมาเบา ๆ

ไป๋จิ่นจึงเตะเขาไปหนึ่งที “ไม่อยากตายก็หุบปากเถอะ”

ทุกครั้งที่จี้จือฮวนมีแผนร้ายอะไร สีหน้าของนางมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ดูท่าคงมีคนโชคร้ายถึงแปดส่วนเป็นแน่

เมื่อจี้จือฮวนออกมาจากกระท่อมเล็ก ๆ ของไป๋จิ่น ก็เห็นเผยยวนยืนอยู่ใต้ต้นไม้

ตอนนี้ทุกการเคลื่อนไหวของทั้งสองคนล้วนถูกจับตามองจากคนที่ทำงานในนา ทว่าเผยยวนก็ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเดินเข้ามาจับมือนางเอาไว้ พลางเอ่ยออกมา “เจ้าวางแผนจะจัดการตระกูลหานหรือ?”

จี้จือฮวนดวงตาเป็นประกาย “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

“คนที่รู้จักเจ้าดีที่สุด ก็คือสามีของเจ้า”

ไม่รอให้จี้จือฮวนตอบโต้ เผยยวนก็เอ่ยขึ้นมา “เจ้าไปเอาอะไรจากไป๋จิ่นมาหรือ?”

“ยาเหอฮวน”

เผยยวนถึงกับสะอึกขึ้น ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทางแปลก ๆ “ใช้กับหานเหม่ยเหรินหรือ?”

“ยังมีเซี่ยหยางตัวปลอมนั่นด้วย”

เผยยวนคิดไปคิดมา “เรื่องนี้ข้าจะทำด้วยตัวเอง เจ้าอย่าไปเลย”

ภายในกระท่อม

เซียวเย่เจ๋อถอนหายใจออกมา “คราวนี้พวกเราไม่เหลือยาแล้ว”

“ที่ข้าให้นางไปเป็นอีกชนิดหนึ่ง”

ของที่ให้ศัตรูกับให้คนกันเองเพื่อเพิ่มอารมณ์ของสามีภรรยา ไป๋จิ่นยังแยกแยะออกหรอกน่า

เดิมฮ่องเต้เซี่ยเจินคิดว่าทำงานในนาตอนเช้าท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่แผดเผาเสร็จแล้ว ไท่ซ่างหวงคงจะคลายความโมโหและปล่อยให้เขามานั่งลงจิบชาบ้าง แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะกลับไปที่เรือนเล็ก ๆ บนเนินเขา บอกว่าจะไปนอนกลางวันและไม่ลงมาอีกเลย

เมื่อไม่มีคนคอยเฝ้า แน่นอนว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ไม่ทำงานต่ออีก บอกว่าจะไปคารวะไท่ซ่างหวง แต่เมื่อเดินไปได้ครึ่งทางเห็นฮองเฮาที่นั่งอยู่ตรงนั้น ก็คิดได้ว่าไท่ซ่างหวงมักมีความเป็นห่วงเป็นใยในตัวสะใภ้ผู้นี้

“เรียกฮองเฮามาให้ไปด้วยกัน”

เจียงเต๋อจึงเข้าไปเรียกทันที หลี่ฮองเฮาได้ยินว่าเขาจะไปบ้านฮวนฮวน ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา

นางเองก็กำลังไตร่ตรองอยู่ว่าจะให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินเห็นอาฉือดีหรือไม่

ตอนนั้นเองก็เห็นเต๋อเฟยและซูเฟยลุกขึ้นยืน “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเถอะ”

พวกนางป้อนอาหารให้ไหมอยู่ตรงนี้ ทำให้พวกนางขยะแขยงจนอยากจะตายอยู่แล้ว

หลี่ฮองเฮาเห็นอสรพิษพวกนี้จะตามไปด้วย แววตาก็เย็นเยียบลง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าเจียงเต๋อ

แต่ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ เสียงที่ไม่พอใจของฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ดังขึ้นมา “ฮองเฮาช่างเข้ากับพวกผู้หญิงบ้านนอกเหล่านี้ได้ดีจริง ๆ”

หลี่ฮองเฮาจึงเอ่ยเสียงราบเรียบขึ้นมา “ฝ่าบาททรงลืมไปแล้วหรือเพคะ? ก่อนที่หม่อมฉันจะแต่งงาน หม่อมฉันก็เป็นเช่นนี้”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินลืมไปแล้วจริง ๆ ทันใดนั้นก็นึกถึงตอนที่เขายังเป็นองค์ชายขึ้นมา เมื่อรู้ว่างานแต่งงานของเขากำลังถูกพูดถึง เขาจึงเริ่มคิดว่าจะเลือกครอบครัวใด

ตระกูลหลี่มีอำนาจทางทหาร ผู้คนมากมายต่างก็จ้องขนมหวานชิ้นนี้ตาเป็นมัน แต่มีเพียงเขาที่คอยติดตามอยู่ด้านหลังของแม่นางตระกูลหลี่ รู้ว่านางชื่นชอบอะไร และไปล่าสัตว์เป็นเพื่อนนาง ไปบริจาคอาหารกับนาง มองดูนางรับเด็กกำพร้าที่สูญเสียพ่อแม่นับไม่ถ้วนมาเลี้ยงดู

นางในตอนนั้นประหลาดใจอย่างมาก ที่เขาซึ่งเป็นองค์ชายสามารถลดตัวลงมาทำเรื่องเช่นนี้ได้ เขาเองยังเคยสาบานกับฟ้าว่า หากได้นางเป็นภรรยาจะทะนุถนอมนาง จะให้นางมีอิสระเช่นนี้ต่อไป และจะไม่ให้ใต้หล้านี้มีเด็กกำพร้าอีก

นางในเวลานั้นช่างสดใสและงดงาม นางสวมชุดสีแดง ในสายตามีเพียงเขา นางจับมือเขาแล้วพูดขึ้นมา “พี่สิบแปด ท่านช่างดีจริง ๆ”

“เจ้ากับข้าแก่แล้ว เจ้าก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีก”

หลี่ฮองเฮาไม่มีแม้แต่อารมณ์จะพูดคุยกับเขา อยากให้นางเป็นเหมือนเมื่อก่อนอย่างนั้นหรือ? เอากระบี่ชิงเฟิงเล่มหนึ่งมาให้นางตัดหัวผู้ชายที่เนรคุณและไร้หัวใจผู้นี้เสียยังดีกว่า

หลี่ฮองเฮาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เสด็จเถอะเพคะ”

เซี่ยเจินรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ดูเอาเถอะ นางมักเป็นคนที่นิสัยน่าโมโหเช่นนี้ ดังนั้นแม้นางจะมีความงามเป็นหนึ่งในวังหลัง แต่เขากลับชอบหานกุ้ยเฟยที่พูดจาหวานหูมากกว่า

แม้ว่าความงามของสตรีตระกูลหานจะสู้นางไม่ได้ แต่เขากลับรู้สึกสบายใจมากกว่า

หลี่ฮองเฮาเตรียมรับมือเมื่อฮ่องเต้เซี่ยเจินได้พบอาฉือเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อฮ่องเต้เซี่ยเจินก้าวไปถึงบ้านในตอนนี้ของอาฉือ นางกลับรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก

อาฉืออยู่อย่างสงบและสุขสบายดีแล้ว เขามีสิทธิ์อะไรก้าวเข้ามา!

เจียงเต๋อผลักประตูรั้วออก ฮ่องเต้เซี่ยเจินกำลังจะเข้าไปก็มีเสียงตะคอกดังขึ้นมาเสียก่อน

อาชิงวิ่งออกมาจากในเรือน “เจ้าเป็นใคร! เหตุใดถึงเข้ามาในบ้านข้าส่งเดชเช่นนี้”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่สนใจอาชิง เจียงเต๋อจึงสะบัดไม้ปัดฝุ่นแล้วเอ่ย “พวกเรามาคารวะไท่ซ่างหวง เด็กน้อย หลบไปซะ”

อาชิงเอามือกอดอก “เช่นนั้นพวกเจ้าก็เข้าไปเถอะ”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินเพิ่งจะก้าวเข้าไปหนึ่งก้าว ก็มีงูตัวอ้วนสีเขียวสองตัวเลื้อยมาจากที่ใดไม่ทราบ มานอนขดตัวอยู่ข้างเท้าของเด็กคนนั้น พลางแลบลิ้นออกมา

พวกเต๋อเฟยจึงส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาทันที

อาชิงแบมือออกแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าเข้ามาสิ~”

.

.

.