บทที่ 247 เซี่ยฉือหรือเผยจี้ฉือ

ฮ่องเต้เซี่ยเจินลองคิดตามก็รู้สึกว่ามีเหตุผล หลังจากให้เจียงเต๋อใช้เข็มเงินทดสอบพิษ และให้เจียงเต๋อกินเข้าไปเล็กน้อย เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีพิษก็ได้กลืนยาเม็ดพร้อมกับยาน้ำอุ่น ๆ ชามนั้นลงไป

ซูเฟยเกิดความสนใจขึ้นมา “ฝ่าบาท รสชาติเป็นเช่นไรบ้างเพคะ?”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินรู้สึกว่ารสชาตินี้ยากจะอธิบายจริง ๆ ดังนั้นจึงไม่ได้ตอบใด ๆ

เต๋อเฟยจึงเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ “ในเมื่อเป็นยาวิเศษ รสชาติย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินพยักหน้ารับน้อย ๆ ก่อนจะกระแอมแล้วเอ่ยขึ้น “ผู้สูงส่ง ตอนนี้ให้ข้าเข้าไปด้านในได้หรือยังขอรับ?”

อย่างไรเสียก็จ่ายเงินไปมากเพียงนั้นแล้ว ดังนั้นเรื่องที่เขากินยาเข้าไปเช่นกัน ไท่ซ่างหวงก็ไม่สามารถตำหนิเขาได้ เป็นเพราะผู้สูงส่งเห็นแก่เงินเองมิใช่หรือ?

อาชิงเอียงคอมอง “ข้าก็ให้พวกเจ้าเข้ามาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ?”

ไม่มีใครขวางเอาไว้เสียหน่อย! แปลกคนจริง ๆ!

พวกฮ่องเต้เซี่ยเจินต่างก็คิดเช่นเดียวกัน เจ้าไม่ได้ขวาง แต่เจ้าปล่อยงูออกมาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?

สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปเป็นคนแรก เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นอาหารของงู ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็จ้องกันอยู่แบบนั้น ภายในห้องด้านทิศตะวันออกก็มีเด็กคนหนึ่งประคองไท่ซ่างหวงออกมา

ใบหน้าของเด็กคนนั้นวูบไหวภายใต้แสงแดด นอกจากสนมที่เพิ่งเข้าวังที่ไม่รู้จักเขาแล้ว คนเก่าแก่ที่เหลือทั้งหมดต่างก็มองไปที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินและหลี่ฮองเฮาโดยพร้อมเพรียงกัน

ฮ่องเต้เซี่ยเจินดวงตาเบิกโพลง ส่วนหลี่ฮองเฮาที่ดวงตาสงบนิ่งมาโดยตลอดนั้น ในที่สุดก็เกิดความวูบไหวขึ้น ความอ่อนโยนและอิ่มอกอิ่มใจแสดงออกชัดผ่านใบหน้านั้นทั้งหมด

ซูเฟยร่างกายสั่นเทาขึ้นมา ก่อนจะดึงเต๋อเฟยมาสอบถาม “ข้าตาฝาดไป หรือว่าเป็นตัวจริงกันแน่?”

เต๋อเฟยชักมือตัวเองกลับ “กลางวันแสก ๆ จะมองผิดได้อย่างไรกัน”

ตอนนี้ไม่ใช่ผีของคนตำหนักบูรพามาหลอกหลอนเช่นเมื่อคืนก่อนอีกแล้ว ภายใต้แสงอาทิตย์เช่นนี้ ทั้งยังมีมือ มีเท้า มีเงา ท่าทางที่สงบนิ่งเช่นนั้น ใบหน้าเช่นนั้น ไม่ใช่เด็กกำพร้าของตำหนักบูรพาแล้วจะเป็นผู้ใดกัน?

ทั้งยังมีชีวิตอยู่อีกด้วย เหตุใดเขาถึงยังมีชีวิตอยู่?

ไฟที่โหมไหม้รุนแรงเช่นนั้น เผาคนตายไปมากเพียงใด ทว่าเขากลับยังมีชีวิตอยู่

ทั้งยังอยู่ข้างกายไท่ซ่างหวงอีกต่างหาก

เมื่อเต๋อเฟยคิดถึงความโปรดปรานที่ไท่ซ่างหวงมีต่อเด็กคนนี้และตำหนักบูรพาแล้ว นางก็รู้สึกว่ามีศัตรูที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมา

ข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือ อดีตองค์รัชทายาทได้ถูกปลดเป็นสามัญชนแล้ว แม้ว่าเซี่ยฉือจะมีสายเลือดของราชวงศ์ แต่ก็เป็นสามัญชนไปแล้ว!

ใบหน้าของฮ่องเต้เซี่ยเจินถมึงทึงเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้ดีใจที่เห็นเซี่ยฉือ สำหรับเขาทุกช่วงเวลาที่เด็กคนนี้มีชีวิตอยู่ เป็นเครื่องเตือนใจว่าลูกชายที่เกิดจากภรรยาเอกของเขาได้ตายไปแล้ว ย้ำเตือนถึงการมีอยู่ของเซี่ยอวี้

ทว่าตอนนี้เขากลับมาอยู่ข้างกายไท่ซ่างหวง หรือว่าไท่ซ่างหวงต้องการรื้อคดีให้กับเซี่ยอวี้? หรือเผยยวนต้องการใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ก่อกบฏ

ไท่ซ่างหวงคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินจะขึ้นมาบนเนินเขาเช่นนี้ ทว่าไม่ช้าก็เร็วต้องได้พบหน้ากัน เพียงแต่ฮ่องเต้เซี่ยเจินปรากฏตัวเร็วไปหน่อยก็เท่านั้น

ซูเฟยเป็นคนปากไม่มีหูรูด นางจึงเอ่ยเสียงเบาขึ้นมาทันที “ดูเหมือนว่าฮองเฮาคงจะทรงทราบนานแล้วกระมังเพคะ เพียงแต่ข่าวดีเช่นนี้เหตุใดไม่ทรงบอกก่อนเล่าเพคะ หม่อมฉันมาเห็นกลางวันแสก ๆ เช่นนี้ ตกใจจนใจเต้นแรงไปหมดแล้วเพคะ”

“ใจเต้นแรงเช่นนี้ ท่านป้า ทางที่ดีควรรีบไปให้หมอหลวงตรวจจะดีกว่า คิดว่าคงอยู่ได้อีกไม่นานเป็นแน่”

หลี่ฮองเฮาไม่ได้ขานรับ แต่กลับเป็นเสียงที่ดังมาจากทางด้านหลังของพวกเขา

ฮ่องเต้เซี่ยเจินหันกลับไปมองก็พบว่าเผยยวนจูงมือสตรีชุดเขียวที่เห็นก่อนหน้านี้มายืนอยู่ทางด้านหลังของพวกเขา และคนที่พูดขึ้นมาเมื่อครู่ก็คือสตรีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขานั่นเอง

บุตรีภรรยาเอกที่มาจากจวนจี้กั๋วกงผู้นั้น คิดไม่ถึงว่าการที่เขาแสร้งพระราชทานสมรสให้ กลับเป็นการมอบความช่วยเหลือให้กับเผยยวน ช่วงเวลาที่ผ่านมาสตรีผู้นี้ตอกหน้าจวนจี้กั๋วกงเช่นไร ทั้งไม่ยอมรับพ่อแท้ ๆ ทั้งลักพาตัวคนทั้งจวนจี้กั๋วกงมา ข่าวเหล่านี้ต่างแพร่สะพัดไปทั่ว

สตรีคนใดบ้างจะอยากได้ยินคนอื่นเรียกตัวเองว่าท่านป้า? นี่ไม่เท่ากับบอกว่านางแก่หรอกหรือ?

ซูเฟยโมโหจนใบหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที

จี้จือฮวนกลับจ้องซูเฟยด้วยสายตาเย็นชา จนทำให้ซูเฟยถึงกับถอยหลังไปด้วยความตกใจ สุดท้ายจึงค่อย ๆ ถอนสายตากลับมา

ฮ่องเต้เซี่ยเจินเดิมก็ไม่พอใจเผยยวนอยู่แล้ว เห็นเขาเมินตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า อย่าว่าแต่การทำความเคารพและทักทายเลย แม้แต่สตรีที่อยู่ข้างกายเผยยวนก็มองว่าเขาไร้ตัวตน ดังนั้นเขาจึงเก็บความคับข้องใจเอาไว้นานแล้ว

แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่กินยาเม็ดใหญ่เมื่อครู่ไป ก็ราวกับมีไฟกำลังลุกโชนอยู่ในท้องของเขาก็มิปาน

เพียงพริบตาลำคอของฮ่องเต้เซี่ยเจินก็เริ่มแดงขึ้นมา

คำถามที่อยากถามมีมากมาย แต่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยออกมาเช่นไร!

เผยยวนผู้นี้เก็บซ่อนความลับที่เขาไม่รู้เอาไว้มากมายเพียงใดกันแน่ หรือว่าทุกอย่างก่อนหน้านี้ก็ล้วนเป็นการแสดงด้วย?

อาชิงน้อยอาศัยตอนที่ทุกคนไม่สังเกต ยกหีบสมบัติหีบนั้นเข้าไปหาอาอิน “พี่หญิง ข้าทำเงินได้เยอะมากเลยขอรับ! ข้าก็เป็นเด็กที่สามารถหาเงินได้แล้ว!”

อาอินอุดปากเขาเอาไว้ ก่อนจะหมอบอยู่ที่ขอบหน้าต่างและมองออกไปด้านนอก “อย่าตะโกน ฮ่องเต้สุนัขด้านนอกนั่นไม่แน่อาจจะมาหาเรื่องพี่ใหญ่ก็ได้”

บรรยากาศในสวนนั้นไม่ดีเท่าใดนัก ใครก็ตามที่ไม่ได้ตาบอดย่อมรู้ว่านั่นคือเซี่ยฉือ แต่ไม่มีใครยอมพูดก่อน

หน้าประตูรั้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมใคร

จนกระทั่งอาฉือเอ่ยปากขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านแม่”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขาเรียกเผยยวนกับภรรยาว่าพ่อกับแม่อย่างนั้นหรือ? เขาต้องการที่จะตัดขาดกับราชวงศ์หรืออย่างไร?

ซูเฟยและเต๋อเฟยเองก็คิดไม่ถึง เดิมคิดว่าในเมื่อเซี่ยฉืออยู่ข้างกายไท่ซ่างหวง เช่นนั้นก็คงต้องการอาศัยจุดนี้ยกคดีเก่าของตำหนักบูรพาขึ้นมา แต่ตอนนี้เขากลับรับเผยยวนเป็นพ่อ เช่นนั้นก็ไม่ใช่คนตระกูลเซี่ยอีกแล้ว

จี้จือฮวนเข้าใจการตัดสินใจของอาฉือแล้ว ตระกูลเซี่ยก็ไม่มีอะไรน่ายอมรับอยู่แล้ว อยากเป็นฮ่องเต้ก็ไม่ได้มีแค่เส้นทางเดียว หากต้องเรียกเจ้าฮ่องเต้เซี่ยเจินผู้นั้นว่าปู่อีก นางเองก็ไม่ยินดีเช่นกัน

จี้จือฮวนยิ้มให้กับอาฉือ ก่อนจะหันไปมองพวกฮ่องเต้เซี่ยเจิน “บ้านของพวกเราคับแคบ ไม่สามารถจุคนได้มากมายเพียงนี้ เด็ก ๆ ยังต้องเรียนหนังสืออีก ไม่ทราบว่าทุกท่านมาทำอันใดกันอย่างนั้นหรือ?”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินกำลังจะบอกนางว่าบังอาจ องค์หญิงใหญ่ก็เดินออกมาจากในเรือนพอดี เมื่อฮ่องเต้เซี่ยเจินเห็นนางก็เกือบจะกัดลิ้นตัวเองเสียแล้ว

ในมือของเซี่ยวั่งซูมีเมล็ดแตงโมอยู่หนึ่งกำมือ นางเงยหน้าขึ้นพลางเอ่ยออกมา “น้องสิบแปดมาได้เวลาพอดี มารับข้าลงไปดูพวกเจ้าทำนาใช่หรือไม่ งานเมื่อครู่ทำเสร็จแล้วหรือ?”

คนทั้งกลุ่มจึงเสมองไปทางอื่นทันที ปล่อยให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินรับหน้าเพียงคนเดียว

“เรื่องพวกนี้จะให้เสด็จพี่ทรงเป็นกังวลได้อย่างไรกัน เมื่อครู่ข้าเห็นเสด็จพ่อขึ้นมานอนกลางวันจึงได้ตั้งใจมาคารวะ และถือโอกาสมาดูว่าเสด็จพ่อและเสด็จพี่อยู่ที่นี่ต้องการสิ่งใดหรือไม่ ข้าจะได้ให้คนไปจัดเตรียม…แต่คิดไม่ถึงว่าหย่งกวานโหวจะมีลูกชายโตป่านนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเกิดปีใดหรือว่าเก็บลูกคนอื่นมา?”

ประโยคนี้เหลือแค่บอกไปตรง ๆ ว่า เผยยวนช่วยเซี่ยฉือ แต่กลับซ่อนเอาไว้จนป่านนี้ไม่ยอมบอกใครก็เท่านั้น

คำพูดนี้พุ่งเป้าไปที่เผยยวน แต่คนถูกถามกลับมองไปทางฮ่องเต้เซี่ยเจินราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “รัชศกหย่งติ้งปีที่สาม”

รัชศกหย่งติ้งปีที่สามเป็นปีเกิดของเซี่ยฉือ ไท่ซ่างหวงประทานชื่อให้ด้วยพระองค์เอง อุ้มแนบอกเอาไว้ไม่ยอมห่าง ดีใจจนมีการพระราชทานอภัยโทษ ในบรรดาองค์ชายทั้งหมดไม่เคยมีใครได้รับความรักมากเช่นนั้นมาก่อน แม้แต่เซี่ยอวี้ก็ยังไม่เคย

ฮ่องเต้เซี่ยเจินเองก็เริ่มเกลียดชังตำหนักบูรพาตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

มองดูใบหน้าที่ไร้ความหวั่นเกรงใด ๆ ของเผยยวนแล้ว ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็รู้สึกว่าไฟในท้องของเขาลุกโชนขึ้นมากกว่าเดิม

“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็เป็นปีเดียวกันกับหลานชายของข้าน่ะสิ”

“หืม? ฝ่าบาททรงมีพระราชกรณียกิจมากมาย ทว่ายังจำปีเกิดและอายุของพระราชนัดดาได้อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่เพียงเกิดปีเดียวกัน แต่เพื่ออาศัยบารมี ชื่อลูกชายของกระหม่อมก็มีคำว่าฉือด้วย ฝ่าบาททรงดูสิพ่ะย่ะค่ะ หน้าตาของพวกเขาก็ยังคล้ายกันมาก วาสนาเช่นนี้บางทีอาจเกิดมาเพื่อรับช่วงต่อก็เป็นได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

มือของฮ่องเต้เซี่ยเจินสั่นเทาขึ้นมา “รับช่วงต่ออะไร?”

“อะไรก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงลูกของกระหม่อมต้องการ เผยยวนล้วนหามาให้ได้ทั้งนั้น”

.

.

.