ตอนที่ 262 ความคิดใหม่

ฉินมู่หลานมองสำรวจเครื่องสำอางที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะพบว่ามีเครื่องสำอางอยู่น้อยชิ้นมาก เทียบกับโลกอนาคตข้างหน้าไม่ได้เลยสักนิด เมื่อแบรนด์จากต่างประเทศเข้ามามันก็สามารถตีตลาดได้อย่างรวดเร็ว

คิดได้เช่นนั้น ในใจของฉินมู่หลานก็เกิดความคิดขึ้นมา รู้สึกว่าต่อไปอุตสาหกรรมเครื่องสำอางอาจมีแนวโน้มที่ดี

เสิ่นหรูฮวนเห็นว่าฉินมู่หลานยังคงนิ่ง ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “เป็นอะไรเหรอมู่หลาน?”

“ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดว่าอยากจะลองทำเครื่องสำอางดี ๆ ให้เธอใช้ในอนาคต”

หลังจากได้ยินเช่นนี้ เสิ่นหรูฮวนก็รีบยกยิ้มแล้วกล่าว “เอาสิ”

หลังจากทั้งสองพูดคุยกันอยู่ไม่กี่คำ ฉินมู่หลานก็รีบเร่งมือทันที ใช้เครื่องสำอางเท่าที่มีอยู่ช่วยปรับการแต่งหน้าให้เสิ่นหรูฮวน จนกระทั่งแต่งหน้าเสร็จก็ยื่นกระจกให้เสิ่นหรูฮวน จากนั้นจึงได้เอ่ยถาม “แบบนี้ใช้ได้ไหม?”

เสิ่นหรูฮวนมองดูตัวเองในกระจก ได้แต่รู้สึกมหัศจรรย์

“มู่หลาน ไม่คิดเลยว่าเธอจะแต่งหน้าเก่งขนาดนี้ ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ฉันสวยมากเลยล่ะ”

ตอนแรกรูปร่างหน้าตาของหล่อนดูค่อนข้างธรรมดา แต่หลังจากฉินมู่หลานลงมือให้เมื่อสักครู่ ก็ได้เน้นส่วนเด่นอำพรางส่วนด้อยของใบหน้าหล่อนให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น หล่อนในตอนนี้จึงดูสวยงามเฉิดฉายเป็นอย่างมาก

เดิมทีช่างที่แต่งหน้าให้เสิ่นหรูฮวนก็ไม่ค่อยพอใจผลลัพธ์ในตอนแรกนัก ตอนนี้จึงรู้สึกอัศจรรย์ หล่อนหันมองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “คุณก็เป็นช่างแต่งหน้าเหมือนกันเหรอคะ?”

ฉินมู่หลานส่ายหัว แล้วบอกกล่าว “ไม่ใช่ค่ะ”

“เป็นไปได้ยังไง คุณไม่ใช่ช่างแต่งหน้าแต่ทำไมถึงได้แต่งหน้าเก่งจัง แปลงโฉมคนออกมาได้สวยมากเลยค่ะ”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ก็ยกยิ้ม แล้วเอ่ย “ฉันแค่พอรู้วิธีมาบ้างนิดหน่อยค่ะ”

ช่างแต่งหน้าเพียงแต่คิดว่าฉินมู่หลานค่อนข้างถ่อมตัว จึงเอ่ยถามอย่างเขินอาย “คือว่า…ขอฉันเรียนกับคุณได้ไหมคะ คุณไม่ต้องกังวลค่ะ แน่นอนว่าตอนเรียน ฉันจะไม่เก็บเงินเลยสักแดงเดียว แล้วจะมอบอั่งเปาให้คุณช่วงปีใหม่นี้แทนค่ะ”

ช่างแต่งหน้าคนนี้มีนามว่าเยว่เจินจู เสิ่นหรูฮวนได้รู้จักมาจากคนวงในอีกที

เพราะปัจจุบันนี้ช่างแต่งหน้ามีจำนวนน้อยมาก ถึงแม้ว่าจะมีงานแต่ง แต่คนส่วนใหญ่ก็จัดการแต่งหน้าด้วยตัวเอง ไม่ค่อยมองหาช่างแต่งหน้ากันสักเท่าใดนัก

คุณย่าของเยว่เจินจูเคยเป็นช่างทำผมให้กับคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวย หล่อนได้เรียนรู้ทักษะพวกนี้มาจากคุณย่า อีกทั้งยังได้เรียนการแต่งหน้ามาด้วย หลังจากนั้นหล่อนก็รับงานแต่งหน้าให้กับเจ้าสาว ตอนแรกหล่อนรู้สึกมาโดยตลอดว่าตัวเองแต่งหน้าคนอื่นได้สวยพอแล้ว แต่วันนี้เมื่อได้เจอฉินมู่หลาน หล่อนจึงได้รับรู้ถึงนิยามคำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า

เมื่อเห็นใบหน้าของเย่วเจินจูเต็มไปด้วยความตั้งใจ ฉินมู่หลานก็บอกไปตามตรง “ฉันไม่ใช่ช่างแต่งหน้าจริง ๆ นะคะ”

เยว่เจินจูรู้สึกเหลือเชื่อมากจริง ๆ

แต่เสิ่นหรูฮวนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “คุณอย่าทำให้มู่หลานลำบากใจเลยค่ะ หล่อนเป็นนักศึกษาแพทย์ และปีหน้าก็จะเข้าเรียนแล้วด้วย คงไม่มีเวลาว่างค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยว่เจินจูก็หันมองด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยพึมพำ “ถึงจะไม่ใช่ช่างแต่งหน้าจริง ๆ แต่ฝีมือของคุณก็ดีมากเลยนะคะ แล้วอย่างนี้ฉันควรจะทำยังไงเนี่ย?” หลังจากเอ่ยจบ หล่อนก็หันมองฉินมู่หลานอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัย “ฉันแอบเห็นตอนคุณแต่งหน้าให้เจ้าสาวเมื่อสักครู่นี้ ต..ต่อไปถ้าฉันมีงานแต่งหน้าให้คนอื่นอีก ขอนำเทคนิคไปใช้ได้ไหมคะ?”

ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วเอ่ย “ได้อยู่แล้วค่ะ”

เมื่อเห็นฉินมู่หลานตอบตกลง เยว่เจินจูก็รู้สึกดีใจ “จริงเหรอคะ ดีจังเลย ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากเลยนะคะ”

ฉินมู่หลานเห็นว่าเยว่เจินจูดีใจมากขนากนี้ก็ไม่ได้พูดอะไร หากอีกฝ่ายสามารถเรียนรู้ได้เพียงแค่มองดู นั่นก็หมายความว่าหล่อนมีความสามารถมาก หากหล่อนได้เรียนรู้ทุกอย่างแล้วหลังจากนี้จะเอาไปใช้อะไรต่อหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ เพราะฉะนั้นเรื่องที่ตนตอบตกลงก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น

กระทั่งเยว่เจินจูรวบผมเสร็จเรียบร้อย ฉินมู่หลานก็อดเอ่ยชมเสียไม่ได้ “คุณทำผมได้ดีมากเลยค่ะ”

เมื่อได้ยินฉินมู่หลานเอ่ยชม เยว่เจินจูก็ดีใจมาก “ขอบคุณค่ะ ฉันเรียนเทคนิคการทำผมมาจากคุณย่า ท่านทำได้สวยมาก ฉันจึงต้องตั้งใจรักษามาตรฐานต่อไป”

เสิ่นหรูฮวนส่องกระจก ก่อนจะรู้สึกพอใจมาก ได้แต่รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองสวยเหลือเกิน

“มู่หลาน เดี๋ยวพวกเราไปถ่ายรูปกันเถอะ แม่ฉันจ้างคนจากสตูดิโดถ่ายภาพมาถ่ายให้เป็นพิเศษด้วย เขาว่ากันว่าช่วงแต่งงานต้องเก็บภาพของช่วงเวลาที่สวยงามเอาไว้”

ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งนี้ ก็พยักหน้าแล้วเอ่ยพูดอย่างช่วยไม่ได้ “คุณป้าความคิดดีจังเลย ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกเราไปถ่ายรูปกันเถอะ”

ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงประทัดจากข้างนอกก็ดังขึ้น

“เจ้าบ่าวมาแล้ว~~~”

เสิ่นหรูฮวนได้ยินประโยคนี้ ก็รีบนั่งลงทันที

ฉินมู่หลานกับลูกพี่ลูกน้องของเสิ่นหรูฮวนช่วยกันขวางทางประตูเอาไว้ แล้วยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อขออั่งเปา

ฟู่ซวี่ตงเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ก่อนจะยัดซองอั่งเปาสีแดงเต็มพิกัด จากนั้นก็เข้ามารับตัวเจ้าสาวไป

เมื่อได้เห็นเสิ่นหรูฮวน ฟู๋ซวี่ตงก็จ้องมองตาไม่กระพริบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นโดยไม่รู้ตัว “หรูฮวน คุณสวยจังเลย”

เสิ่นหรูฮวนรู้สึกเขินนิดหน่อยเมื่อได้ยินคำเอ่ยชม ใบหน้าแดงก่ำจ้องมองฟู่ซวี่ตงอยู่ครู่หนึ่ง

หลังจากฟู่ซวี่ตงดึงสติกลับมาได้ก็รีบเอ่ย “หรูฮวน ผมมารับคุณแล้ว”

ฉินมู่หลานมองคู่บ่าวสาวที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ในตอนนั้นเองเซี่ยเจ๋อหลี่ก็เดินเข้ามา แล้วเอ่ย “มู่หลาน เดี๋ยวพวกเรากลับไปแล้วไปถ่ายรูปที่สตูดิโอกันบ้างเถอะ”

เมื่อได้ยินประโยคที่ดังแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ฉินมู่หลานก็อดถามไม่ได้ “ถ่ายรูปอะไรหรือคะ?”

เซี่ยเจ๋อหลี่ชี้ไปตรงข้างตากล้องที่ยืนถ่ายรฦปอยู่ข้างหลังก่อนจะพูดขึ้น “ซวี่ตงกับหรูฮวนแต่งงานกัน ก็มีคนมาคอยถ่ายรูปให้ตลอด ผมนึกถึงตอนที่พวกเราแต่งงานกัน มันไม่มีอะไรเลย ตอนนี้ก็เลยอยากจะทำบ้าง”

ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งนี้ ก็ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เอาสิ”

จากนั้นฉินมู่หลานก็พบว่าหนึ่งในเพื่อนสนิทของฟู่ซวี่ตงทั้งสองคนก็คือเจียงเฉิง

ในตอนนี้เจียงเฉิงก็มองเห็นฉินมู่หลานเหมือนกัน เขายกยิ้มแล้วโบกมือให้เธอ ก่อนจะเอ่ยทักทายกันเสียงเบา “พี่สะใภ้ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

“ไม่เจอกันนานเลยค่ะ”

ฉินมู่หลานก็เอ่ยกลับเสียงเบา

เมื่อทั้งสองคนกล่าวทักทายกันแล้ว เพื่อนเจ้าบ่าวอีกคนก็มองมา ฉินมู่หลานคิดว่าผู้ชายคนนี้ดูคล้ายฟู่ซวี่ตงมาก จึงหันไปทางเซี่ยเจ๋อหลี่ แล้วกระซิบถาม “คนนั้นใช่น้องชายของซวี่ตงไหม?”

เซี่ยเจ๋อหลี่พยักหน้าแล้วตอบกลับ “ใช่ ฟู่ซวี่เป่ย น้องชายของซวี่ตง วันนี้ฟู่ซวี่เปยก็มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวด้วยเหมือนกัน”

ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งนี้ก็พยักหน้า แต่ดูจากท่าทางของฟู่ซวี่เป่ยแล้ว เธอก็ถึงกับขมวดคิ้วนิดหน่อย เห็นได้ชัดว่าพี่ชายแท้ ๆ กำลังจะแต่งงาน แต่ทำไมสีหน้าของฟู่ซวี่เป่ยถึงเรียบเฉยนัก รู้สึกไม่ค่อยเริงรื่นเลย

ฟู่ซวี่ตงทางด้านนี้กำลังมารับตัวเจ้าสาวไป จึงเดินตรงไปด้วยสีหน้ามีความสุข

ฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ตามไปอย่างปกติ

เสิ่นเจิ้นอวี่ถงทิงผิงสองสามีภรรยารวมถึงเสิ่นหรูฮุ่ยต่างอยู่ข้างนอก เมื่อเห็นเสิ่นหรูฮวนกับฟู่ซวี่ตงยืนอยู่ด้วยกัน สีหน้าของทั้งสามคนก็เต็มไปด้วยความเศร้า

“หรูฮวน ลูกแต่งงานแล้ว แต่ก็ยังเป็นลูกสาวของพ่อกับแม่นะ ถ้าลูกมีเรื่องเดือดร้อนอะไร ก็ต้องบอกพวกเราด้วย” หลังจากพูดจบก็หันมองฟู่ซวี่ตง ก่อนจะเอ่ย “นายก็ดีกับหรูฮวนให้มาก ๆ นะ”

เสิ่นหรูฮุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยตามกัน “ถ้านายทำให้น้องฉันสียใจ ฉันจะคิดบัญชีกับนายแน่”

ฟู่ซวี่ตงเอ่ยด้วยความมั่นใจพร้อมสีหน้าจริงจัง “ผมจะดีกับหรูฮวนไปตลอดชีวิตแน่นอนครับ”

ตอนแรกเสิ่นหรูฮวนรู้สึกมีความสุข แต่เมื่อเห็นสีหน้าของคนในครอบครัวดูเศร้า อีกทั้งยังได้ยินคำพูดพวกนี้ หล่อนก็ตาแดงก่ำขึ้นมาทันที “พ่อ แม่ พี่…”

เมื่อเห็นเสิ่นหรูฮวนเช่นนี้ ถงทิงผิงก็รีบเอ่ยกล่าว “อย่าร้องไห้ วันนี้เป็นวันแต่งงานของลูกนะ ลูกจะต้องมีความสุขมาก ๆ”

สองแม่ลูกพูดคุยกันยาวนาน เพราะสุดท้ายแล้วตระกูลเสิ่นต่างก็ได้เห็นเสิ่นหรูฮวนออกเรือน

ตระกูลเสิ่นกับตระกูลฟู่จัดงานเลี้ยงที่โรงแรมปักกิ่ง หลังจากที่ทีมงานของเจ้าบ่าวออกไปแล้ว เสิ่นเจิ้นอวี่ก็เชิญทุกคนไปที่โรงแรมปักกิ่ง

ฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ไปที่นั่นด้วยเช่นกัน พวกเขาทั้งสองมาช่วยงานที่ตระกูลเสิ่นก่อน ส่วนคนอื่น ๆ พวกเขาจะมุ่งหน้าไปที่โรงแรมปักกิ่งเลย เมื่อพวกเขาไปถึง ก็พบว่าเหยาจิ้งจือกับพวกซูหว่านอี๋ก็มาถึงกันแล้ว ทั้งสองคนอุ้มเด็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน “มู่หลาน อาหลี่ พวกเธอมากันแล้วเหรอ พวกเรารีบเข้าไปนั่งข้างในกันดีกว่า”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แผนธุรกิจเครื่องสำอางเริ่มก่อตัวขึ้นแล้วสิ จะเอาสมุนไพรอะไรมาใช้ทำเครื่องสำอางบ้างนะ

ไหหม่า(海馬)