ตอนที่ 133 ท่านนี่มันสุดขั้ว!

ภายในห้องฝังศพ ตงอ่ฉางถือดาบมองอย่างเย็นเยือกไปยังคนของโรงเรียนปราชญ์และหัตถ์ภูตวิญญาณที่ ตรงหน้าในอีกด้านหนึ่งมีเพียงเหว่ยเหริ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังจากทั้งหมดสี่คน

จ้าวฮานเยวจากราชวังบุปผาเองก็ยืนอยู่ข้างตงอู่ฉางเวลานี้นางมองไปอย่างเย็นเยือกที่หัตถ์ภูตวิญญาณและคนของโรงเรียนปราชญ์เหมือนกับตงอู่ฉางและยังเผยประกายจิตสังหารผ่านดวงตาอย่างเห็นได้ชัด

“ซูหยาน ข้าไม่ทราบว่าเหตุใดเจ้าถึงช่วยเหลือคนจากสํานักภูตผี!”ตงอู่ฉางมองไปยังซูหยานที่ยืนนํากลุ่มของโรงเรียนปราชญ์พร้อมกล่าว

เหมือนกับเหตุการณ์ครั้งที่แล้ว หัตถ์ภูตวิญญาณได้โจมตีอย่างฉับพลันอีกครั้ง หากมีแค่หัตถ์ภูตวิญญาณเช่นนั้นเขาหาได้เกรงกลัวไม่แต่ไม่คาดคิดว่าศิษย์โรงเรียนปราชญ์จะเข้ามาช่วยเหลือ มันทําให้ศิษย์ทั้งสามของสํานักดาบราชันตายคาที่ ยิ่งกว่านั้นหากจ้าวฮานเยว่ไม่ตามหัตถ์ภูตวิญญาณมาแม้แต่เขาเองก็คงไม่รอดจน ถึงตอนนี้

สํานักดาบราชันและสํานักภูตผีเป็นศัตรูกันมาก่อนดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้ว่าทําไมหัตถ์ภูตวิญญาณถึงโจมตีแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดโรงเรียนปราชญ์ถึงลงมือกับพวกเขาด้วย

“คงไม่มีสิ่งใดอื่นนอกจาผลประโยชน์สินะ!” จ้าวฮานเยว่กล่าวอย่างเย็นเยือก”ข้าสันนิษฐานว่าหัตถ์ภูต วิญญาณคงเสนอรางวัลให้เจ้าใช่หรือไม่?แต่ข้าแค่ต้องการจะถาม เจ้าไม่เกรงกลัวราชวังบุปผากับสํานักดาบราชั้นทราบเรื่องนี้หรือไง? ข้าว่าโรงเรียนปราชญ์คงไม่คิดจะมีศัตรูกับทั้งสองสํานักนี้ในคราเดียวหรอกกระมั้ง?”

ทันใดนั้นหัตถ์ภูตวิญญาณได้เอ่ยด้วยน้ําเสียงอาฆาต”หากพวกเราจัดการพวกเจ้าทั้งหมดที่นี่แล้วใครจะทราบว่าพวกเราทําอะไรกันล่ะ? โอ้ใช่เทพธิดาจ้าว ข้าต้องยอมรับว่าศิษย์ของราชวังบุปผานั้นรสชาติเยี่ยมโดยแท้จริงข้าโหยหามันมานาน!” ขณะที่กล่าวเขาใช้ลิ้นเลียรอบปากด้วยความพึงพอใจ

“หัตถ์ภูตวิญญาณ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุเจ้าถึงกล้าเอาศพของศิษย์ราชวังบุปผาไปต่อหน้าข้ามันเป็นเพราะเจ้ามีโรงเรียนปราชญ์ช่วยเหลืออยู่ แต่เจ้าคิดหรือว่าจะจัดการพวกเราทั้งสามได้โดยง่าย?” จ้าวฮานเยว่กล่าวเสียงต่ํา “บางที่พวกเราอาจจะไม่สามารถสู้พวกแกได้ แต่หากเปลี่ยนเป็นหนีล่ะ? พวกเจ้าทั้งหมดจะหยุดพวกเราได้งั้นหรือ?”

“ฮ่าฮ่า…” ทันใดนั้นซูหยานที่เงียบมานานได้หัวเราะออกมาเล็กน้อย “หากเป็นเช่นนั้นก่อนหน้า พวกเราก็คงไม่อาจหยุดพวกท่านได้แต่ตอนนี้ท่านสามารถลองหนีได้ตามชอบแม่นางจ้าว ดูสิว่าท่านจะสามารถทลายเกราะพลังของโรงเรียนปราชญ์ได้หรือไม่!”

ท่าทีของจ้าวฮานเยว่และตงอ่ฉางเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน นางยกนิ้วขึ้นเล็กน้อย ทําให้ปราณพลังดอกไม้ยิงออกไปจากปลายนิ้ว มันลอยไปกว่าสิบเมตรก่อนจะระเบิดออกและดอกไม้นั้นได้สลายหายไปกลางอากาศ

ดวงตาจ้าวฮานเยว่กระตุกเมื่อเห็นเช่นนั้น นางมองไปยังหัตถ์ภูตวิญญาณและซูหยานก่อนจะเอ่ยด้วยน้ําเสียงเย็นชา”ที่พวกเจ้าเงียบไปเมื่อครู่คิดไปวางเกราะพลังมาสินะ ช่างเจ้าเล่ห์นัก แต่ข้าก็ยังสงสัยข้าสงสัยว่าหัตถ์ภูตวิญญาณมันเสนออะไรให้ถึงทําให้ศิษย์ในของโรงเรียนปราชญ์อย่างเจ้าไม่ลังเลที่จะจัดการพวกเรา!”

ซูหยานส่ายหัวก่อนเอ่ย “แม่นางจ้าว ข้าไม่เคยคิดจะสังหารท่าน หากท่านกล้าสาบานต่อสวรรค์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ท่านจะไม่ปริปากเมื่อออกไปเช่นนั้นข้าอาจจะปล่อยท่านไปได้”

ดวงตาหัตถ์ภูตวิญญาณหรี่ลงราวกับไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้กล่าวขัดแต่อย่างใด

ท่าที่ตงอ่ฉางเปลี่ยนไป เขามองจ้าวฮานเยวที่ได้รับข้อเสนอ “แม่นางจ้าว ท่านคิดว่าเขาจะปล่อยท่านไปจริงหรือ? หากพวกเราร่วมมือกันตอนนี้เช่นนั้นอาจจะยังพอมีโอกาส แต่หากท่านจะทําแค่เฝ้ามองอยู่ด้านข้าง ผล ลัพธ์ที่ตามมาก็ลงเอยไม่ต่างจากข้า!”

“แม่นางจ้าว ไม่มีความขัดแย้งใดระหว่างโรงเรียนปราชญ์และราชวังบุปผา ยังกล่าวได้ว่าสํานักของพวกเราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แล้วมีเหตุผลอะไรที่ข้าจะต้องลงมือกับท่านล่ะ? ถูกต้องที่ข้าร่วมมือกับสํานักภูตผีครั้งนี้เพราะได้รับข้อเสนออันดีมา หากท่านคิดจะเก็บงําความลับ เช่นนั้นข้าจะไม่ทําอันตรายใดกับท่าน!”ซูหยานกล่าวอย่างช้า ๆ

จ้าวฮานเหยวเงียบไปก่อนจะเอ่ย “เปิดเกราะพลังและให้ข้าออกไปก่อน!”

นางหาได้โง่ไม่ นางทราบว่าหากอยู่ภายในเกราะพลังและมองดูพวกเขาฆ่าตงอ่ฉาง เช่นนั้นมันก็คงจะลงเอ่ยไม่ต่างกัน แต่นางตระหนักดีว่า ถึงแม้จะเข้าร่วมกับตงอู่ฉาง พวกเขาก็ยังไม่ใช่ศัตรูของโรงเรียนปราชญ์และสํานักภูตผีแน่นอน เพราะซูหยานอยู่ขั้นปราณราชันระดับหกและมันยังอยู่เหนือกว่าเขาและตงอ่ฉางถึงสองระดับ

ซูหยานส่ายหัวก่อนจะเอ่ย “ยังเปิดไม่ได้ตอนนี้ หากเปิดตอนนี้ตงอ่ฉางจะต้องพยายามหนีแน่นอนเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าจะจัดการได้ทัน”

“เช่นนั้นเหตุใดถึงยังเปลืองลมหายใจอยู่ล่ะ?” จ้าวฮานเยว่หัวอย่างเย็นเยือก “พวกเราจะร่วมกัน ถึงแม้ข้ากับตงอู่ฉางจะด้อยกว่าเจ้าอยู่สองระดับ แต่หากร่วมมือกันมันก็ยังพอมีหนทางที่จะจัดพวกเจ้าลงได้!”

สิ้นสุดการเจรจาเสียที!” ตงอ่ฉางและเหว่ยเหริ่นถอนหายใจโล่งอก หากจ้าวฮานเยว่ออกไปเช่นนั้นพวกเขา ก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิตอีก แต่หากพวกเขาร่วมมือกัน เช่นนั้นพวกเขาจะยังมีโอกาสรอดชีวิต!

ซูหยานไม่เปลืองลมหายใจกับจ้าวฮานเยว่อีก เขาหันไปมองหัตถ์ภูตวิญญาณพร้อมเอ่ย “เจ้าจัดการจ้าวฮานเยว่ ข้าจะจัดการตงอู่ฉางเอง!”

ทันทีที่กล่าวจบ เขาพลิกฝ่ามือเรียกดาบออกมาพร้อมมองไปยังตงอ่ฉาง “สํานักดาบราชันเลื่องลือในการใช้ดาบวันนี้มาดูสิว่าวิชาดาของสํานักดาบราชันหรือโรงเรียนปราชญ์ใครจะเหนือกว่ากัน!”

ทันทีที่กล่าวจบ ร่างของซูหยานพุ่งออกไป ดาบในมือเขาทิ้งไว้เพียงภาพติดตาก่อนจะแทงออกไปยังตงอู่ฉางในอีกด้านหนึ่งหัตถ์ภูตวิญญาณเองก็พุ่งไปพร้อมใช้กรงเล็บข่วนไปที่จ้าวฮานเยว่อย่างต่อเนื่อง

หยางเย่และฉินเยว่กําลังแอบซ่อนอยู่ข้างในเกราะพลังสีม่วง ขณะที่เฝ้ามองการต่อสู้ ฉินนี่เยว่ได้เอ่ยขึ้น “เจ้าไม่คิดจะช่วยศิษย์สํานักดาบราชันทั้งสองนั้นหรือ?”

“ข้าบอกท่านไปแล้วว่าข้าไม่ใช่ศิษย์สํานักดาบราชัน!” หยางเย่กล่าวอย่างเย็นชา “ยิ่งกว่านั้น ข้าก็ไม่อาจช่วยพวกเขาได้ถึงแม้จะต้องการ ท่านสามารถทําลายกําแพงพลังได้งั้นหรือ?”

เขายังคงตําเหตุการณ์ครั้งก่อนได้ แม้ว่าตอนนั้นหมีพสุธาที่อยู่ขั้นก่อนจิตวิญญาณ มันต้องโจมตีอยู่หลายครั้งกว่าจะทําลายกําแพงพลังลงได้ สําหรับเขานั้นลืมไปเสียยังจะดีกว่า

ฉินเยว่เผยรอยยิ้มก่อนจะมอง “ดูเหมือนเจ้าจะไม่มีความประทับใจหลงเหลือต่อสํานักดาบราชันเลยนะแต่ก็ดีหลังจากพวกเขาสู้กันจนบาดเจ็บไปข้าง พวกเราจะขโมยสมบัติพวกนั้นมาเสียข้าคาดว่าของวิเศษจากยอดฝีมือขั้นปราณราชันสี่คนและขั้นปราณสวรรค์ไม่กี่คนคงจะมีสมบัติมากมายพอควร!”

“ท่านมั่นใจหรือว่าจะจัดการพวกเขาได้?” หยางเย่กล่าวเสียงต่ํา โดยปกติแล้วเขาไม่รู้สึกผิดที่จะปล้นทั้งสองเพราะพวกเขาเองก็ไม่ใช่คนดี ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะทํา แต่ทั้งสองนั้นเป็นยอดฝีมือขั้นปราณราชันหยางเยจึงไม่ค่อยมั่นใจว่าจะสังหารพวกเขาได้ เพราะหากขั้นปราณราชนคิดจะหนี เช่นนั้นแม้จะมียอดฝีมือขั้นปราณราชันอีกห้าคนช่วยเหลือก็เป็นเรื่องยากที่จะจับได้

“เจ้าโง่!” ฉินเยว่กลอกตามองหยางเย่ “ถึงแม้เราทั้งสองสังหารพวกเขาไม่ได้ แต่เจ้ามีหมาป่าไม่ใช่หรือ? ขณะที่พวกเขากําลังบาดเจ็บ พวกเราก็มีโอกาสถึงแปดในสิบส่วนที่สามารถโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวสําเร็จแต่ให้ข้าถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง เจ้าไม่คิดจะช่วยศิษย์สํานักดาบราชันจริงใช่หรือไม่?”

หยางเย่มองไปที่ตงอู่ฉางที่ยืนต่อสู้อย่างยากลําบาก “ก่อนนี้เขาคิดจะส่งข้าให้ราชวังบุปผาท่านคิดว่าข้าควรช่วยเขางั้นหรือ? ข้าไม่ใช่คนที่จะสลายความขัดแย้งด้วยความดีหรอก!”

เขาให้ความสําคัญเพียงสองคนในสํานักดาบราชัน นั่นคือซูชิงฉือและผู้อาวุโสเชียน …และยังมีชิงอรี่อีกคนนอกจากพวกเขาทั้งสามชะตากรรมของคนอื่นหาได้เกี่ยวข้องกับเขาไม่

ฉินเยวมองไปยังหยางเยอีกครั้งก่อจะยิ้มให้ “น้องชายกล่าวตามตรง เจ้าเป็นคนที่จะทําการใหญ่ลําบากเพราะหากจะสําเร็จการใหญ่ได้ เจ้าจะต้องเป็นคนที่ใจกว้างและมีความอดทนอดกลั้นพอแต่เจ้ากลับใจแคบและ หงุดหงิด อย่างไรก็ตามพี่หญิงชอบตัวตนเช่นนี้ของเจ้าเพราะถึงแม้เจ้าจะใจแคบและขี้โมโหต่อผู้อื่นแต่เจ้าก็ยังมีความซื่อสัตย์กับคนที่เจ้าให้ความสําคัญ!”

หยางเย่ยิ้มพร้อมกล่าว “ข้าควรรู้สึกเป็นเกียรติหรือไม่? เพราะมีโฉมงามมาบอกว่านางชอบความเห็นแก่ตัวของข้า!”

“หากเจ้าคิดจะไล่ตามพี่หญิง เช่นนั้นพี่หญิงก็จะให้โอกาสเจ้า!” ฉินเยว่กะพริบตาพร้อมยิ้ม

“ข้ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว!” หยางเย่เอ่ย “ท่านคิดจะแบ่งปันสามีตนเองให้ผู้อื่นงั้นหรือ ด้วยนิสัยที่หยิ่งผยองอย่างท่านคงไม่คิดเช่นนั้นหรอกใช่หรือไม่?

“เจ้าทราบได้อย่างไรว่าข้าไม่คิดจะแบ่งปันผู้อื่น?” ฉินเยว่เผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ก่อนเอ่ย “ในโลกนี้ตราบใดที่เจ้ามีความสามารถที่เก่งกาจเช่นนั้นข้าก็ทําได้แม้ข้าจะไม่เต็มใจ”

“ท่านชอบการถูกบังคับหรือไง? หม?” หยางเย่กล่าวเย้ยหยัน

“เจ้าคิดเห็นเช่นไรล่ะ?” ฉินชี่ยเยว่ยิ้ม

“ท่านนี่มันสุดขั้วจริง ๆ !” หยางเย่กล่าว

ปิ้ง!

ทันใดนั้น เสียงระเบิดได้ดังกึกก้องไปทั่วห้องหยางเย่และฉินเยวระงับรอยยิ้มไว้ก่อนจะมองไปจุดศูนย์กลางในนั้นพวกเขาเห็นตงอู่ฉางกําลังจับหน้าอกตนเองขณะมองไปที่ซูหยานที่ยืนตรงหน้า