ตอนที่ 134 ระเบิดตัวเอง!

“วิชาดาบของสํานักดาบราชันไม่เลว!” ซูหยานใช้มือเช็ดเลือดที่ติดอยู่บนปลายดาบขณะมองไปที่ตงอู่ฉางผู้ยืนอยู่ตรงหน้า

ตงอู่ฉางมองไปยังจ้าวฮานเยว่ แต่เขาเห็นนางกําลังจะพ่ายแพ้หัตถ์ภูตวิญญาณเช่นกัน เขาสูดหายใจลึกขณะแสดงท่าที่เคร่งเครียดผ่านสายตาหลังจากนั้นพลังปราณภายในร่างถูกโคจรอย่างคลุ้มคลั่งไม่นานหน้าท้องของเขาเริ่มขยายใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น…

เปลือกตาซูหยานกระตุกเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัว”ระเบิดกายหยาบ! เจ้าคิดจะระเบิดตัวเองทิ้งหรือไง!ตงอ่ฉางเจ้าบ้าไปแล้ว!”

ขณะที่กล่าวซูหยานถอยหนีอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกันจ้าวฮานเยว่และหัตถ์ภูตวิญญาณก็หยุดสู้กันทั้งสองมีท่าที่เปลี่ยนไปเมื่อเห็นหน้าท้องของตงอู่ฉางขยายใหญ่ขึ้นจากนั้นพวกเขาถอยกันอย่างรวดเร็วเหมือนซูหยาน

“เปิดเกราะพลัง เร็วเข้ารีบเปิดเกราะพลัง!” เมื่อเขาถอยไปสุดขอบเกราะพลัง หัตถ์ภูตวิญญาณได้ร้องออกมาอย่างบ้าคลัง

ทันใดนั้น ท่าทีของซูหยานเองก็ดูไม่ค่อยดีนักเขาต้องการจะเปิดเกราะพลังเช่นกัน แต่มันเองก็ต้องใช้เวลาเขาไม่สนใจหัตถ์ภูตวิญญาณอีกก่อนจะพลิกมือขวา จากนั้นโล่ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยผลึกน้ําแข็งได้ปรากฏตรงหน้าขณะเดียวกันเขาก็รีบโคจรพลังปราณสร้างเกราะพลังอีกชั้น ยิ่งกว่านั้นดูเหมือนว่ายังไม่เพียงพอเขาสวมชุดเกราะเพิ่มอีก

จ้าวฮานเยว่เองก็ไม่รอช้า นางรีบเอาของวิเศษที่มีออกมา

เมื่อเห็นทั้งสองนําของวิเศษออกมาป้องกันตนเองหัตถ์ภูตวิญญาณทราบทันทีว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดเก ราะพลังตอนนี้เขาไม่รอช้ารีบสวมชุดเกราะหนังที่เหมือนจะทํามาจากหนังมนุษย์

“มันสายเกินไป ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว พวกเรามาตายกันที่นี่เถอะ!ฮ่าฮ่า!” ขณะที่มองทั้งสามตงอู่ฉางเผยท่าที่ชั่วร้ายออกมาพร้อมหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่ง

อันที่จริงเขาไม่ต้องการจะสละตนเอง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นเขาเองก็คงไม่รอดหากการต่อสู้ยังคงดําเนินต่อไปยิ่งกว่านั้นสํานักภูตผียังมีวิชาลับที่จะจับดวงวิญญาณได้ ดังนั้นหากเขาตายหัตถ์ภูตวิญญาณจะต้องใช้วิชาลับควบคุมวิญญาณเขาแน่นอนเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาคิดว่าตายอย่างมีเกียรติยังดีกว่าตกอยู่ในคําสาปชั่วร้ายไปชั่วนิรันดร์

ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพาทุกคนตายไปด้วย!

ทันทีที่ตงอ่ฉางเลือกที่จะสละชีวิตตนเอง ท่าที่ฉันช่เยว่เองก็เปลี่ยนไปเช่นกันจากนั้นนางไม่คิดสิ่งใดมาก พร้อมพาหยางเย่ถอยหนียิ่งกว่านั้นนางยังไม่หยุดลงเมื่อถึงระยะเวลาสองร้อยเมตร

“การระเบิดตัวเองของยอดฝีมือขั้นปราณราชันนั้นน่าสะพรึงถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” หยางเย่เอ่ยถามขณะมองไปยังฉินเยวที่กําลังหน้าซีดเผือด

ปัง!

ฉินเยว่กําลังจะกล่าวบางอย่าง ทันใดนั้นพื้นแผ่นดินได้สั่นสะเทือนหลังจากเสียงระเบิด ไม่นานพื้นแผ่นดินได้กลายเป็นแผ่นดินไหว

หยางเย่ที่กําลังจะกล่าวคํา แต่ทันใดนั้นคลื่นพลังได้พุ่งอย่างรุนแรงตามมาจากด้านหลัง ท่าที่หยางเย่เปลี่ยนไปทันทีเขารีบโคจรเจตจํานงแห่งดาบเพื่อต้านคลื่นอากาศ

ปิ้ง!

เสียงดังก้องกังวาลไปทั่วบริเวณ

“เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่ามันน่าสะพรึงเพียงใด?” ฉินเยว่เอ่ย

หยางเยู่พยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้พวกเขาจะหนีออกมาไกลแต่แรงระเบิดและคลื่นพลังนั้นส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงมันแสดงให้เห็นว่าระเบิดภายในนั้นรุนแรงมาก! จากนั้น หยางเย่ตัดสินใจไม่ปล่อยให้โอกาสอันดีนี้หลุดมือเหมือนกับก่อนหน้านี้ หากซูหยานไม่มัวแต่พล่ามและเปลี่ยนเป็นสังหารอย่างรวดเร็วเช่นนั้นตงอ่ฉางจะมีเวลาระเบิดตัวเองได้ยังไง?

“หากคู่ต่อสู้คิดจะระเบิดตนเองระหว่างการต่อสู้ แม้เขาจะเป็นเพียงยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์เจ้าก็ต้องถอยออกมาให้เร็ว เข้าใจหรือไม่?” ฉินเยวมองไปยังหยางเย่พร้อมแนะนําอย่างจริงจัง

หยางรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้ยิน จากนั้นได้เอ่ยขึ้น “อย่ากังวลไปเลย ข้าไม่ใช่คนที่ไม่รู้ความ! จริงสิแล้วเหตุใดสถานที่นี้ถึงไม่ถูกทําลายจากแรงระเบิดของตงอ่ฉาง?”

ฉินเยวมองไปรอบด้านก่อนจะกล่าว “หากคาดไม่ผิด มันจะต้องมีพลังงานแปลกประหลาดปกป้องที่นี่อยู่แต่ข้าไม่ทราบว่ามันคืออะไร บางที่สตรีที่เจ้านํามาด้วยอาจจะทราบคําตอบเหตุใดจึงไม่ถามนางดูล่ะ?”

“ถามนาง?” หยางเย่ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะส่ายหัว “ลืมมันเสีย แค่นางอยู่ในนั้นอย่างเชื่อฟังก็เพียงพอแล้วแล้วเหตุใดท่านถึงไม่ถามว่านางอยู่ที่ไหนล่ะ?”

เขาไม่เชื่อว่าฉันนี่เยวจะไม่สงสัยในความลับที่เขามี ดังนั้นเมื่อนางสงสัย แล้วเหตุใดถึงไม่ถามถึงเรื่องนั้น?

“ทุกคนมีความลับของตนเองใช่หรือไม่?”

หยางเยู่พยักหน้าพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “การทํางานร่วมกับคนฉลาดนี่เยี่ยมจริง ๆ !”

ฉินเยวมองหยางเย่ก่อนจะเอ่ย “ตอนนี้ไปจัดการพวกที่เหลือกัน!”

หยางเย่กล่าวอย่างสงสัย “พวกเขายังมีชีวิตอยู่งั้นหรือ?”

“อย่าประเมินยอดฝีมือขั้นปราณราชันต่ําเกินไป!” ฉินเยวมองไปที่หยางเยู่พร้อมกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าทราบว่าความแข็งแกร่งของเจ้านั้นไม่ธรรมดา และยังมีความแข็งแกร่งพอจะจัดการยอดฝีมือที่มีขั้นพลังปราณหนีอกว่าแต่เจ้าต้องจําไว้ว่าอย่าประเมินยอดฝีมือขั้นปราณราชันต่ําเกินไปอันที่จริงข้าควรบอกว่าอย่าประเมินคู่สู้ต่ําเกินไปมากกว่าผู้คนมากมายในโลกตายเพราะประเมินคู่ต่อสู้ตนเองต่ําเกิน!”

หยางเย่หันไปมองฉินเยวพร้อมยิ้มให้ “เหตุใดท่านถึงมาเป็นห่วงเป็นใยข้าเอาตอนนี้? อย่าบอกนะว่าท่านชอบข้าเข้าแล้ว”

“แล้วไม่ได้หรือ?” หลังจากล่าวจบ ฉินเยว่หันมองรอบด้านก่อนจะเดินตรงไปในห้องตรงหน้า

หยางเย่ชะงัก จากนั้นเขาส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม และรีบเดินตามนางเข้าไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อทั้งสองเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ฉากที่เห็นตรงหน้านั้นทําให้หยางเย่เปลือกตากระตุกเพราะหัตถ์ภูตวิญญาณ ซูหยาน และจ้าวฮานเยว่ยังมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขาเองก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่ดีเท่าไหร่

เกราะขนาดใหญ่ของซูหยานแตกออกเป็นเสี่ยง เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่ยเผยให้เห็นบาดแผลมากมายบนตัวสําหรับศิษย์ทั้งสามด้านข้างซูหยาน พวกเขากลายเป็นชิ้นเนื้อไปเรียบร้อย

ในอีกด้านหนึ่ง ผ้าคลุมหน้าของหัตถ์ภูตวิญญาณได้หายไป เผยให้เห็นถึงใบหน้าซีดเผือดราวกับซากศพโดยเฉพาะมือของเขา พวกมันเปลี่ยนจากขาวซีดเป็นสีแดง……

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในหมู่พวกเขา จ้าวฮานเยว่ เวลานี้ร่างของนางเหลือเพียงชุดชั้นในที่ขาดรุ่ยหน้าอกอันสวยงามถูกเผยออกมาข้างหนึ่ง กระโปรงเองก็ขาดจนเผยให้เห็นรูปลักษณ์อันน่าดึงดูด

เมื่อเขาเห็มทั้งสามอยู่ในสถานะที่บาดเจ็บหนัก ประกายเย็นเยือกได้ปรากฏผ่านดวงตาหยางเย่และเขากําลังจะเข้าโจมตี

แต่ฉินเยวดึงมือเขาไว้ก่อนจะส่ายหัวพร้อมกล่าวกระซิบ “รอสักครู่ ความขัดแย้งกําลังจะเกิดขึ้นระหว่างทั้งสามแน่นอน เช่นนั้นพวกเรายังไม่จําเป็นต้องลงมือตอนนี้!”

หยางเย่ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า

ในสนามรบ ซูหยานดึงยันต์ออกมาแปะที่ตนเอง หลังจากนั้น เขาเปิดตาขึ้นพร้อมมองไปที่หัตถ์ภูตวิญญาณพวกเขาสบตากันก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย

“หากพวกเจ้าทั้งสองไม่กลัวที่จะโดนการระเบิดตัวเองอีก เช่นนั้นก็เข้ามาได้เลย! ทันใดนั้นจ้าวฮานเยว่เปิดตาพร้อมเอ่ยด้วยน้ําเสียงสั่นเทา

พวกเขาเปลือกตากระตุกเมื่อได้ยิน ถึงแม้จะมีชีวิตรอด แต่ก็บาดเจ็บอย่างหนัก พวกเขาสามารถร่วมมือกันสังหารจ้าวฮานเยว่ได้ แต่หากนางเลือกที่จะระเบิดตัวเองจริง เช่นนั้นพวกเขาต้องตายแน่นอน

“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าล่ะ!” จ้าวฮานเยว่กล่าวย้ําอีกครั้ง “หากต้องตกไปอยู่ในมือของสํานักภูตผี ข้ายอมระเบิดตัวเองตายไปเสียดีกว่า ทั้งยังลากเจ้าทั้งสองลงนรกไปด้วยได้ พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไรล่ะ?”

“ฮ่า!” ทันใดนั้นซูหยานหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “เทพธิดาจ้าว ท่านต้องล้อเล่นเป็นแน่ข้าบอกท่านไปแล้วว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายกับท่าน หากท่านจะเก็บความลับครั้งนี้ไว้ เช่นนั้นข้าจะปล่อยท่านไป”

“ซูหยาน…” หัตถ์ภูตวิญญาณเอ่ยเสียงต่ํา “ในโลกนี้มีเพียงคนตายเท่านั้นที่เก็บความลับได้หากนางบอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ สํานักดาบราชันจะต้องไม่ปล่อยให้เรื่องนี้สงบได้แน่นอนแต่มันก็หาได้สําคัญไม่เพราะสํา นักภูตผียิ่งยินดีที่ข้าได้สังหารพวกสํานักดาบราชัน ยิ่งกว่านั้นนอกจากข้ายังจะได้รับรางวัลอย่างงามแต่เจ้าล่ะ?โรงเรียนปราชญ์จะให้รางวัลเจ้างั้นหรือ?”

“เทพธิดาจ้าวจะเก็บความลับครั้งนี้ได้หรือไม่?” ซูหยานมองไปยังจ้าวฮานเย่ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

จ้าวฮานเยว่เองก็ยิ้มเช่นกัน “แน่นอน”

“ซู…” หัตถ์ภูตวิญญาณคิดจะเอ่ยบางอย่าง

แต่ซหยานได้มองหัตถ์ภตวิญญาณอย่างเย็นเยือก “เจ้าทนกับแรงระเบิดอีกครั้งไหวหรือ?”

หัตถ์ภูติผีไม่กล่าวสิ่งใดเมื่อได้ยิน

จ้าวฮานเยว่หัวเราะอย่างเย็นชาพร้อมกล่าว “เจ้าจะเปิดเกราะพลังได้หรือยัง?”

“แน่นอน!” ซูหยานยิ้ม “แต่เจ้าก็เห็นว่าศิษย์ทั้งสองของสํานักข้าได้ตายหมดแล้ว ดังนั้นพวกเราต้องช่วยกันเปิดเกราะพลัง มิเช่นนั้นพวกเราต้องรออีกหนึ่งชั่วยามให้มันหายไปเองเจ้าคิดเห็นเช่นไร?”

จ้าวฮานเยวมองไปที่ศิษย์ของโรงเรียนปราชญ์ที่เป็นชิ้นเนื้อ “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมใดนะ!”

“แน่นอนอยู่แล้ว!” ซูหยานเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบนหน้า

“ข้าต้องทํายังไงบ้าง” จ้าวฮานเยว่เอ่ย