ณ เวลานั้นผู้คนต่างนับถือในผีสางเทวดา จึงไม่กล้าสาบานต่อฟ้าดินง่ายๆ ซูชิงเสวี่ยสาบานออกไปพล่อยๆ ทุกคนจึงเชื่อมาก
ทว่าเจียงซื่อกลับไม่เชื่อ
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ นอกจากจะเป็นคนที่วางแผนทำร้ายนางคนนั้นแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ดีกว่านางแล้วว่าเหตุใดซูชิงอี้ถึงได้เข้ามาพัวพันกับนาง หากการพบกันของซูชิงอี้กับนางเป็นเรื่องบังเอิญ มันก็ต้องไม่มีบุคคลที่สามอยู่ แต่ในเมื่อสาวรับใช้ชุดดำพยายามพานางมาที่ริมทะเลสาบจวีสยา เช่นนั้นการที่ซูชิงอี้รออยู่ในศาลาเฉาหยางก็ต้องมีคนจัดการไว้อย่างไม่ต้องสงสัย อย่างที่อวี้ชีพูด ซูชิงอี้สติไม่สมประกอบ ถ้าจะให้เขารออยู่ในศาลาเฉยๆ นั้นเป็นไปไม่ได้ จะต้องมีคนเล่นกับเขาในศาลาแน่นอน
เจียงซื่อมองซูชิงเสวี่ยที่ยื่นมือสาบานต่อหน้าฟ้าดินอยู่ แล้วค่อยๆ ยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อย ไม่ว่าซูชิงเสวี่ยจะแก้ตัวอย่างไร คนที่น่าสงสัยมากที่สุดก็ยังคงเป็นซูชิงเสวี่ย นอกจากจะเชื่อที่ซูชิงเสวี่ยบอกว่าผ้าเช็ดหน้าถูกลมพัดไป
นายท่านซูมองสีหน้าที่เคร่งเครียดของลูกสาวแล้วถอนหายใจออกมา พลางหันหน้าไปหาเจินซื่อเฉิง เอ่ยขึ้น “ช่างเถอะ ลูกคงจะพลัดตกน้ำเอง วันนี้ลำบากใต้เท้าเจินมาเสียเวลาแล้ว”
เจินซื่อเฉิงขมวดคิ้วมองนายท่านซู
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่อยากสืบสาวหาความจริงต่อไปแล้ว นี่เป็นความผิดพลาดที่ตระกูลร่ำรวยส่วนมากจะเป็น
สำหรับพวกเขาแล้ว ความจริงยังไงก็ไม่สำคัญเท่ากับหน้าตาชื่อเสียงของตระกูล
ทว่าเจินซื่อเฉิงกลับไม่ได้คิดจะไว้หน้านายท่านซู
หากประชาชนไม่แจ้งความทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่สนใจ ถ้าจวนอี๋หนิงโหวไม่เชิญเจ้าหน้าที่ทางการมา แน่นอนว่าเขาคงไม่มาไขคดีหรอก ทว่าในเมื่อเชิญเขามาแล้ว ยังไม่ทันได้สืบหาความจริงให้กระจ่างแจ้งก็จะให้เขากลับ นี่มันเจตนาทำให้นอนไม่หลับกันชัดๆ เพราะทุกอย่างที่มีผลกระทบต่อการนอนของใต้เท้าเจิน
“ใครบอกว่าคุณชายพลัดตกน้ำ” เจินซื่อเฉิงหรี่ตาถามกลับ
นายท่านซูตะลึง “ใต้เท้าเจินหมายความว่าอย่างไร”
เจินซื่อเฉิงมองไปที่อวี้จิ่ง “อวี๋…”
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เจินซื่อเฉิงตะโกนออกไป “เสี่ยวอวี๋ อธิบายให้พวกเขาฟัง”
เขาว่าแล้ว การมีองค์ชายติดตามมาไขคดีด้วยแม้แต่ขานเรียกยังลำบากขนาดนี้ โชคดีที่องค์ชายเจ็ดท่านนี้มีความอดทนมากกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก แถมไม่ใช่พวกที่ไม่เอาไหนเอาแต่วางมาดถือตัว
ไม่ทันไร เจินซื่อเฉิงก็ยอมรับในสิ่งที่อวี้จิ่นแสดงออกในวันนี้แล้ว
อวี้จิ่นรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสายตาของทุกคนกำลังจ้องมาที่เขา หนึ่งในนั้นมีสายตาคู่หนึ่งที่ทำให้เขาใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าเขาบังคับตัวเองให้นิ่งสงบลงได้อย่างรวดเร็ว
เขาเดินไปที่ทะเลสาบจวีสยา แล้วหยุดลงตรงรอยเท้าสุดท้ายที่ซูชิงอี้ทิ้งไว้ พลางชี้ไปที่พื้นแล้วพูดขึ้น “ไม่ทราบว่าทุกท่านสังเกตเห็นร่องรอยที่นี่หรือไม่”
ร่องรอย?
ทุกคนถูกถามจนงงงวยไปครู่หนึ่ง
อวี้จิ่นอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ริมทะเลสาบนั้นเปียกชื้น หากมีคนเกิดอะไรขึ้นตรงนี้ แน่นอนว่ามันจะต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้”
“เจ้าหมายถึงรอยเท้าพวกนี้งั้นหรือ” นายท่านซูถาม
“เรื่องรอยเท้าก็อย่างหนึ่ง ทุกท่านลองคิดดู หากคุณชายซูเอ้อร์พลัดตกน้ำ เช่นนั้นก็ต้องมีร่องรอยเท้าของเขาที่ลื่นไถลลงไปในทะเลสาบ ทว่าที่นี่กลับไม่มี นี่มันหมายถึงอะไรกัน” อวี้จิ่นทิ้งคำถามไว้ให้ผู้คน และไม่รีรอให้ใครตอบ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นใจ “แสดงว่าเขาถูกคนผลักลงไปในทะเลสาบอย่างกะทันหัน ดังนั้นร่องรอยที่ทิ้งไว้จึงเป็นแบบนี้”
เจินซื่อเฉิงพยักหน้าคล้อยตาม
ก่อนหน้านี้องค์ชายเจ็ดถือโอกาสตอนที่ผู้คนไม่สนใจแอบบอกเบาะแสนี้กับเขาเงียบๆ สำหรับเขานี่ถือเป็นความรู้สึกดีใจปนประหลาดใจ
ความดีใจในความประหลาดใจนี้ ไม่ใช่เพราะคดีจวนอี๋หนิงโหว แต่เป็นเพราะประสบการณ์ขององค์ชายเจ็ดในด้านการหาร่องรอยทำให้เขามีหนทางไขคดีเพิ่มในวันข้างหน้าอีกทางหนึ่ง
ร่องรอยและหลักฐานนั้นสำคัญเหมือนกัน
นายท่านซูได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น “นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น…”
อวี้จิ่นหัวเราะเยาะขัดจังหวะเขาพูด “ไม่ใช่ นี่เป็นหลักฐานจริงที่หลงเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุ ซูซื่อจื่อคิดว่าคุณชายพลัดตกน้ำต่างหากที่เป็นการคาดเดาโดยไร้หลักฐาน”
พูดถึงตรงนี้มุมปากเขาก็ยกขึ้นเป็นนัยเยาะเย้ย “นับเป็นการคาดเดาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
สายตาที่เจียงซื่อมองอวี้จิ่นลึกซึ้งขึ้นมา
ชาติภพที่แล้วนางชินกับคำป้อยอหวานหูและฝีมือที่เก่งกาจของเขา ทว่ากลับไม่รู้เลยว่าเขาจะรู้เรื่องการไขคดีถึงเพียงนี้ เวลานี้ เจียงซื่อรู้สึกสับสนเล็กน้อย นางรู้สึกมาโดยตลอดว่าเข้าใจอีกฝ่ายดี ทว่าดูจากตอนนี้ การที่เข้าใจใครสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมา อวี้จิ่นหันมองไปเล็กน้อย ใบหน้าเยาะเย้ยเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนภายในชั่วพริบตา
นายท่านซูสีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด เก็บความโมโหไว้ในใจแล้วเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าเจิน ลูกน้องของท่านควรได้รับการอบรมให้เหมาะสม!”
เจินซื่อเฉิงเอ่ยเสียงเข้ม “ซูซื่อจื่อวางใจได้ กลับไปข้าจะสั่งสอนเขาให้ดีเอง”
เพียงพูดรับปากออกไปเท่านั้น ไม่น่ามีอะไรเสียหาย
นายท่านซูได้ยินเจินซื่อเฉิงพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกว่ากู้หน้าตัวเองกลับมาได้เล็กน้อย สีหน้าจึงผ่อนคลายลง
ทันใดนั้นเสียงอันอ่อนโยนก็ดังขึ้น “ข้ามีอะไรจะพูด”
ทุกคนหันไปตามเสียงก็เห็นเจียงซื่อเดินออกมา
“น้องซื่อ…” เจียงอีตะโกนเรียกออกมาอย่างอดไม่ได้ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
แต่เจียงจั้นกลับยืนกอดอกทำเป็นเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ไม่มีท่าทางขัดขวางไม่ให้เจียงซื่อออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว
คุณชายเจียงเอ้อร์คิดง่ายมาก ไม่มีอะไรให้ขัดขวาง เพราะหากมีผู้ใดกลั่นแกล้งน้องซื่อ เขาแค่ใช้กำปั้นอัดก็ได้แล้ว
นายท่านซูมองเจียงซื่อคิ้วขมวด “เรื่องของผู้ใหญ่ เจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่ง”
เจียงซื่อเอ่ยขึ้นเสียงขรึม “ท่านลุงเจ้าคะ ก่อนหน้านี้หลานสาวถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร หากไม่จับตัวฆาตกรที่แท้จริงออกมาแล้วปล่อยให้ผู้คนคาดเดากันไปเอง จะต้องมีใครสักคนคิดว่าเป็นข้าแน่ ข้าไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่หรอก แต่ว่าข้าได้เข้าไปเกี่ยวพันแล้วโดยปริยาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าข้ามีสิทธิ์จะพูดอะไรสักอย่างออกมา ใช่ไหมเจ้าคะ”
นายท่านซูนึกไม่ถึงเลยว่า หลานสาวที่พูดน้อยเมื่อก่อน ในวันนี้จะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ เขามองจ้องไปที่นางแล้วถึงได้เอ่ยขึ้น “เจ้าอยากพูดอะไร”
เจียงซื่อเดินมาตรงหน้าซูชิงเสวี่ย จ้องนางตาไม่กะพริบ
ซูชิงเสวี่ยเพิ่งจะโล่งอกได้ไม่นาน เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็เกร็งไปทั้งตัว “เจ้าจะทำอะไร”
“น้องรองกล้าสาบานอีกครั้งหรือไม่”
“อะไรนะ”
“อย่างอื่นไม่ต้องเปลี่ยน เพียงแต่ว่ามีอยู่จุดหนึ่งน้องรองบอกว่าหากเป็นคนฆ่าน้องอี้ขอให้ฟ้าผ่า ข้าคิดว่ามันเด็ดขาดเกินไป เช่นนั้นเปลี่ยนเป็นหากการตายของน้องอี้เกี่ยวข้องกับน้องรองก็ขอให้ฟ้าผ่า” เจียงซื่อพูดเสียงเรียบ
ในเมื่อมีคนคิดร้ายกับนาง อยากใช้ซูชิงอี้ทำลายชื่อเสียงและเกียรติยศของนาง แผนการต่อไปของคนที่หลบอยู่ในศาลาเฉาหยางคงต้องเป็นการพาคนมาเห็นภาพไม่ดีระหว่างนางกับชิงอี้แน่ๆ แต่ว่าอีกฝ่ายกลับนึกไม่ถึงเลยว่านางจะสลัดตัวหลุดได้อยางรวดเร็ว
ลองคิดตามตอนที่นางพาอาหมานรีบเดินออกไป ปฏิกิริยาของซูชิงอี้ก็คือกลับไปที่ศาลาเฉาหยางอีกครั้ง เพราะที่นั่นยังมีคนเล่นกับเขาอยู่
แต่ว่าซูชิงอี้กลับตายเสีย…
เจียงซื่อมั่นใจได้เลยว่าซูชิงเสวี่ยอาจจะไม่ใช่ฆาตกรฆ่าซูชิงอี้ ดังนั้นถึงได้กล้าสาบานต่อหน้าฟ้าดิน ทว่าหากบอกว่าการตายของซูชิงอี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง มันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
“น้องรองทำไมไม่พูดล่ะ”
ซูชิงเสวี่ยหน้าตาบึ้งตึง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม “น่าขันจริง พี่ซื่อไม่ใช่พ่อกับแม่ข้าสักหน่อย มีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ข้าสาบานใหม่อีกครั้ง”
เมื่อเห็นซูชิงเสวี่ยโมโหเป็นอย่างยิ่ง เจียงซื่อก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าน้องรองจะไม่กล้า”
ซูชิงเสวี่ยกัดฟันกรอดจ้องซูชิงเสวี่ยเขม่น ตัวสั่นเทาออกมาอย่างอดไม่ได้
หรือว่านางจะรู้อะไรเข้า