“หลี่ฉิงเฟิง, คุณสามารถบอกได้ไหมละว่าจานเซรามิคของผมเป็นของจริงรึของปลอม ? ถ้าตอบไม่ได้ก็ยอมแพ้ไปซะ” หลี่ชางฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
“ใครบอกว่าฉันตอบไม่ได้ ?” ฉิงเฟิงถามขณะที่ขมวดคิ้ว
“งั้นคุณก็บอกผมมาว่าจานใบนี้เป็นของจริงหรือของปลอม?”
“คุณตาบอดรึไง ? ไม่เห็นเหรอว่าฉันกำลังดูมันอยู่ ?”
“คุณใช้เวลานานเกินไปแล้ว หยุดถ่วงเวลาซะที”
“ฉันจะตอบคุณในอีกสามนาที” ฉิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ จากนั้นเขาก็ยกจานเซรามิคขึ้นมาและเริ่มสังเกตดูอย่างใกล้ชิด
โบราณวัตถุทั้งหมดต่างก็เป็นสิ่งของที่มีประวัติในตัวของมัน โบราณวัตถุส่วนใหญ่จะมีเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์บนพื้นผิวของมัน
กล่าวได้ว่าจานใบนี้มาจากในยุคราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นช่วงเวลาเมื่อประมาณหนึ่งร้อยปีก่อน จานใบนี้ควรจะมีโทนสีดำ แต่มันกลับขาวมาก มีชั้นสีสีขาวๆพ่นไว้บนจาน
ฉิงเฟิงเคาะลงบนจานและมีเสียงที่หนักแน่นแทนเสียงที่คมชัด นั่นหมายความว่าจานใบนี้มีประวัติความเป็นมา พื้นผิวสีขาวที่พ่นไว้เป็นเพียงแค่การอำพราง
มันดูเหมือนของปลอม แต่จานใบนี้เป็นของจริง
“จานเซรามิกใบนี้เป็นของแท้นะ” ฉิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
ผู้คนรอบข้างต่างก็มองไปที่ฉิงเฟิงด้วยความประหลาดใจ ทุกคนที่มีความรู้แม้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับโบราณวัตถุก็สามารถบอกได้ว่าจานใบนี้มีพื้นผิวสีขาวที่ถูกพ่นสีมา
ถึงแม้ว่าฉิงเฟิงจะเป็นผู้ชนะในรอบทฤษฎี แต่ทำไมเขาดูกลายเป็นคนโง่เมื่อเข้ามาถึงรอบปฏิบัติ นี่เขาดูไม่ออกหรือว่าจานใบนี้เป็นของปลอม ?
หลี่ชางฉิงยิ้มอย่างดูถูกและกล่าวว่า “หลี่ฉิงเฟิง มีคนบอกว่าคุณเป็นคนฉลาด แต่ผมคิดว่าคุณมันโง่ นี่ก็เห็นกันอยู่ชัดๆว่าพื้นผิวสีขาวที่ด้านนอกเป็นสีขาวที่ถูกพ่นมา แสดงว่ามันเป็นจานที่ทำในยุคนี้ แต่คุณกลับตัดสินว่ามันเป็นของแท้ น่าขันนัก !”
ถังเล่ยมองไปที่ฉิงเฟิงและกล่าวว่า “หลี่ฉิงเฟิง ในเมื่อคุณบอกว่ามันเป็นของแท้ คุณจะพิสูจน์มันได้อย่างไร ?”
ฉิงเฟิงพยักหน้าและกล่าวว่า “มันง่ายมาก เราก็แค่ต้องทุบจานใบนี้ แต่ผมก็กลัวว่าหลี่ชางฉิงจะเรียกร้องค่าเสียหาย”
“ฮ่าๆๆ ใครจะไปแคร์มูลค่าวัตถุโบราณของปลอม เอาเลย หลี่ฉิงเฟิงทุบมันซะให้พอใจ ผมจะไม่เรียกร้องค่าเสียหาย เพราะการเห็นคุณหน้าแตกมันคุ้มกว่า”
หลี่ชางฉิงกล่าวอย่างเหยียดหยาม
“คุณพูดเองนะว่าทุบได้ ? แล้วอย่ามาร้องโอดโอยภายหลังก็แล้วกัน” ฉิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เย้ยหยัน
เขายกจานขึ้นและขว้างมันลงไปที่พื้น
เพล้ง !
จานกระทบลงที่พื้นตามมาด้วยเสียงดัง มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆในทันที สีสันและรูปลักษณ์ภายในที่แท้จริงที่ถูกซ้อนทับจากการพ่นสีขาวถูกเปิดเผยออกมา
ฉิงเฟิงหยิบเศษจานขึ้นมาและชี้ไปที่ชั้นสีเทา เขากล่าวเสียงดังว่า “ทุกท่านโปรดดู นี่เป็นวัตถุโบราณอายุประมาณ 100 กว่าปี เมื่อเวลาผ่านไปมันจึงกลายเป็นสีเทา ชั้นผิวสีขาวที่ด้านนอกถูกพ่นสีทับไว้โดยเจตนาของใครบางคน !”
“ว้าว จานใบนี้เป็นของแท้จริงๆ !”
“โอ้… จานเซรามิกจากยุคราชวงศ์ชิงมีมูลค่านับล้านดอลลาร์ หลี่ฉิงเฟิงเพิ่งจะทำลายของเก่ามูลค่านับล้าน !”
“ฮ่าๆ จานใบนั้นไม่ใช่ของเขาอยู่แล้ว แต่มันเป็นของหลี่ชางฉิง”
ผู้คนรอบข้างคุยกันอย่างมีชีวิตชีวาและมองไปที่หลี่ชางฉิงด้วยความดูหมิ่น
คนงี่เง่าคนนี้บอกให้หลี่ฉิงเฟิงทำลายจานราคาแพง ไม่เพียงแค่เขาจะต้องแพ้ในการแข่งขัน แต่เขายังต้องสูญเสียวัตถุโบราณทรงคุณค่าไปอีก
ดวงตาของถังเล่ยสว่างขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าฉิงเฟิงตรวจสอบได้ถูกต้อง ชายหนุ่มคนนี้มักจะทำให้เขาประหลาดใจเสมอ
“ผมขอประกาศว่าผู้ชนะในการแข่งขันนัดแรกของรอบที่สองก็คือหลี่ฉิงเฟิง”
ถังเล่ยกล่าวเสียงดัง
ไม่เพียงแค่ผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่พูดคุยกันอย่างสนุกปาก แต่ยังมีเหล่านักข่าวที่คุยกันเรื่องนี้อีกด้วย
“โอ้, หลี่ชางฉิงแพ้ซะแล้ว เขาได้ถึงอันดับ 2 ในการแข่งขันเมื่อปีที่แล้วเชียวนะ”
“ใช่แล้ว ตอนแรกผมก็คิดว่าหลี่ชางฉิงน่าจะชนะการแข่งขันในรอบนี้ แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะแพ้”
“หลี่ฉิงเฟิง , ชายคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เขาเอาชนะหลี่ชางฉิงได้อย่างง่ายดาย”
“ม้ามืด ! ม้ามืดของปีนี้คือหลี่ฉิงเฟิงอย่างแน่นอน”
ทุกคนต่างก็กล่าวสรรเสริญฉิงเฟิง
ฝูงนักข่าวต่างก็กรูกันเข้าไปล้อมรอบฉิงเฟิงเมื่อเขาเดินลงเวที มีไมโครโฟนหลายสิบอันจ่ออยู่ข้างหน้าฉิงเฟิง ผู้สื่อข่าวทุกคนต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ผู้สื่อข่าวทุกคนหวังว่าฉิงเฟิงจะคว้าไมโครโฟนของเขาและยอมรับการสัมภาษณ์ของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ฉิงเฟิงเลือกหยิบไมโครโฟนของหวังเสี่ยวลี่อีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวที่อยู่รอบข้างต่างก็รู้สึกแย่ที่ฉิงเฟิงคว้าไมโครโฟนของหวังเสี่ยวลี่
พวกเขาทั้งหมดต่างก็เป็นผู้อาวุโสในแวดวงนักข่าว ในขณะที่หวังเสี่ยวลี่เป็นเพียงผู้สื่อข่าวฝึกงาน เธอเพิ่งเข้าทำงานมาได้เพียง 3 เดือนเท่านั้นแต่เธอสามารถเป็นเพียงผู้เดียวในที่นี้ที่ได้สัมภาษณ์ฉิงเฟิง
“หลี่ฉิงเฟิงคะ คุณเอาชนะรองชนะเลิศของปีที่แล้ว,หลี่ชางฉิงได้ในรอบที่สอง คุณบอกพวกเราหน่อยได้ไหมคะว่าคุณรู้สึกอย่างไร?” หวังเสี่ยวลี่กล่าวอย่างตื่นเต้น
ฉิงเฟิงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “สำหรับผมการเอาชนะหลี่ชางฉิง นอกเหนือจากการใช้ภูมิความรู้ในเรื่องวัตถุโบราณแล้ว ผมยังต้องขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนอีกหลายท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลินเสวี่ย, ซูหยุนชางและหวังเสี่ยวลี่”
หวังเสี่ยวลี่หน้าแดงขึ้นเมื่อเธอได้ยินคำพูดของฉิงเฟิง หัวใจของเธอเต้นอย่างรุนแรง
หวังเสี่ยวลี่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก เธอรู้สึกว่าเธอเลือกถูกแล้ว โชคดีมากที่เธอเลือกที่จะเชื่อในคำพูดของหวังเสี่ยวเหมย
หลังจากให้การสัมภาษณ์แล้ว ฉิงเฟิงก็เดินไปหาหลินเสวี่ย
“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณชนะรอบที่ 2 แล้ว” หลินเสวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
หลินเสวี่ยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ฉิงเฟิงสามารถเอาชนะในการแข่งขันกับหลี่ชางฉิงได้อย่างง่ายดาย
“ทั้งหมดนี้ก็เพื่อคุณนั่นแหละ ฉันก็เพิ่งพูดขอบคุณให้คุณไปเมื่อกี้” ฉิงเฟิงกล่าวขณะที่เขานั่งลงข้างๆหลินเสวี่ย
ประกายแห่งความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินเสวี่ย แต่เธอนึกถึงคำพูดของเขาเมื่อกี้ขึ้นมาได้และถามว่า “คุณรู้จักนักข่าวสาวที่ชื่อหวังเสี่ยวลี่ ?”
“ทำไมคุณถึงถามเรื่องนี้ ?” ฉิงเฟิงถามด้วยความประหลาดใจ
“มีผู้สื่อข่าวตั้งมากมายที่มาขอสัมภาษณ์คุณ แต่ทำไมคุณถึงคว้าไมโครโฟนเฉพาะของหวังเสี่ยวลี่ทุกครั้ง ?”
“เธอเป็นน้องสาวของเพื่อนฉัน มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ฉันจะต้องเข้าข้างเธอ”
“เพื่อนของคุณที่ว่านั่นเป็นผู้หญิงใช่มั้ย ?” หลินเสวี่ยกล่าวอย่างหึงหวง
เธอรู้ว่าฉิงเฟิงมีเพื่อนผู้หญิงมากมาย ไม่ว่าจะไปที่ไหนเธอก็มักจะเจอเพื่อนผู้หญิงของฉิงเฟิงเสมอ
“เธอเป็นแค่เพื่อนฉัน พวกเราเคยพบกันในการแข่งขันวัตถุโบราณของเมืองทะเลตะวันออกไง อย่าหึงนักเลย”
“ใครบอกว่าชั้นหึง ? ชั้นไม่ได้หึงสักหน่อย !” หลินเสวี่ยกล่าวขณะที่เธอส่ายหัว