ฉิงเฟิงคือคนแรกที่ชนะในรอบที่สองของการแข่งขัน หลังจากนี้อีกสองชั่วโมงจะมีผู้เข้าแข่งขัน 50 คนที่ชนะผ่านเข้ารอบ ในขณะที่อีก 50 คนต้องถูกคัดออก
ในแวดวงการแข่งขันวัตถุโบราณมีการแข่งขันกันสูงมาก
เวลาเที่ยงเมื่อการแข่งขันรอบที่สองสิ้นสุดลง ก็ถึงเวลาพักกินข้าว
“ทุกท่านสามารถแยกย้ายกันไปทานอาหารกลางวันก่อนได้ เราจะทำการแข่งขันรอบที่สามในเวลาบ่ายโมง” ถังเล่ยกล่าว
ฉิงเฟิงลุกขึ้นยืนและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลินเสวี่ยไปกันเถอะ คุณคงจะหิวแล้ว”
เพื่อมาเข้าร่วมการแข่งขันวัตถุโบราณในวันนี้ ฉิงเฟิงและหลินเสวี่ยตื่นขึ้นมาแต่เช้า พวกเขายังไม่ได้กินอะไรกันเลยตั้งแต่เช้า ตอนนี้ทั้งสองคนต่างก็หิวโหย
~ จ๊อก …
เสียงท้องของหลินเสวี่ยดังขึ้น เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังหิว เธอเดินออกจากห้องโถงพร้อมกับฉิงเฟิงและซูหยุนชาง
มีหลายโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆกับบริษัทฟีนิกซ์ ผู้เข้าร่วมการแข่งขันและคนอื่นๆสามารถไปรับประทานอาหารที่นั่นได้
ฉิงเฟิงมาถึงโรงแรมที่ใกล้ที่สุด ชื่อว่า “โรงแรม North Sun” โรงแรมนี้เป็นโรงแรมไฮเอนด์ระดับห้าดาว
โรงแรมนี้สูงกว่า 20 ชั้นและมีพนักงานต้อนรับเป็นสาวสวยสี่คนอยู่ที่หน้าทางเข้า
“ยินดีต้อนรับค่ะ” พนักงานต้อนรับกล่าวตอนรับอย่างอบอุ่นเมื่อพวกเธอเห็นฉิงเฟิงและคนอื่นๆเดินเข้ามา
ทุกๆคนที่เดินเข้ามาในโรงแรมก็คือลูกค้า มีคำกล่าวที่ว่า “ลูกค้าคือพระเจ้า” พวกเธอจึงต้องต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น
เมื่อฉิงเฟิงเดินเข้าไปในโรงแรม เขาก็พบว่ามีผู้คนจำนวนมากอยู่ในห้องโถง ผู้เข้าร่วมในการแข่งขันวัตถุโบราณหลายคนเลือกรับประทานอาหารที่นี่ ซีอีโอและเศรษฐีหลายคนมารวมตัวกันที่นี่และเลือกจับจองที่นั่งกันมากมาย
พนักงานต้อนรับเป็นหญิงสาวในวัยยี่สิบปี เธอค่อนข้างสวยและแต่งหน้าบางๆ เธอสวมชุดสีน้ำเงินและสวมรองเท้าส้นสูงสีดำ เธอไว้ผมยาวสลวยสีดำ
“สวัสดีครับ ผมขอโต๊ะทานอาหารสักโต๊ะได้ไหม ?” ฉิงเฟิงกล่าวกับพนักงานต้อนรับ
พนักงานต้อนรับหันไปมองที่คอมพิวเตอร์และพูดว่า “เหลือโต๊ะเดียวเท่านั้นนะคะ”
ฉิงเฟิงยิ้มเล็กน้อยและรู้สึกว่าโชคดีจริงๆ เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะได้โต๊ะสุดท้ายพอดี ถ้าเขามาช้ากว่านี้คงไม่มีโต๊ะนั่ง
ขณะที่ฉิงเฟิงกำลังจะเลือกโต๊ะนี้ก็ได้ยินเสียงดังขึ้น “เดี๋ยวก่อน ชั้นจะเอาโต๊ะนี้”
หลิวเฟยเหยียนปรากฏตัวขึ้น เธอสวมชุดสูทสีดำและเดินก้าวยาวๆตรงมาหาพวกเขา
การแสดงออกของพนักงานต้อนรับเปลี่ยนไปเมื่อเธอเห็นหลิวเฟยเหยียน เห็นได้ชัดว่าเธอรู้จักหลิวเฟยเหยียน เธอเป็น CEO ของบริษัทฟินิกซ์และมีชื่อเสียงโด่งดังมากในเมืองเป่ยหยาง พนักงานต้อนรับมักจะเห็นเธอปรากฏบนหน้าจอทีวีอยู่บ่อยครั้ง
นอกจากนี้ หลิวเฟยเหยียนมักจะมารับประทานอาหารที่โรงแรมแห่งนี้ ทำให้พนักงานต้อนรับค่อนข้างคุ้นเคยกับเธอ อย่างไรก็ตาม พนักงานต้อนรับไม่ชอบความเย่อหยิ่งของหลิวเฟยเหยียนเท่าใดนัก
“ประธานหลิว ดิฉันต้องขออภัยด้วยนะคะ แต่โต๊ะที่ว่างอยู่นั้นชายคนนี้เพิ่งจะจองไป” พนักงานต้อนรับกล่าวขณะที่เธอชี้ไปที่ฉิงเฟิง
พนักงานคนนี้มีความยุติธรรมมาก เธอไม่ได้ให้โต๊ะกับหลิวเฟยเหยียนเพียงเพราะตัวตนของเธอ
หลิวเฟยเหยียนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เธอกล่าวว่า “ชั้นเป็นลูกค้าใหญ่ของโรงแรมของเธอ ชั้นมักจะมาทานอาหารที่นี่บ่อยๆ ส่วนชายคนนี้ชื่อว่าหลี่ฉิงเฟิง เขาเป็นพลเมืองของเมืองทะเลตะวันออก เขาไม่เคยรับประทานอาหารที่นี่มาก่อน เธอไปบอกให้เขาไปกินที่อื่นซะ”
ในขณะนี้พนักงานต้อนรับทำตัวไม่ถูก เธอรู้สึกว่าหลิวเฟยเหยียนเอาแต่ใจเกินไป แขกที่ชื่อหลี่ฉิงเฟิงมาถึงก่อนและขอโต๊ะที่ว่างอยู่ก่อน ตามหลักแล้วโต๊ะนั้นก็ควรจะเป็นของเขา อยู่ดีๆหลิวเฟยเหยียนจะมาบอกให้เธอไล่ลูกค้าที่มาถึงก่อนไปได้อย่างไร ?
“ประธานหลิว ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ดิฉันต้องมอบโต๊ะนั้นให้แขกท่านนี้ก่อนเพราะเขามาถึงก่อน” พนักงานต้อนรับกล่าว
หลิวเฟยเหยียนเริ่มโกรธ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าลูกจ้างตัวเล็กๆคนหนึ่งจะกล้าขัดใจเธอ
แม้แต่ผู้จัดการของโรงแรมก็ยังต้องแสดงความเคารพต่อเธอ แล้วพนักงานคนนี้ไม่เชื่อฟังเธอได้อย่างไร ?
“เธอไปเรียกผู้จัดการซุนมาให้ชั้น ชั้นอยากเจอเขา” หลิวเฟยเหยียนกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง
ความวุ่นวายนี้ทำให้เกิดเสียงดังและดึงดูดความสนใจของผู้จัดการซุน ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งมาทางด้านนี้ทันที
ชื่อของผู้จัดการที่นี่คือซุนกวงฮุ่ย เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปี เขาเป็นคนอ้วนและมีพุงยื่นเนื่องจากดื่มเหล้าบ่อย
ซุนกวงฮุ่ยวิ่งไปหาหลิวเฟยเหยียนและกล่าวว่า “อ้าว ท่านประธานหลิว คุณมาทานข้าวที่นี่เหรอครับ ?”
หลิวเฟยเหยียนพยักหน้าและกล่าวว่า “ผู้จัดการซุน ชั้นเป็นสมาชิกที่ถือบัตรของโรงแรมคุณ ตอนนี้มีโต๊ะเหลือเพียงโต๊ะเดียว แต่พนักงานต้อนรับของคุณปฏิเสธที่จะให้โต๊ะนั้นแก่ชั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน ?”
ซุนกวงฮุ่ยมองไปที่พนักงานต้อนรับและกล่าวว่า “เสี่ยวลี่ เธออธิบายมาซิว่ามันเรื่องอะไรกัน ฦ”
เสี่ยวลี่กล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “ผู้จัดการคะ คุณหลี่เขาได้มาถึงก่อนและขอโต๊ะก่อน ฉันต้องเอาโต๊ะให้เขาไม่ถูกเหรอคะ ?”
“ไร้สาระ ! ท่านประธานหลิวเป็นสมาชิกที่ถือบัตรของโรงแรมเรา ตามธรรมชาติเธอควรจะได้โต๊ะก่อน แขกท่านนั้นต้องไปกินที่อื่น” ซุงกวงฮุ่ยตำหนิเสี่ยวลี่
“ท่านประธานหลิวเชิญทางนี้ครับ ผมจะพาคุณไปที่โต๊ะเอง” ซุงกวงฮุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยขณะที่เขาพาหลิวเฟยเหยียนไปที่โต๊ะ
ฉิงเฟิงที่ยืนฟังอยู่นานรู้สึกโกรธเมื่อได้ยินคำพูดของผู้จัดการซุน หลินเสวี่ยรู้สึกหิวโหยตั้งแต่เช้า จนกระทั่งเที่ยงแล้วถึงจะมีเวลาพักกินข้าว นอกจากนี้พวกเขาก็มาถึงก่อนแต่ผู้จัดการซุนกลับไล่ให้พวกเขาออกไป ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ต่างก็จะต้องโกรธเกรี้ยวเป็นธรรมดา
“ผู้จัดการซุน คุณหมายความว่ายังไง ? ทำไมคุณถึงเอาโต๊ะที่ผมจองไว้ก่อนไปมอบให้คนอื่นเฉยๆเสียแบบนี้ละ ?” ฉิงเฟิงกล่าวอย่างไม่พอใจ
ซุนกวงฮุ่ยกล่าวด้วยความดูหมิ่นว่า “โรงแรมของเราให้บริการเฉพาะคนชั้นสูงเท่านั้น คนชั้นต่ำอย่างคุณไม่ควรรับประทานอาหารในโรงแรมระดับไฮเอนด์เช่นนี้ พวกคุณไปกินที่อื่นเถอะ”
ประกายแห่งความเย็นชาปรากฏขึ้นในดวงตาของฉิงเฟิง เขาคิดในใจว่า
“เฮอะ ! แกกล้าเรียกฉันว่าคนชั้นต่ำ แกกำลังหาที่ตาย”
“ผู้จัดการซุน ผมจะบอกกับคุณตรงนี้เลยว่าผมจะต้องได้กินข้าวที่นี่เพราะผมมาก่อน พาผมไปที่โต๊ะเดี๋ยวนี้” ฉิงเฟิงกล่าวอย่างเยือกเย็น
ถ้าเป็นคนอื่นเขาอาจจะปล่อยผ่านไปและไปหาร้านอื่น อย่างไรก็ตาม หลิวเฟยเหยียนกลับพยายามจะใช้เส้นสายตัดหน้าแย่งโต๊ะของเขา เป็นธรรมดาที่ฉิงเฟิงจะไม่พอใจ นอกจากนี้ผู้จัดการซุนก็ยังเข้าข้างหลิวเฟยเหยียนเพื่อเอาเปรียบและดูถูกเขาอีกด้วย
“พ่อหนุ่ม, คุณมาที่นี่เพื่อก่อความวุ่นวายใช่ไหม ? ผมบอกคุณไว้ก่อนนะ อย่ามาแหยมกับโรงแรมนี้ !”
“ผู้จัดการซุน, งั้นผมจะบอกคุณว่า คุณอย่ามาแหยมกับผมดีกว่า ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง พาผมไปที่โต๊ะแล้วผมจะปล่อยเรื่องนี้ไป ไม่งั้นคุณมีปัญหาแน่”
ฉิงเฟิงกล่าวขณะที่เอามือไขว้หลังและแววตาวูบวาบอย่างเย็นชา