นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 63 เนรคุณ!
ระหว่างพูด ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปที่สวีฉางหลินเขม็ง ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
โจวกุ้ยหลานทนฟังต่อไปไม่ได้แล้ว รีบจัดการปิ้งขนมมือตนให้แล้วเสร็จ และตะโกนใส่ผู้ชายที่อยู่ในห้องโถงว่า “สามี กินข้าวเช้าได้แล้ว!”
สวีฉางหลินทางนี้ได้ยินเมียเรียกเขา ก็วางงานในมือลงทันที ลุกขึ้นเดินไปทางห้องครัว
พอโจวชิวเซียงได้ยินว่ามีของกิน ก็รีบลุกตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว
พอเข้าไปในห้องครัว ก็เห็นโจวกุ้ยหลานเซาปิ่งเสร็จแล้วสองแผ่น วางลงในชาม
นางไม่สนใจใคร ก้าวเท้าเร็วเข้าไป ยื่นมือคว้าเซาปิ่งหนึ่งแผ่นในนั้นเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ
เซาปิ่งนั่นยังร้อนอยู่เลย บนนั้นยังมีกุ้ยช่ายจีน และโรยหอมซอยเอาไว้ หอมมาก
“ปิ้งเพิ่มอีกสองอัน ข้าจะเอาไปให้พ่อกับแม่ข้ากิน”
นางไม่เกรงใจเลย กินเซาปิ่งไปพลางสั่งโจวกุ้ยหลานอีก
โจวกุ้ยหลานได้แต่แอบถอนหายใจในความหน้าด้านของนังหนูนี่ นางทำได้ยังไงเนี่ย มาแย่งผู้ชายของนางไปด้วยและยังมาสั่งนางทำงานไปด้วยอีก?
“ขอโทษนะ แป้งขาวหมดแล้ว นี่เป็นอาหารเช้าของเรา เจ้ากินไปหนึ่งแผ่นแล้วก็ช่างเถอะ พวกข้ายังต้องทำงาน จะหิวไส้กิ่วไม่ได้”
พูดอย่างไม่เกรงใจหนึ่งคำ จากนั้นก็ยกชามที่ใส่เซาปิ่งแล้วขึ้น ยื่นไปให้สวีฉางหลินพลางว่า “รีบกินซะ เดี๋ยวก็โดนคนอื่นแย่งไปกินหมดหรอก”
สวีฉางหลินเดินก้าวเท้าสองก้าวใหญ่มาตรงหน้า รับชามไป กัดกินเซาปิ่งหนึ่งคำ
พอเห็นเขากินเข้าปากแล้ว โจวกุ้ยหลานถึงได้แอบถอนหายใจโล่งอก จากนั้นพลิกเซาปิ่งในเตาต่อ พลางโรยหอมซอย
“โจวกุ้ยหลาน เจ้าพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร?” โจวกุ้ยเซียงโกรธจนหน้าแดงก่ำ
“ไม่ได้หมายความว่าอะไรนี่” โจวกุ้ยหลานเซ็งจิต
ก็ชัดเจนตามที่พูดแล้วนี่นา มันเข้าใจยากมากหรือไง?
โจวชิวเซียงโกรธจนตาแดงก่ำอีก “พ่อข้าให้เมล็ดพืชพันธุ์เจ้ามามากแค่ไหนกัน ตอนนี้แค่เซาปิ่งไม่กี่อันเจ้ากลับไม่ยอมให้บ้านข้า? เนรคุณ!ได้ดีแล้วลืมบุญคุณ!”
“อ้อ พ่อเจ้าให้ข้ากินก็เพราะพ่อเจ้าเป็นคนดี เกี่ยวอะไรกับเจ้ากัน?” โจวกุ้ยหลานยิ้มเย็น ความอดทนโดนทำลายไม่เหลือแล้ว
“ข้าเป็นลูกสาวพ่อข้า!”
โจวชิวเซียงโกรธตะโกนเสียงดัง
“แล้วไงเล่า?” โจวกุ้ยหลานย้อนถามคำหนึ่ง
“เจ้าต้องยอมให้ข้า! เจ้าติดค้างพ่อข้า!” โจวชิวเซียงโกรธจนอยากจะเข้าไปกรีดหน้าผู้หญิงคนนี้จนเสียโฉม
โจวกุ้ยหลานเหล่ตามองผู้หญิงที่กางเล็บเต้นเร่าตรงหน้านี้ หัวเราะหยันพลางว่า “ข้าติดค้างพ่อเจ้าเกี่ยวอะไรกับเจ้ากัน? ทำไมข้าต้องยอมให้เจ้าด้วย? ข้ากินเมล็ดพันธุ์ที่เจ้าปลูกสักเม็ดแล้วรึ? เจ้าถือดีอันใดมาเรียกร้องข้า? นอกจากเจ้าเป็นลูกสาวพ่อเจ้าแล้ว ยังมีอันใดอีก?”
สำหรับโจวชิวเซียงคนนี้ โจวกุ้ยหลานไม่รู้สึกดีด้วยเลยสักนิด
ยัยหนูที่โดนตามใจจนเสียคนคนหนึ่ง ยังวิ่งมาเหิมเกริมกับนาง?
ก่อนหน้านี้ยอมนางไป นั่นคือเห็นแก่หน้าลุงใหญ่ แต่อย่าทำเกินไปนัก ใครไม่มีอารมณ์กันบ้างล่ะ?
“เจ้า! เจ้าคนลืมบุญคุณคน…”
โจวชิวเซียงไม่กินเซาปิ่งแล้ว ชี้หน้าโจวกุ้ยหลานจะด่า แต่ไม่รอนางพูดจบ โจวกุ้ยหลานก็ตัดบทนางว่า “เอาล่ะ อย่ามากินเซาปิ่งของข้าแล้วด่าข้า เนรคุณ เจ้าด่าคำนี้ออกมาไม่ปวดใจรึ? รีบกลับไปได้แล้ว ข้ายุ่งอยู่นะ!”
ระหว่างพูด ก็หันไปหยิบเซาปิ่งในเตา ออกมากัดกิน
นางกลัวถ้าไม่รีบกิน เดี๋ยวโดนคนแย่งไปอีก
โจวชิวเซียงโกรธจนตัวสั่น รู้สึกน้อยใจยิ่งนัก
เช้านี้โจวกุ้ยหลานไม่ยอมลดราวาศอกให้นางเลย ยังรังแกนาง ด่านาง!
นังแพศยานี่!
นางหันมองสวีฉางหลินอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ อยากให้สวีฉางหลินช่วยนาง แต่สวีฉางหลินกลับไม่มองนางเลยแม้แต่น้อย เขาเอาแต่ก้มหน้ากินเซาปิ่ง
นางทนไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาไหลรินลงจากดวงตา ร้องไห้ตะโกนว่า “พวกเจ้ารังแกข้า! รังแกข้ากันหมด! ข้าไม่มีทางให้พวกเจ้ามีความสุขดอก จำคำข้าไว้เลย!”
พูดจบ ก็ผลักสวีฉางหลินออกพลางวิ่งออกไป เซาปิ่งในมือนางก็เอาไปด้วย
“วิ่งไปอีกแล้ว เฮ้อ ช่างเถอะ นางขึ้นเขามาได้เอง ก็คงลงไปได้เอง” โจวกุ้ยหลานถอนหายใจออกมาหนึ่งคำ และกัดเซาปิ่งในมือต่อไป พลางพลิกกลับเซาปิ่งในเตาต่อ
รอสวีฉางหลินกินเสร็จแล้ว นางก็เอาเซาปิ่งที่ปิ้งเสร็จแล้วยื่นไปให้ สวีฉางหลินรับเซาปิ่งมา พลางบอกว่า “เจ้าเก่ง”
“ใช่ไง จะให้คนมารังแกถึงถิ่นก็ใช่ที่นี่นะ?” โจวกุ้ยหลานรับคำอย่างหน้าตาเฉย นางไม่ใช่คนที่ใครจะรังแกได้ง่ายๆ ไม่มีทางยอมอดทนเพราะโจวชิวเซียงเป็นลูกสาวของลุงใหญ่นาง นางแบ่งแยกชัดเจน
สวีฉางหลินรู้สึกว่าเมียตนเก่งมาก แต่เขาเก่งกว่า
ต่อไปจะต้องไม่เถียงกับเมีย เขาเถียงแพ้เมียแน่…
พอทั้งสองคนกินเสร็จ ก็ปิ้งเซาปิ่งอีกหลายใบ และให้สวีฉางหลินแบกเนื้อทราย นางแบกเสี่ยวไน่เป่าที่ยังหลับกลับไปหมู่บ้านต้าสือ และส่งเด็กให้เหล่าไท่ไท่ และเอาเซาปิ่งให้เหล่าไท่ไท่ จากนั้นก็บอกเหล่าไท่ไท่ว่าอย่าเอาให้บ้านลุงใหญ่กับอาสะใภ้สาม
คราวนี้เหล่าไท่ไท่ยังไงก็ไม่กล้าถ่วงเวลาพวกเขาไปเมือง ได้แต่กล้ำกลืนคำพูดลงไปรอพวกเขากลับมาค่อยถาม
โจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินไปที่บ้านเหล่าหม่าโถว ตอนนี้เหล่าหม่าโถวนั่งอยู่หลายคนแล้ว เหล่าหม่าโถวเอารถเทียมวัวออกมาคล้องเรียบร้อยแล้ว และพาหลายคนนั้นไปเมืองด้วยกัน
ได้เจอกับอาสะใภ้ชุ่ยฮวาและพี่สะใภ้ไห่เสียบนรถพอดี
คนอื่นล้วนกลัวสวีฉางหลิน อยากอยู่ห่างเขาให้ไกล ชุ่ยฮวามองเนื้อทรายตรงส่วนกลางของรถลาก พูดบ่นกระปอดกระแปดด้วยความอิจฉาว่า “บ้านเจ้านี่ชีวิตดีนะ นี่จะเอาไปขายเอาเงินอีกแล้วสิ!”
พอนางพูดอย่างนี้ คนอื่นบนรถก็หันมามองไปตามๆกัน
ช่วงนี้ทุกคนพากันคุยเรื่องบ้านพวกเขาน่ะ พึ่งแต่งงานได้ไม่เท่าไหร่ ก็สร้างบ้านใหม่แล้ว ไม่คิดว่า วันนี้จะเอาเนื้อทรายไปขายในเมืองอีก
ถ้าพูดไม่ดี โดนคนเกลียดแน่
โจวกุ้ยหลานรีบทำหน้าเคร่งขรึม ถอนหายใจพลางว่า “ชีวิตดีที่ไหนกัน ทำอยู่นานถึงได้บ้านเล็กมาบ้านหนึ่ง ยังไม่ถึงครึ่งของบ้านอาสะใภ้ชุ่ยฮวาเลย สร้างบ้านทีหนึ่งก็ติดหนี้บานตะไท สามีข้าก็ไม่มีหนทางอื่น เข้าป่าลึกไปเพื่อล่าสัตว์ เจอหมีเข้าให้ เกือบไม่รอดกลับมา นี่ถึงได้เนื้อทรายมา โชคดีนำไปขายเอาเงินไปใช้หนี้ได้บ้างน่ะ…”
ยิ่งพูด ใบหน้านางก็ยิ่งเครียดมากขึ้น
ถึงจะดูเกินจริงไปหน่อย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องจริงนะ สวีฉางหลินเคยเจอหมีแล้วเกือบกลับมาไม่ได้จริง นางแค่เปลี่ยนลำดับเรื่องนิดหน่อยเท่านั้นเอง
คนพวกนั้นพอได้ยินว่าเจอหมี ความคิดที่ผุดขึ้นมาก็หายไปหมดเลย
บางบ้านพอว่างเว้นจากการเพาะปลูก ผู้ชายบ้านนั้นก็จะเข้าป่าไปหาของ เผื่อจะได้สัตว์ป่ากลับมาให้ที่บ้านบ้าง หรืออย่างน้อยก็ได้อาหารกลับมาบ้าง แต่หาไม่ง่ายนัก สวีฉางหลินนี่เข้าไปในป่าลึกถึงได้ของป่ามา
แต่ถ้าให้ผู้ชายของพวกนางไปเสี่ยงชีวิตเพื่อล่าสัตว์ พวกนางก็ไม่กล้า
“ไอ้โหย บ้านใครมิเป็นเช่นนี้บ้าง พวกเจ้าก็อย่าใจร้อนไป ไม่ต้องรีบดอก” พี่สะใภ้ไห่เสียรีบเข้าปลอบอีกคน
“พี่สะใภ้พูดถูกแล้ว ข้าก็บอกฉางหลินแบบนี้เหมือนกัน แต่จะเข้าฤดูหนาวอยู่แล้ว พวกเรายังไม่มีเสื้อหนาวเลย พอถึงฤดูหนาวคงแข็งตายแน่ กำลังเครียดอยู่เลยเนี่ย”