บทที่ 64 เจ้าเป็นสามีข้า

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 64 เจ้าเป็นสามีข้า
สวีฉางหลินเหล่มองเมียตนเองเล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ จนเขาเองยังเกือบเชื่อเลย

ด้านหนึ่งแอบบ่นว่าเมียตนเองโกหกเก่ง อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกผิด

เมียไม่พูดเขาเองยังไม่รู้ พอพูดแล้วถึงรู้ว่าเมียตนไม่ง่ายเลย ตามเขามาลำบากลำบนแท้ๆ…

“ไอ้โหย กุ้ยหลานเอ้ย นี่เจ้ามีบ้านใหม่แล้ว ค่อยๆใช้หนี้ไปสิ ยังไงจะรีบร้อนไม่ได้จริงไหม? อาสะใภ้พูดผิดเอง เจ้าอย่าว่าอาสะใภ้เลยนะ!” อาสะใภ้ชุ่ยฮวาร้อนใจรีบปลอบออกมา

จากนั้นยังเอามือตบปากตนเองทีหนึ่ง โดนคนข้างๆยั้งมือไว้ “จะทำอะไรน่ะ กุ้ยหลานก็แค่รู้สึกไม่สบายใจเลยพูดออกมาหลายคำ เจ้าอย่าโทษตัวเองสิ!”

“นั่นสิ กุ้ยหลานเองก็ไม่ได้โทษเจ้า จะทำร้ายตนเองทำไมล่ะ?”

โจวกุ้ยหลานได้ยินพวกคนในรถพูดกันออกรสออกชาติ นางปลอบอาสะใภ้ชุ่ยฮวาไปหลายคำ คนพวกนั้นถึงเปลี่ยนเรื่องไป

รอจนรถถึงในเมืองแล้ว ทุกคนลงจากรถ สวีฉางหลินก็พาโจวกุ้ยหลานเดินไปข้างหน้า

โจวกุ้ยหลานเห็นไม่ใช่ตำแหน่งที่วางแผงครั้งก่อน ก็รู้สึกแปลกใจเลยถามเขาว่า “ทำไมไม่ไปแผงที่เคยไปล่ะ?”

ที่นั่นไม่เลวเลย คนมาก ครั้งก่อนเนื้อหมูป่าของพวกเขาขายหมดที่นั่นเอง

“พวกเราไปโรงเตี๊ยมเทียนเซียงกัน เถ้าแก่ที่นั่นต้องการของป่า”

คำพูดของสวีฉางหลินทำให้โจวกุ้ยหลานนึกถึงผู้ชายชุดขาวคนนั้นขึ้นมาได้ ดูเหมือนจะชื่อว่า…ไป๋ยี่เซวียน?”

จริงสิ ครั้งก่อนเขาก็เคยบอกว่า ถ้าพวกตนมีของป่าก็ให้เอาไปให้เขา

“หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้เจ้าไปขายของป่าให้ที่นั่นรึ?” โจวกุ้ยหลานคิดตกในทันที

ไม่งั้นสวีฉางหลินจะไม่อยู่บ้านเป็นเดือนรึ?

“อืม พวกเขารับหมดเลย” สวีฉางหลินพูด และเลี้ยวไป โจวกุ้ยหลานก็เลี้ยวตามเขา เดินไปอีกด้านหนึ่ง

ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงด้านหลังของโรงเตี๊ยมเทียนเซียง สวีฉางหลินเคาะประตูหลัง

ไม่นาน ก็มีคนรับใช้คนหนึ่งออกมาเปิดประตู และจำสวีฉางหลินได้ในทันที เลยพาสวีฉางหลินไปยังเรือนด้านหลัง

“เจ้านั่งรอที่นี่ก่อน ข้าจะไปเรียกเถ้าแก่!”

คนรับใช้คนนั้นพูด และรีบจากไป

สวีฉางหลินวางเนื้อทรายที่แบกมาลงกับพื้น โจวกุ้ยหลานแสร้งทำเป็นช่วยเขาปัดฝุ่นที่หลัง แผ่นหลังนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น

“ข้าว่านะ ต่อไปจะให้เจ้าแบกของป่าหนักเยี่ยงนี้ไม่ได้แล้ว เกิดหลังโก่งไปจะทำอย่างใดกัน!” โจวกุ้ยหลานพูด และปัดฝุ่นที่หลังเขาจนสะอาด

สวีฉางหลินยังคงเป็นท่าทีเช่นเดิมอย่างเดียวกับทุกวัน “ข้าไม่อ่อนแอเพียงนั้นดอก”

ต่อให้เรื่องยากกว่านี้เขาก็เคยทำมาหมดแล้ว เรื่องพวกนี้น่ะง่ายดายเกินไป

“เจ้าไม่เข้าใจหรอก ถ้าเจ้าหลังโก่งก็จะไม่น่าดูแล้ว ข้ามองแล้วรำคาญลูกตาจริงไหม? ยังไงเจ้าก็เป็นสามีข้า ถ้าไม่น่าดูข้ามิต้องร้องไห้รึ?”

โจวกุ้ยหลานพูดพลางเดินไปนั่งบนเก้าอี้

ในฐานะเป็นพวกคลั่งคนหน้าตาดีคนหนึ่ง นางใส่ใจกับหน้าตานะ

สวีฉางหลินฟังไปฟังมา ก็รู้สึกน่าขัน แต่พอคิดถึงหลายสิ่งที่ไม่เหมือนคนอื่นของเมียตนเอง เขาเชื่อว่าเมียพูดจากใจจริง

“เจ้าคิดดูนะ ตอนนี้บ้านเรามีไก่สิบกว่าตัวแล้ว ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ไก่พวกนั้นก็ออกไข่ได้ เป็นรายได้มหาศาลเลยนะ รอถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า พวกเราค่อยเลี้ยงไก่เป็ดเพิ่ม เพิ่มห่านมาสักหน่อย ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องกินแล้ว ต่อไปเจ้าก็ติดตามข้า คอยช่วยข้าทำงานแล้วกัน!” โจวกุ้ยหลานคิดเป็นฉากๆ และพูดแผนการของตนให้สวีฉางหลินฟัง

เรื่องพวกนี้นางไม่ได้พึ่งพูดครั้งเดียว แต่นางต้องคอยพูดเป็นระยะ ล้างสมองสวีฉางหลินซะ

แผนการนี้ต้องถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าถึงจะสำเร็จได้ ตอนนี้ยังเป็นแค่แผนเล็กแผนน้อย ดังนั้นเลยทำให้สวีฉางหลินลำบากขนาดนี้

สวีฉางหลิน “อืม” รับคำ และฟังเมียตนพูดอย่างสงบ

ไม่รู้ทำไม เขาเชื่อมั่นว่าเมียตนเองนั้น ต่อให้เลี้ยงไก่เลี้ยงเป็ดเหมือนบ้านอื่น นางก็สามารถเลี้ยงออกมาได้ดีกว่าบ้านอื่นแน่

“น่าเสียดายภูเขาใหญ่นี้แล้ว…”

โจวกุ้ยหลานอดไม่อยู่ถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้นางอ่านนิยายในอินเทอร์เน็ตมาไม่น้อย เห็นนางเอกมากมายพบสมบัติล้ำค่าจากบนเขาออกมาขาย ไม่นานก็ร่ำรวย แต่ตอนนางมาที่นี่เมื่อสามปีก่อนเป็นหน้าแล้ง สัตว์บนเขาล้มตายมากมาย บวกกับคนไม่น้อยขึ้นเขาไปหาของกิน ทำให้ของบนเขาโดนทำลายสิ้น

ของจำนวนไม่น้อยโดนพวกเขาขุดออกมา และไม่สนใจว่ารู้จักไหม ก็ยัดใส่ปากทันที หรืออาจจะเอาไปแลกเมล็ดพันธุ์ในเมือง ตอนนี้บนเขาไม่เหลืออะไรเลย

ส่วนป่าลึก ก็น่าจะมีบ้าง น่าเสียดายที่นางไม่กล้าไป เกิดไปเจอหมีเข้า มีแต่ตายสถานเดียว

“ไม่ต้องรีบร้อนดอก” หายากที่สวีฉางหลินจะพูดปลอบออกมาแบบนี้สักคำ

โจวกุ้ยหลานรับคำ ทั้งสองคนคุยกันไปเรื่อยๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง ไป๋ยี่เซวียนนั่นก็ยังไม่มา และพ่อครัวของห้องครัวก็ก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมถือมีดปังตอไว้ในมือจะพุ่งออกไป

แค่ดูก็รู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว

สวีฉางหลินรีบลุกขึ้น ดึงรั้งพ่อครัวคนหนึ่งในนั้นพลางถาม “เกิดอะไรขึ้นรึ?”

“มีคนมาหาเรื่องในโรงเตี๊ยมพวกเรา! บอกว่าอาหารที่พวกเราทำไม่อร่อย! ไอ้หยาเจ้าปล่อยข้าสิ!” พ่อครัวนั่นใบหน้าโกรธจัด พยายามแกะมือสวีฉางหลินออก

สวีฉางหลินปล่อยเขา และเห็นคนอื่นพากันวิ่งไปด้านหน้าแล้ว

“เร็วเร็วเร็ว! ไปดูกัน!” โจวกุ้ยหลานกระโดดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น ดึงสวีฉางหลินวิ่งไปข้างนอกด้วย

เรื่องแบบนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการเข้าใจเรื่องราวของยุคนี้แล้วนะ จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด!

สวีฉางหลินยอมให้เมียตนลากตามฝูงชนไป พลางอ่อนใจเล็กน้อย

เมียเขานี่ ทำไมชอบเรื่องครึกครื้นนักนะ? จะเกิดเรื่องเอาได้ง่ายน่ะ

โจวกุ้ยหลานไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก ตอนนี้นางอยากรู้สถานการณ์โรงเตี๊ยมของยุคนี้

ขนาดเจ้าของร่างเดิมยังอยู่ในหมู่บ้านต้าสือมาตลอด และไม่เคยได้กินอิ่มเลย เรียกได้ว่าไม่เคยกินอาหารเลิศรสเลย ดังนั้นนางเลยไม่รู้เรื่องสักนิด

ทั้งสองคนตามพ่อครัวเข้าไปในโรงเตี๊ยม และรีบก้าวเข้าห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ด้านนอกห้องส่วนตัวนี้แออัดไปด้วยผู้คนไม่น้อยแล้ว ต่างพากันมาดูเรื่องสนุกเช่นกัน

พวกเขายืนอยู่หน้าประตู และเห็นไป๋ยี่เซวียนยืนกลางห้องพลางยกมือคารวะคนที่โต๊ะนั้น “แขกทุกท่านนี้ พวกเราทำการค้ายึดถือความสุจริตในการค้าขาย หากท่านไม่พอใจน้ำแกงนี้ ข้าจะให้พ่อครัวทำขึ้นมาใหม่ให้พวกท่าน หรือไม่ก็มิคิดค่าอาหารทุกท่าน เป็นอย่างไร?”

หนึ่งคนในนั้นมีท่าทีลับๆล่อๆเชิดคอแข็งเถียงฉอดๆว่า “ไม่อร่อยก็คือไม่อร่อย จะทำใหม่ก็ไม่อร่อยอยู่ดี วันนี้พวกข้าจะเด็ดเอาป้ายโรงเตี๊ยมเจ้าลงมาซะ!”

“ข้าจะดูสิว่าใครกล้า!” พ่อครัวคนหนึ่งถือมีดปังตอพร้อมลุยขึ้นหน้า โบกใส่หน้าคนเหล่านั้น

“ไอ้โย่ ทำไม่อร่อยยังไม่กล้าให้คนอื่นพูดอีกรึ?” ผู้ชายที่ปากแหลมหน้าตาน่าเกลียดคนนั้นถลึงตาใส่ และยิ่งเชิดคอแข็งแหกปากร้องต่อไป

โจวกุ้ยหลานมองคนรอบด้าน พลางหรี่ตาลง

คนพวกนี้เห็นได้ชัดว่าจงใจมาหาเรื่องนี่นา ไหนเลยจะมาทำลายป้ายโรงเตี๊ยมคนอื่นเพราะไม่อร่อยกัน?

“ถอยไป!” ไป๋ยี่เซวียนหันมามองพ่อครัวนั่นพลางสั่งเสียงเข้ม

พ่อครัวนั่นไม่พอใจ แต่เจ้าของเอ่ยปากแล้ว เขาได้แต่ถอยหลัง

“ยังไง เถ้าแก่นี่คิดจะขอขมาลาโทษให้พวกเรารึ?” ผู้ชายอีกคนที่หัวอ้วนหูใหญ่สมบูรณ์ยืนขึ้นมา พลางพูดเยาะหยัน