ตอนที่ 66 การตัดสินใจที่คาดไม่ถึง และการมาเยือนที่ไม่คาคคิด
「นายท่าน ฉันมีเรื่องอยากจะบอกค่ะ」
มันเป็นคืนก่อนที่พวกผมจะกลับไปยังเมืองอิชกะ สาวมนุษย์สัตว์ชีลได้เข้ามาคุยกับผมด้วยสีหน้าที่จริงจัง
อ้อ ว่าไงล่ะมีอะไรอยากจะพูด――ผมก็อยากจะพูดด้วยอารมณ์สบายๆ นะ แต่พอเห็นหน้าเธอแล้วผมก็ต้องคิดจริงจังด้วยแล้วสิ
สำหรับสีหน้าที่จริงจังของเธอซึ่งแสดงออกมาก็แปลว่า น่าจะเป็นเรื่องที่ผมควรใส่ใจเป็นอย่างมาก และเรื่องที่ผมนึกออกก็คงมีอยู่เรื่องเดียว
「เป็นเรื่องที่เธอเห็นในคืนที่มีการจู่โจมใช่ไหม? 」
ชีลพยักหน้าให้กับผม
เฮ้อ ว่าแล้วเชียว ผมคิดพลางเกาแก้มตัวเอง
ในคืนที่มีการจู่โจม ก็ไม่ใช่คืนไหนแต่เป็นคืนที่จินโบเข้ามาโจมตีพวกเรา
ในตอนนั้น ผมหมดสภาพไปเนื่องจากถ่ายวิญญาณให้กับคลอเดียในปริมาณที่มาก แต่พอจินโบใช้อาภรณ์วิญญาณ ผมก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากแรงกดดันที่แข็งแกร่ง แต่ตัวผมในขณะนั้นก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมสู้ด้วย
ดังนั้นเหตุการณ์ต่อจากนี้ก็คือผมไปกินวิญญาณของลูนามาเรียที่เข้ามาดูแลผม
และชีลที่เข้ามาดูแลผมด้วยเหมือนกันก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับลูนามาเรีย
เนื่องจากเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินปริมาณวิญญาณที่ผมกินและความรุนแรงที่ผมใช้กับเธอจึงเกินเบอร์ไปหน่อย
ส่งผลให้ลูนามาเรียล้มลงไปตรงนั้นเลย ผมจึงได้ฝากชีลให้ดูแลเธอก่อนจะออกไปสู้กับจินโบ
ก็คงไม่แปลกหากชีลจะสงสัยถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ลูนามาเรียก็ล้มลงไปไม่นานหลังจากที่ผมกับเธอจูบกัน
พอกลับมาคิดดูให้ดีแล้ว ผมน่าจะบอกให้ชีลออกไปรอข้างนอกห้องก่อน แต่เพราะตอนนั้นผมรีบเกินไปหน่อย แถมยังมีแรงกระตุ้นจากผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณมากดดันอีก
แล้วถึงผมจะบอกชีลไปว่า ผมกับลูนามาเรียมักจะจูบกันเสมอตอนผมตื่น ก็ไม่น่าจะเป็นข้อแก้ตัวที่ฟังขึ้นด้วย
ถ้าผมสั่งให้เธอลืมเรื่องพวกนี้ไปซะ ในฐานะเจ้านายกับทาสแล้วเธอก็คงจะไม่ถามผมอีก…แต่ถ้าผมมีคนที่ผมสามารถกินวิญญาณได้เพิ่มขึ้นนอกจากลูนามาเรีย เหตุการณ์แบบนี้ก็จะมีให้เห็นบ่อยขึ้นไปอีก เนื่องจากเธอก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันกับผม
หากต้องมาหาข้อแก้ตัวแล้วสั่งให้เธอลืมเรื่องพวกนี้บ่อยๆ ก็คงจะยุ่งยาก
เรื่องที่เกิดขึ้น สาเหตุที่เมืองหลวงถูกโจมตี ข้อมูลภูมิหลังของผม มายาดาบเดียว อาภรณ์วิญญาณ นี่คือสิ่งที่ผมบอกกับพวกดยุกดรากูนอทไป
ดังนั้นก็คงไม่จำเป็นต้องปิดเรื่องพวกนี้จากชีลแล้วมั้ง
ในตอนแรกทางชีลกับลูนามาเรียก็รู้ถึงความลับของผมอย่างหนึ่งที่ดยุกไม่รู้อยู่แล้วด้วย――นั่นก็คือคนที่หลับนอนกับผมจะได้รับการเสริมพลัง เอาเป็นว่าไม่จำเป็นต้องปิดเรื่องที่เหลือกับชีลน่าจะสบายกว่า
ด้วยเหตุนี้เอง ตอนนี้ก็เป็นโอกาสเหมาะที่ผมจะเปิดเผยความลับของผมให้เธอได้ฟัง
ปัญหาก็คือความสามารถที่กินวิญญาณคนอื่นได้เหมือนพวกแวมไพร์ดูดเลือดมันจะทำให้เธอกลัวจนหนีไปหรือเปล่า…ไม่สิ ถ้าเธอต้องการแบบนั้นจริง ผมก็คงต้องยอมปล่อยเธอไป ยังไงนั่นก็เป็นแผนตั้งแต่แรกของผมอยู่แล้ว
แล้วก็คงต้องขอให้เธอปิดเรื่องที่เธอรู้เอาไว้ด้วย ไม่งั้นผมคงไม่มีทางเลือกนอกจากปฏิบัติกับเธอดั่งศัตรูคนหนึ่ง
ในขณะที่กำลังเรื่องพวกนี้ ผมก็อธิบายทุกอย่างให้ชีลฟังต่อไป
เธอก็พยักหน้ารับพลางฟังเรื่องที่ผมเล่าด้วยสีหน้าที่จริงจัง
พอผมเล่าเสร็จ เธอก็ถอนหายใจก่อนจะเปิดปากพูด
「เรื่องมันเป็นแบบนี้เองสินะ ขอบคุณที่บอกให้ฉันฟังนะคะ」
「……แค่นี้เองเหรอ? 」
「แค่นี้เองนี่มันอะไรกันคะ…? 」
「อ่ะ ไม่มีอะไรฉันพูดกับตัวเองน่ะ แต่ว่าเธอไม่กลัวคนที่สามารถกินวิญญาณของคนอื่นได้บ้างหรือไง? ฉันก็นึกว่าเธอจะตกใจ…หรือกลัวมากกว่านี้เสียอีก」
「……อะ-อีย้า? 」
「โห เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้ยินเสียงคนกรีดร้องด้วยท่าทางเหมือนอยากจะถามอะไรต่อ」
พอมองไปที่ชีลซึ่งกำลังนั่งก้มหน้าด้วยท่าที่เกินจริงแบบนี้ ผมก็ไม่รู้จะตอบสนองแบบไหนกับเธอดีจนแอบลำบากใจนิดหน่อยเลยแฮะ
ก็ดูสิ การที่เธอยังสามารถทำตัวติดตลกหลังจากผมอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เธอฟังมันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละ แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้มีผลเสียกับผม
จากนั้นชีลก็ลุกขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
「ก็พยายามจะกลัวเท่าที่จะทำได้แล้วนะคะ」
「ก็ไม่ได้บอกให้กลัวสักหน่อย…แต่ก็นะ ฉันประทับใจจริงกับผู้หญิงที่ตอนแรกกลัวฉันอย่างกับอะไรดีจนหูตกตลอดทางกลับ พอมาตอนนี้กลับมาล้อฉันเล่นได้แล้ว」
「ก็เพราะตอนแรกไม่รู้นี่คะว่าท่านเป็นคนแบบไหน แถมตอนนั้นนายท่านก็เอาแต่ลูบหูกับหางฉันจนไม่ได้นอนหลายคืนเลยด้วย…」
“เพราะงั้นก็เลยต้องใช้เวลาพักใหญ่เลยกว่าจะปรับตัวได้” นั่นคือสิ่งที่ชีลบ่นกับผม
ทางผมก็เผลอหลบสายตาที่เธอจ้องมองมาด้วยความไม่พอใจเฉยเลย
ระหว่างที่เธอจ้องมองผม เธอก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขอีกครั้ง
และพอสิ้นเสียงหัวเราะนั้น คำถามที่ไม่คาดคิดก็ออกมาจากปากของเธอ
「――เอ่อ ค-คือว่า ท่านตั้งใจจะกินฉันด้วยเหมือนกันหรือเปล่าคะ? 」
「หา? 」
ผมเอียงศีรษะก่อนจะถามเธอว่า “นี่เธอถามบ้าอะไรเนี่ย?” จากนั้นเธอก็เอียงศีรษะเหมือนกันกับผม
「ก็ไม่ใช่ว่าท่านฝึกฉัน เพิ่มเลเวลให้ฉันเพื่อจะจับฉันกินเหรอคะ? 」
หลังจากได้ยินคำตอบ ผมก็เริ่มเข้าใจ
เธอคงคิดว่าที่ลูนามาเรียสอนเธอต่อสู้และได้รับพลังจากการหลับนอนกับผมเพราะเรื่องนี้
เพราะงั้นเธอก็เลยถามผมว่าทุกอย่างที่ทำก็เพื่อปรุงวิญญาณของเธอให้เหมาะสมกับการกินหรือเปล่า
นี่มันเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดอย่างจริงจังเลย อย่างแรกเลยคือ ผมก็กำลังมารู้นี่แหละว่า”ของในร่างกายผม”มันส่งผลต่อคนอื่นได้ด้วย ส่วนที่ผมหลับนอนกับเธอมันก็เพราะความหงี่ล้วนๆ เลยขอบอก
แต่ถ้าจากมุมของเธอ บางทีการกระทำทุกอย่างของผมก็อาจจะเพื่อเป้าหมายนั้นก็ได้
พอผมเข้าใจเรื่องทั้งหมด และกำลังจะคลายข้อสงสัยของเธอ ทว่า――
「ด-ดังนั้น…ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ก็เชิญได้เลยค่ะ!」
สาวมนุษย์สัตว์ด้วยเขยิบเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นก่อนจะกำมือทั้งสองข้างของเธอเอาไว้แน่น
ผมถอยกลับไปอย่างไม่ตั้งใจ
「ด-เดี๋ยวสิ หมายความว่าเธอโอเคกับเรื่องนี้เหรอ? 」
「ท่านสามารถทำกับฉันได้เหมือนที่ทำกับคุณลูนามาเรีย ฉันพร้อมแล้วค่ะ!」
ระยะห่างก็แคบลงเข้ามาอีก เธอจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาที่จริงจัง เหมือนกับจะอ้อนวอน
ว่าแต่เธอประหม่าเหมือนกันสินะ? หรือเพราะตั้งใจให้เป็นแบบนี้เอง เพราะหูของเธอมันตั้งขึ้นชี้โด่เลย
ผมก็ได้แต่โบกมือไปมาด้วยความเร่งรีบขณะพยายามถอยหนีออกจากเธอ
「ม-ไม่ๆๆ เธอไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอก ฉันไม่ฝืนบังคับกินวิญญาณของเธอหรอก」
「ไม่ใช่การบังคับสักหน่อยค่ะ ฉันเป็นคนเสนอเองต่างหาก นายท่านคะฉันอยากจะเป็นประโยชน์ให้กับท่านค่ะ」
「……เฮ้อ」
เอาซะผมไม่รู้เลยว่าจะตอบเธอกลับไปยังไงดี
พูดตามตรงว่า ผมก็อยากจะกินวิญญาณเธออยู่หรอก และมันต้องอร่อยมากแน่ๆ ด้วย
เพราะไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้งหลังผมเสร็จกิจยามค่ำคืนกับเธอ แม้กระทั่งตอนผมมองดูใบหน้าของเธอระหว่างหลับ ความต้องการนั้นก็ปะทุขึ้นมาเสมอ
แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร คนที่ผมหลับนอนด้วยหรือไม่ก็ตาม ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าผมจะกินวิญญาณแค่พวกที่ต่อต้านและคิดร้ายกับผมเท่านั้น
ผมเลยไม่สามารถกินวิญญาณของชีลได้ เพราะเธอไม่ได้คิดร้ายต่อผมเลย
…แต่แล้วมันก็มีเสียงบางอย่างกระซิบเข้ามาที่ผมก่อนจะพูดว่า “ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่อีกฝ่ายก็เป็นคนเสนอเองด้วย”
ที่มาของเสียงนั้นก็เหมือนกับตอนที่ผมสู้กับจินโบ
พอผมจัดการตาแก่นั่นเสร็จ แน่นอนว่าผมก็กลืนกินวิญญาณของเขาด้วย ส่งผลให้เลเวลของผมเพิ่มขึ้นมาเป็น 9 แล้ว
ตอนที่ผมมาเมืองหลวง ผมมีเลเวลที่ 8 แล้วก็ลดเหลือ 7 ตอนถ่ายวิญญาณให้ลูนามาเรีย จากนั้นก็เหลือแค่ 5 หลังช่วยคลอเดียเอาไว้
นี่มันเป็นการเพิ่มเลเวลแบบสุดโต่งเลยนี่หว่า แค่จัดการกับจินโบคนเดียวเลเวลของผมก็เพิ่มมาถึง 4 เลเวล นี่มันเป็นการเพิ่มเลเวลสูงที่สุดนับตั้งแต่ตอนถ้ำของราชาแมลงวันเลยแฮะ
และพอเลเวลของผมทะลุไปถึง 9 ที่ผมไม่สามารถก้าวผ่านได้ในตอนแรก ภาพลวงตาอย่างเรื่องขีดจำกัดความสามารถที่ตามมาหลอกหลอนผมตั้งแต่ตอนเลเวล 1 ก็หายไปด้วยเหมือนกัน
จะให้พูดก็คือทุกอย่างจบลงด้วยดี
แต่ตอนนี้ก็ดันมีปัญหาใหม่มาให้ผมคิดอีกรอบแล้วสิ
ปัญหานั้นก็คือความยากในการเพิ่มเลเวลของผมมันโหดหินสุดๆ เลย
อันที่จริงก็พูดไปแล้วหลายครั้งแล้วนะ ตอนผมอยู่ที่เลเวล 8 หลังจัดการกริฟฟอนได้ ผมก็ไปจัดการทั้งแบนชี สกิลล่า มนุษย์หมาป่า บาซิลิสก์ แถมกินวิญญาณลูนามาเรียอีก แต่เลเวลของผมก็ไม่เพิ่มขึ้นเลยสักนิด
แต่ครั้งนี้ พอผมกินวิญญาณของจินโบที่มีเลเวลถึง 73 มันก็ทำให้เลเวลของผมเพิ่มขึ้นมาเป็น 9 ได้ ดังนั้นไม่ต้องคิดเลยว่ากำแพงของเลเวล 9 ไป 10 นั้นจะสูงขนาดไหน
หากผมปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ผมคงแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมไม่ได้แน่
แล้วก็ไม่มีอะไรรับประกันด้วยว่าผมจะสามารถรับมือกับคนอื่นที่ถูกส่งมาจากเกาะแทนที่จินโบ
แถมตั้งแต่แรกแล้วจินโบก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะรับมือได้ง่าย
ครั้งนี้ที่ผมจัดการเขาได้ก็เพราะลักษณะของอาภรณ์วิญญาณและความสามารถของเขามันแพ้ทางผม ผมคงงานเข้าแน่หากการต่อสู้ครั้งที่แล้ว คู่ต่อสู้ของผมมีความสามารถแบบอื่นที่ต่างจากจินโบ
นั่นหมายความว่าผมต้องรีบเพิ่มเลเวลตัวเองแล้ว
เพราะงั้นหากผมจะรับข้อเสนอของชีลก็คงไม่เป็นไรมั้ง
ที่ผมตั้งเงื่อนไขให้กับตัวเองในการไม่ไปกินวิญญาณคนอื่นมั่วซั่วก็เพราะผมไม่อยากกลายเป็นมอนสเตอร์ที่โจมตีคนไม่เลือก ผมไม่อยากจะทำผิดพลาดซ้ำสองเหมือนตอนอยู่ที่ซ่องด้วยสิ
แถมจากนี้ไปถ้าผมบอกคนที่ผมจะกินวิญญาณถึงผลที่พวกเขาจะได้รับคืน พวกเขาก็น่าจะยอมกันด้วย ดังนั้นก็คงไม่จำเป็นต้องทำตามเงื่อนไขที่ตัวเองตั้งไว้แต่แรกแล้ว
หลังจากผมคิดอยู่พักหนึ่ง ผมก็ตัดสินใจที่จะถามชีลเพื่อเป็นการยืนยันอีกที
「ไม่มีอะไรรับประกันนะว่าจะไม่เกินผลเสียขึ้นกับวิญญาณของเธอ เธอมั่นใจแล้วใช่ไหม? 」
สิ่งที่ผมเจอตอนนี้ก็คือวิญญาณจะสามารถฟื้นฟูได้หลังผ่านไปพักหนึ่ง แต่มันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่มิโรสลาฟหรือลูนามาเรียจะตายอย่างกะทันหันเข้าสักวันหนึ่ง ไม่ก็กลายเป็นบ้าหรือพิการไป ความเป็นไปได้พวกนี้ไม่ใช่ศูนย์เสียหน่อย
อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่บุคลิกของคนที่ผมกินวิญญาณจะเปลี่ยนไปด้วย ดูอย่างมิโรสลาฟสิ ตอนนี้เธอเชื่อฟังผมจนผมขนลุกแปลกๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เกลียดผมอย่างกับอะไร
ทางลูนามาเรียก็ด้วย ถึงระดับความเปลี่ยนแปลงจะต่างออกไปบ้างก็เถอะ
ผมบอกให้ชีลรู้ถึงเรื่องที่ผมคิดอยู่ด้วย แต่สายตาของมนุษย์สัตว์สาวก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
พอเห็นความตั้งใจของเธอแล้ว ผมก็คงต้องตอบรับมันบ้างแล้วสิ
งั้นฉันก็จะจัดให้เธอตามคำขอตอนนี้เลยแล้วกัน――คำพูดนั้นแทบจะพุ่งออกจากปากของผมในทันที แต่พอผมมองไปที่ปลอกคอทาสบนคอเธอแล้ว ผมก็ระงับความรู้สึกนั้นเอาไว้ก่อน
ชีลเป็นทาสของผม ผมถือสิทธิ์เหนือชีวิตของเธอ ถึงนั่นมันอาจจะส่งอิทธิพลอย่างมากต่อการกระทำของเธอในครั้งนี้ก็ได้
หรือก็คือ เธออาจจะไม่ได้เลือกสิ่งนี้ด้วยเจตจำนงเสรีของเธอเอง เธออาจจะรู้สึกกดดันที่ลูนามาเรียซึ่งเป็นทาสเหมือนกันกับเธอ ทำเรื่องนี้กับผม
ผมไม่สามารถใช้ความรู้สึกนี้มาหาประโยชน์กับตัวเองได้ ก็จริงอยู่ว่ามันไม่ใช่ การบังคับ แต่มันก็ทำให้รู้สึกแย่พอสมควร
แน่นอนว่าวิญญาณของเธอมันน่าดึงดูด
ผมก็เลยต้องทำตามขั้นตอนให้มันเหมาะสม
「ถ้างั้น อย่างแรกเลยคือฉันจะปลดปล่อยเธอจากการเป็นทาส」
「เอ๋? แต่ว่านั่นมัน..…」
พอเห็นชีลพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง ผมก็ขัดสิ่งที่เธอจะพูด
「หากเธอยังรู้สึกเหมือนเดิมหลังจากนี้ ฉันก็ยินดีจะรับข้อเสนอของเธอ」
ผมหยุดบทสนทนาในเรื่องนี้ไว้ก่อนจนกว่าพวกเราจะกลับไปถึงอิชกะ――แต่หลังจากที่ผมพูดจบชีลก็เหมือนแสดงสีหน้าไม่ค่อยพอใจออกมา
เธออาจจะมีความรู้สึกเหมือนความมุ่งมั่นของตัวเองถูกโยนทิ้งไปก็ได้
ก็ไม่แปลกอะไร เธอเตรียมใจมาซะขนาดนั้น แต่ผมกลับปฏิเสธมันไปในจังหวะนี้เธอก็คงไม่ชอบเท่าไหร่
ผมก็ต้องขอโทษเธอด้วยจริงๆ แต่เพราะหากผมกินวิญญาณเธอเลย มันก็จะเป็นการทำร้ายความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่หลงเหลือในตัวผม ดังนั้นให้ผมได้ทำตามที่ตัวเองคิดเถอะ
แต่เอาจริงนะ ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีลจะพูดเรื่องแบบนี้ออกมา หวังว่าซูซูเมะก็จะไม่มาพูดเรื่องอะไรแบบนี้กับผมด้วยนะ….ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ผมก็พยายามจะทำให้ชีลที่งอนนั้นอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
เพราะปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่จะแสดงอารมณ์แบบนี้ออกมา แต่พอได้เห็นเธอไม่พอใจเข้า ก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไงดี
โชคดีที่สุดท้ายแล้วอารมณ์อันขุ่นมัวของเธอไม่ได้อยู่นานนัก วันต่อมาชีลก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ในช่วงที่พวกผมกำลังจะกลับอิชกะ นั่นช่วยผมได้เยอะเลย
บอกไว้ก่อนนะว่าทางผมกับคลอเดียไม่ได้เดินทางกลับไปพร้อมกัน
ถึงเธออยากจะไปกับพวกผมก็เถอะ แต่ก็อย่างที่คิดเอาไว้ การจู่โจมเกิดขึ้นได้ไม่นานนี้เอง แถมเธอก็กำลังฟื้นตัวจากคำสาป ดยุกคงไม่ปล่อยให้เธอออกไปจากเขาได้ในทันทีหรอก
คลอเดียก็เลยจะตามผมมาที่เมืองอิชกะหลังจากอาการของเธอดีขึ้นมาในระดับหนึ่ง
ในระหว่างที่พวกผมเดินทางออกจากเมืองหลวง ท้องถนนก็ยังคงสามารถเห็นร่องรอยการต่อสู้ที่หลงเหลืออยู่ได้
อันที่จริง ผมก็คิดเผื่อไว้อยู่นะว่าอาจจะถูกติดต่อหรือถูกขัดขวางจากทางมกุฎราชกุมารที่หมกมุ่นอยู่กับคราว โซราส ไม่ก็การติดต่อจากมาร์ควิสโครเคียที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจักรวรรดิ แต่สุดท้ายก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะเรื่องของจินโบนั่นเอง การเดินทางกลับในครั้งนี้จึงราบรื่นมาก
ผมถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อผมเห็นสัญลักษณ์ของเมืองอิชกะที่คุ้นเคยอยู่ตรงหน้าของผม ในที่สุดผมก็จะได้ลดการป้องกันลงสักหน่อย
ดีใจจริงๆ ที่กลับมาบ้านได้อย่างปลอดภัย ――แต่ทว่า..คงจะเร็วเกินไปสินะที่จะโล่งใจ
เพราะตอนนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งได้มานั่งรออยู่หน้าบ้านของผมด้วยสภาพที่อิดโรย
ตอนที่ผมเห็นใบหน้าของชายผู้นั้น ผมก็ต้องขมวดคิ้วและเผลอเรียกชื่อของเขาออกมาโดยไม่ตั้งใจ
「……ราส? 」
———
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code